กำเนิดของศาสนาต่าง ๆ ในโลก
หลังจากที่มนุษย์ในโลกสมัยโบราณได้กระจายไปตามแหล่งต่าง ๆ ของโลก มนุษย์ได้ห่างไกลจากความรู้เรื่องพระเจ้ามากขึ้น ยิ่งนานวันชนรุ่นหลังก็รับเอาความคิดขนบธรรมเนียมประเพณีของบรรพบุรุษจนประเพณีที่มนุษย์นับถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตและความเป็นอยู่ของเขาทั้งหลาย พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ให้มีจิตวิญญาณรู้จักดีและชั่ว ซึ่งไม่เหมือนกับสัตว์ และการที่มนุษย์มีสัญชาตญาณในการรู้จักดีชั่วนี้เอง เขาได้พยายามหาวิถีทางเพื่อจะให้วิญญาณของเขาปลอดภัยจากอำนาจความชั่วตลอดเวลา เนื่องจากมนุษย์ได้ทอดทิ้งพระเจ้าและขาดความรู้เรื่องพระเจ้า ไม่มีผู้ใดสอนให้เขารู้เรื่องพระเจ้าเลย เขาทั้งหลายจึงได้ปฏิบัติตามอำเภอใจของตนเอง โดยมีความเชื่อว่าสิ่งที่ตนกำลังกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง จากมูลฐานแห่งความคิดอันนี้เอง มนุษย์จึงได้ประดิษฐ์พิธีกรรมต่าง ๆ ขึ้นซึ่งในที่สุดได้ก่อตั้งขึ้นเป็นศาสนาดังที่เราได้เห็นอยู่ทุกวันนี้
แต่แก่นแท้ของศาสนาทั่วไปก็คือรักษาตนให้พ้นจากความชั่ว มีชีวิตบริสุทธ์หลักอันนี้มิใช่ว่านักศาสนาเหล่านั้นเพิ่งจะค้นพบ หลักการอันนี้มีอยู่แล้ว แต่หลักการเหล่านี้จะศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่ยอมรับได้นั้นย่อมจะต้องยอมรับเอาพระเจ้าเข้าอยู่เป็นส่วนหนึ่งด้วย เพราะพระองค์เป็นต้นกำเนิดของมาตรฐานศีลธรรมจรรยาที่ดี เป็นต้นกำเนิดของความบริสุทธ์ แต่คำสอนของทุกศาสนาได้ปฏิเสธพระเจ้ายกเว้นศาสนาคริสต์เท่านั้น เมื่อปฏิเสธพระเจ้าเสียแล้วคำสอนของมนุษย์ก็ย่อมจะขัดแย้งซึ่งกันและกัน มนุษย์ยังมีข้อผิดพลาดเสมอคนส่วนมากกล่าวว่านับถือศาสนาอะไรก็ได้ จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อคำสอนของศาสนาทุกศาสนาขัดแย้งกัน
ย้อนหลังไปในประวัติศาสตร์มนุษย์นับถือพระเจ้าเที่ยงแท้ ซึ่งเป็นผู้สร้างสารพัดแต่ในเวลาต่อมาเพราะความโง่เขลาบวกกับความดื้อของมนุษย์ มนุษย์ได้หนีไปปฏิบัตินมัสการสิ่งอื่น ๆ แทนพระเจ้า
1. พวกที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำยูเฟรติศกับไทกริศ ครั้งสมัยโบราณเมื่อประมาณ 3100 ก.ค.ศ. คนเหล่านี้นักวิทยาศาสตร์เรียกพวกซุมเมอร์เรียน ได้ทอดทิ้งพระเจ้าไปนับถือเทพเจ้า, ผี และวิญญาณต่าง ๆ มีการบวงสรวงสักการบูชาเทพเจ้าและเผาเด็กทารกเป็น ๆ
2. พวกที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์ คือพวกที่เราเรียกว่าอียิปต์โบราณเมื่อประมาณ 3100 ก.ค.ศ. ซากหักพังที่เราเห็นในรูปตามหนังสือต่าง ๆ ของอียิปต์ส่วนมากเป็นรูปการก่อสร้างที่ใหญ่มหึมา เช่น สฟิงค์, ปิระมิด เป็นต้น จากหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ อียิปต์นับถือรูปปั้นชนิดต่าง ๆ เป็นเทพเจ้า, ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, พืชต่าง ๆ อียิปต์มีรูปปั้นซึ่งมีรูปพรรณหลายแบบ ประมาณ 3100 ชนิด ต่อมาภายหลังพวกอิสลามได้เข้าไปเผยแพร่ศาสนาในประเทศอียิปต์ จากนั้นมาอียิปต์ก็ได้นับถือศาสนาอิสลาม
3. พวกที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำอินดัส ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปากีสถานประมาณ 2500 ก.ค.ศ. มีพวกเผ่าอารยันหรืออินโด-ยูโรเปียน ได้เข้ามามีอำนาจในประเทศอินเดีย เมื่อประมาณ 800-1000 ก.ค.ศ. นักปรัชญาสองท่านได้ให้กำเนิดลัทธิย่อย ๆ ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นศาสนาฮินดู นักปรัชญาสองท่าน ซางการา (Sankara) และ รามากิรสนา (Ramakrishna) คำสั่งสอนของฮินดูทำให้เกิดมีการแบ่งชั้นวรรณะ คำสอนเรื่องกฎกรรมได้นำมาใช้เพื่ออธิบายเรื่องชั้นวรรณะ และคำสอนว่าด้วยเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดได้นำมาสอนเพื่อชี้แจงปัญหาเรื่องชั้นวรรณะด้วย
