ส่วนใหญ่ตอนที่สองของพระคริสตธรรม คือ พระคริสตธรรมใหม่ ประกอบด้วยหนังสือ 27 เล่ม อย่างน้อยที่สุดมีผู้เขียน 8 คน พระคริสตธรรมเดิม เมื่อแรกได้เขียนขึ้นมาเป็นภาษาเฮ็บราย ต้นฉบับพระคริสตธรรมใหม่เขียนเป็นภาษากรีก
หนังสือ | ผู้เขียน | เวลาเขียน | หนังสือ | ผู้เขียน | เวลาเขียน | |||||||||||||
1. มัดธาย | มัดธาย | ค.ศ. 50 | 15. 1ติโมเธียว | เปาโล | ค.ศ. 64-65 | |||||||||||||
2. มาระโก | มาระโก | ค.ศ. 67-68 | 16. 2ติโมเธียว | เปาโล | ค.ศ. 67-68 | |||||||||||||
3. ลูกา | ลูกา | ค.ศ. 58 | 17. ติโต | เปาโล | ค.ศ. 65 | |||||||||||||
4. โยฮัน | โยฮัน | ค.ศ. 85-90 | 18. ฟิเลโมน | เปาโล | ค.ศ. 60 | |||||||||||||
5. กิจการ | ลูกา | ค.ศ. 61 | 19. เฮ็บราย | อาจเป็นเปาโล | ค.ศ. 67-68 | |||||||||||||
6. โรม | เปาโล | ค.ศ. 56 | 20. ยาโกโบ | ยาโกโบ | ค.ศ. 45-48 | |||||||||||||
7. 1โกรินโธ | เปาโล | ค.ศ. 54 | 21. 1เปโตร | เปโตร | ค.ศ. 65 | |||||||||||||
8. 2โกรินโธ | เปาโล | ค.ศ. 55 | 22. 2เปโตร | เปโตร | ค.ศ. 66-67 | |||||||||||||
9. ฆะลาเตีย | เปาโล | ค.ศ. 55-56 | 23. 1โยฮัน | โยฮัน | ค.ศ. 85-90 | |||||||||||||
10. เอเฟโซ | เปาโล | ค.ศ. 60 | 24. 2โยฮัน | โยฮัน | ค.ศ. 85-90 | |||||||||||||
11. ฟิลิปปอย | เปาโล | ค.ศ. 61 | 25. 3โยฮัน | โยฮัน | ค.ศ. 85-90 | |||||||||||||
12.โกโลซาย | เปาโล | ค.ศ. 60 | 26. ยูดา | ยูดา | ค.ศ. 75 | |||||||||||||
13. 1เธซะโลนิเก | เปาโล | ค.ศ. 50-51 | 27. วิวรณ์ | โยฮัน | ค.ศ. 95-96 | |||||||||||||
14. 2เธซะโลนิเก | เปาโล | ค.ศ. 51 |
พระคริสตธรรมได้แปลออกเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่าพันภาษา ฉบับที่แปลเป็นภาษาอังกฤษอยู่ในความนิยมมากที่สุด เรียกว่า ฉบับของพระเจ้าเจมส์แห่งประเทศอังกฤษ (King James Version) จัดแปลออกถวายเมื่อ ค.ศ. 1611 โดยนักศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก 47 คน ฉบับแก้ไขใหม่ที่ใช้กันอยู่มากที่สุดเรียกว่า ฉบับแก้ไข Revised Version แปลเมื่อ ค.ศ. 1885 โดยนักศาสนาที่มีชื่อเสียงของอังกฤษและอเมริกา 101 คน
ในตอนต้นศรวรรษแรก ก่อนที่พระคริสตธรรมใหม่จะได้เขียนให้ครบ คำสอนต่าง ๆ ได้สอนกันโดยตรงจากปากของผู้เขียน เป็นคำสั่งสอนที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า อย่างไรก็ตามก่อนสิ้นศตวรรษแรกนี้พระคริสตธรรมใหม่นี้ก็ได้เขียนเสร็จเป็นตัวอักษรถาวรสำหรับประชากรทุกชาติทั่วไปในโลก รายชื่อพระคริสตธรรมใหม่พร้อมผู้เขียนและเวลาที่เขียนได้แสดงไว้แล้วตามตารางข้างต้นอย่างใกล้เคียงความจริงที่สุด
ในการศึกษาตารางที่ได้ให้ไว้นี้ ควรจะจดจำไว้ว่าวันเวลาในสมัยโบราณนั้นส่วนมากไม่แน่นอนมีการขัดแย้งอยู่เสมอ และอาจจะไม่เหมือนกัน หรือตรงกันกับวิธีการคำนวณที่ดีที่สุด เช่นอย่างสมัยนี้กำหนดเวลาและการบันทึกไว้โดยมากจะพบข้าง ๆ หรือในหัวข้อต่าง ๆ ที่ตอนท้ายของหนังสือทุก ๆ เล่มได้บันทึกไว้ ณ ที่นั้นโดยผู้แปลหรือผู้พิมพ์ และไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของพระคำของพระเจ้าที่ได้รับการดลใจ ที่จริงส่วนมากตามที่ได้แสดงไว้ที่นั้น ก็ไม่ใช่เป็นข้อความที่จะเชื่อถือไว้เท่าใดนัก แม้กระทั่งภาพต่าง ๆ ในพระคริสตธรรมเป็นความจริงเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน เป็นแต่เพียงภาพที่ได้วาดขึ้นจากฝีมือของศิลปินโดยจินตนาการของตนเอง ไม่เคยพบปะภาพจริงสักภาพเดียว
เป็นที่น่าสนใจที่จะสังเกตว่า เปาโลได้เขียนพระคริสตธรรมซึ่งเป็นหนังสือฝากอย่างน้อย 13 เล่ม นับจากหนังสือโรมถึงหนังสือฟิเลโมน ถ้าจะนับจำนวนกันแล้ว เปาโลเป็นผู้เขียนมากกว่าคนอื่น ๆ เป็นที่ยอมรับกันทั่ว ๆ ไปว่า เปาโลเป็นผู้เขียนหนังสือเฮ็บรายด้วยแม้จะไม่ได้ระบุชื่อไว้ ถ้าหนังสือเฮ็บรายไม่เป็นหนังสือที่เปาโลเขียนขึ้นแล้ว ก็นับได้ว่าลูกเขียนจำนวนคำเท่า ๆ กันกับเปาโล แต่รวมเป็นหนังสือสองเล่มคือ หนังสือลูกา และหนังสือกิจการ
ผู้เขียนพระคริสตธรรมใหม่
ชีวประวัติที่น่าสนใจอย่างมากที่สุดของบางคนที่ได้จารึกไว้ เป็นประวัติของบุคคลสำคัญ ๆ ผู้ที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าให้เขียนพระคริสตธรรมใหม่ การทดลองต่าง ๆ ความทุกข์ยากลำบากอันเนื่องมาจากการข่มเหง ตลอดจนความทนทุกข์มรมานของเขาทั้งหลาย เพื่อพระนามของพระเยซูคริสต์ พร้อมกับการได้รับชัยชนะเหนืออำนาจของความชั่วต่าง ๆ ย่อมเป็นแบบอย่างอันประเสริฐยิ่งสำหรับประชากรของพระเจ้าทุกยุคทุกสมัยต่อมา ดังจะได้กล่าวประวัติย่อ ๆ แห่งชีวิตของเขาทั้งหลายไว้ดังต่อไปนี้
มัดธาย (Matthew) แต่เดิมเป็นคนเก็บภาษี มีหน้าที่เก็บภาษีจากชนชาวยูดาย สำหรับอาณาจักรโรมัน คนเก็บภาษีส่วนมากในสมัยของพระเยซูคริสต์เป็นที่เกลียดชังอย่างมากโดยพวกยูดาย เพราะวิธีการอันไม่ยุติธรรมของเขาทั้งหลาย มัดธายผู้นี้ไม่เป็นคนอย่างนั้น ดังจะเห็นได้จากที่พระเยซูได้เรียกมัดธายให้เป็นอัครสาวก (มัดธาย 9.9, ลูกา 6.13-16) บางทีเรียกชื่อเขาว่า "เลวี" และ "บุตรของอาละฟาย" (มาระโก 2.14) บั้นปลายของชีวิตเป็นที่เชื่อกันว่าท่านถูกฆ่าตายด้วยดาบ ที่อายธิโอบ (เอธิโอเปีย) เพราะการเป็นพยานของท่านเพื่อพระเยซูคริสต์ หนังสือกิตติคุณที่ท่านมัดธายเขียนขื่อว่า "หนังสือมัดธาย"
มาระโก (Mark) เป็นผู้เขียนหนังสือมาระโก เป็นหลานชายของบาระนาบา ผู้ร่วมทำการด้วยกันกับเปาโลและบาระนาบา ในการประกาศพระกิตติคุณ ชื่อเต็มของเขาคือ "โยฮัน มาระโก" พระคริสตธรรมก็เรียกชื่อเขาทั้งสองชื่อ (กิจการ 12.12)
ลูกา (Luke) เป็นหมอ เป็นเพื่อนสนิทและผู้ทำการร่วมด้วยกันกับเปาโล ในการประกาศกิตติคุณ เป็นผู้เขียนหนังสือ "ลูกา" และ "กิจการ" เป็นผู้เดียวที่อยู่กับเปาโลในระหว่างเดือนสุดท้ายแห่ชีวิตของเปาโล (2ติโมเธียว 4.11)
โยฮัน (John) เป็นอัครสาวกและเป็นน้องชายของยาโกโบ เป็นผู้เขียนพระคริสตธรรม 4 เล่ม มีชื่อตามชื่อของท่านและพระธรรม "วิวรณ์" ไม่ควรเอาชื่อของท่านไปปะปนกับโยฮัน บัพติศโต เป็นคนละคน โยฮันผู้ให้บัพติศมาไม่เคยเขียนหนังสือเล่มใด ๆ หรืออย่านำไปปะปนกับชื่อของโยฮัน มาระโก ดังกล่าวมาแล้ว ท่านเป็นอัครสาวกคนเดียวที่เชื่อกันว่าตายอย่างธรรมดา