ศาสนาที่ 2 ที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดีย คือ ศาสนาพุทธ โดยเจ้าชายสิทธัตถะ ประมาณ 500 ก.ค.ศ. ศาสนาพุทธเป็นผลพลอยได้จากศาสนาฮินดู และศาสนาพราหมณ์ คำสอนส่วนมากก็มีรากมาจากศาสนาพราหรณ์และศาสนาฮินดู ว่าด้วยเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดและกฎแห่งกรรม ศาสนาพุทธได้แพร่เข้าไปในธิเบต, จีน, ญี่ปุ่น และเอเซียใต้ เมื่อประมาณ ค.ศ.1000 (พ.ศ.1543)
ศาสนาที่ 3 ซึ่งเกิดในซาอุดิอาราเบีย ในเมกกะ โดยโมฮัมมัด เมื่อ ค.ศ. 600 ศาสนานี้เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว ได้เอาคำสอนของศาสนาคริสต์กับลัทธิยิวบวกกันเข้า
4. พวกที่อพยพไปอาศัยอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำฮวงโห เมื่อประมาณ 1500 ก.ค.ศ. มีศาสนาที่เกิดขึ้นอยู่ในแถบนี้ 3 ศาสนาคือ
(ก) ศาสนาขงจื้อ (Confucianism) เกิดขึ้นในประเทศจีน เมื่อ ค.ศ.551-479 โดยขงจื้อ ศาสนานี้ไม่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า แต่สอนเรื่องหน้าที่รับผิดชอบระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
(ข) ศาสนาเต๋า (Taoism) โดยเล่าเซ เมื่อ 500 ก.ค.ศ. ลัทธิเต๋าสอนให้มีความสงบกับธรรมชาติ
(ค) ศาสนาชินโต (Shintoism) เกิดในประเทศญี่ปุ่นมีการนับถือจักรพรรดิของญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่และนับถือพระเจ้าหลายองค์
เงาแห่งความหวัง
ภายในระยะเวลา 4000 ปี จากอารยธรรม 4 แหล่ง มนุษย์ได้ก่อตั้งเป็นประเทศต่าง ๆ ประเทศไหนที่มีอำนาจมากก็ยังคงทิ้งร่องรอยให้ชนรุ่นหลังเห็นบ้าง ในขณะที่บรรดาประเทศต่าง ๆ ในโลกกำลังให้ความสนใจไปในทางสมรรถภาพในประเทศ แผ่ความยิ่งใหญ่ไพศาลของตนเอง เช่น ประเทศบาบิโลนโบราณ, อะซีเรีย, เมโดเปอร์เซีย, กรีก, อาณาจักรโรม ศาสนาที่ได้เกิดขึ้นตามแหล่งต่าง ๆ ในโลกล้วนแล้วแต่เป็นการก่อตั้งของมนุษย์ทั้งสิ้นแทนที่หลักคำสอนเหล่านี้จะนำมนุษย์ให้กลับไปหาพระเจ้าก็หาไม่ คำสอนของศาสนาเหล่านี้ไม่มีเรื่องของพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์เข้าไปเกี่ยวข้องเลย ประเทศทั้งหลายจึงได้ลุ่มหลงอยู่ในทางของตนเอง
ในขณะที่มนุษย์ทั้งหลายกำลังปฏิบัติตามใจปรารถนาของตนเอง พระเจ้าได้วางโครงการที่จะช่วยให้มนุษย์ทุกชาติเข้ามานับถือศาสนาแท้ พระเจ้าได้ใช้วิธีการตักเตือนให้มนุษย์ละทิ้งการปฏิบัติที่ไร้ประโยชน์ด้วยความอดทน แต่ก่อนจะถึงเวลาอันเหมาะสมในการที่พระเจ้าจะรวบรวมชนทุกชาติให้เข้ามาหาพระองค์เป็นครอบครัวเดียวกันนั้น มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนพื้นโลกได้ฝังลึกอยู่กับคำสอนและขนบประเพณีจนงมงายไร้เหตุผลจนถอนตัวไม่ออก ดังนั้นเมื่อพระเจ้าประกาศหนทางของพระองค์อันจะเป็นทางซึ่งนำชนชาติทุกประเทศให้หันกลับมานมัสการพระเจ้าแต่ผู้เดียว ข่าวประเสริฐอันนี้พระเยซูคริสต์เป็นผู้นำมาประกาศแก่คนทั่วโลก
"พระเยซูตรัสแก่เขาว่า เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาเว้นไว้มาทางเรา" (โยฮัน 14.6) แต่เมื่อพระเยซูมาประกาศ คนที่นับถือขนบประเพณีของมนุษย์มาเป็นเวลานานไม่อาจรับคำสอนของพระเยซูได้ เพราะคำสั่งสอนที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์ขึ้น มันฝังลึกแน่นอยู่ในจิตใจจนถอนออกยากเสียแล้ว เพราะเหตุนี้เองพระเยซูจึงตรัสว่า "จงเข้าไปทางประตูคับแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก" (มัดธาย 7.13)
ในการที่พระเจ้าจะนำชนทุกชาติให้กลับมานั้นพระองค์จะไม่บังคับผู้ใด พระองค์จะชี้ทางให้เขาเอง ทางนั้นก็คือพระคริสตธรรมคัมภีร์ นี่แหละเป็นจุดประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้มนุษย์กลับเข้ามาหาพระเจ้า บทเรียนต่าง ๆ ของสถาบันฯ ได้เกิดขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้คนลุกขึ้นจากความงมงายในคำสอนของมนุษย์ แล้วหันมานับถือพระเจ้าแต่พระองค์เดียว