เปาโล (Paul) เป็นคนที่มีความรู้สูง ชื่อเดิมเป็นภาษาเฮ็บรายเรียกว่า "เซาโล" และก่อนการหันกลับมาหาพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นคนข่มเหงคริสตจักรอย่างทารุณกรรมที่สุด คิดว่าคริสตศาสนาเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระบัญญัติของพระเจ้า ท่านยังได้เดินทางไปยังต่างประเทศตามหัวเมืองน้อยใหญ่เพื่อจะข่มเหง และขจัดผู้เหล่านั้นที่ติดตามพระเยซูคริสต์ให้ถึงแก่ความตายสิ้นทุกคน (กิจการ 26.5-11) ภายหลังการหันกลับมาหาพระเยซูคริสต์แล้ว (ดังปรากฏในหนังสือกิจการ บทที่ 9.22-26) ท่านได้กลับเป็นผู้ประกาศกิตติคุณที่สำคัญผู้หนึ่ง และเป็นอัครสาวกคนสุดท้าย (1โกรินโธ 15.8-9, ฆะลาเตีย 1.1) วาระสุดท้ายของท่านได้ถูกประหารด้วยการตัดศีรษะในกรุงโรม ประมาณ ค.ศ. 68
ยาโกโบ (James) พระคริสตธรรมใหม่กล่าวถึงศิษย์ 3 คน ที่มีชื่อว่า ยาโกโบเหมือนกันหมด (หนังสือมาระโก 1.18, ฆะลาเตีย 1.19, มัดธาย 10.3) เป็นการยากที่จะคิดแน่นอนได้จริง ๆ ว่าคนไหนเป็นผู้เขียนหนังสือยาโกโบ
เปโตร (Peter) มีชื่อเรียกว่า "ซีโมน" และ "เกฟา" เป็นพี่ชายของอันดะเรอา เป็นอัครสาวกและแต่งงานแล้วด้วย (มาระโก 1.30, 1โกรินโธ 9.5) เมื่อพระเยซูทรงเรียกมาเป็นอัครสาวกนั้น ท่านเป็นชาวประมงที่ไร้การศึกษา แต่ภายหลังจากการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านเป็นผู้ประกาศที่มีอำนาจมากที่สุด ท่านได้เขียนหนังสือเปโตรฉบับต้นและฉบับที่สอง เหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของท่านหลายอย่างได้บันทึกไว้ในหนังสือกิจการบทที่ 1 ถึงบทที่ 12 มีบางคนคิดว่าเปโตรถูกตรึงที่กางเขนโดยเอาศีรษะลง
ยูดา (Jude) เรารู้เรื่องยูดาไม่มากนัก รู้แต่เพียงว่าท่านเป็นศิษย์เคร่งครัดอีกผู้หนึ่ง และเป็นผู้เขียนหนังสือยูดา บางคนเชื่อว่ายูดาผู้นี้เป็นน้องชายขององค์พระผู้เป็นเจ้า (มัดธาย 13.55)
หัวข้อพระคริสตธรรมใหม่โดยย่อ
มัดธาย ถึง โยฮัน ทั้งสี่เล่มนี้ บางทีเรียกว่า "กิตติคุณทั้งสี่" เริ่มต้นด้วยการเกิดของโยฮันผู้ให้บัพติศมา และสิ้นสุดลงด้วยการถูกตรึง, การเป็นขึ้นมาจากความตาย และการเสด็จกลับสู่สวรรค์ของพระเยซูคริสต์
กิจการของอัครสาวก หนังสือกิจการโดยมากเรียกว่า "หนังสือแห่งการหันกลับมาหาพระเจ้า" เพราะอธิบายอย่างละเอียดว่าหลายคนได้หันกลับมาหาพระเจ้าได้อย่างไรในสมัยของพระคริสตธรรมใหม่ และยังได้พูดถึงการเริ่มต้นและความเจริญของคริสตจักร
โรม ถึง ยูดา จดหมายฝากทั้ง 21 เล่มเหล่านี้ ได้เขียนถึงคริสเตียนทั้งหลาย และอภิปรายถึงเรื่องราวที่จะดำเนินชีวิตคริสเตียนอย่างสัตย์ซื่อสุจริตได้อย่างไร
หนังสือวิวรณ์ เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับคำพยากรณ์ ได้เขียนขึ้นในหลักใหญ่เป็นคำพยากรณ์และเป็นภาพพจน์ อธิบายถึงการต่อสู้ทางฝ่ายจิตต์วิญญาณ ระหว่างอำนาจของความดีและอำนาจของความชั่ว ไม่อาจเข้าใจได้อย่างถูกต้องถ้าแปลตามตัวอักษร
การดลใจให้เขียนพระคริสตธรรมขึ้น
ในหนังสือ 2ติโมเธียว 3.16 กล่าวไว้ว่า "พระคัมภีร์ทุกตอนพระเจ้าได้ทรงประสาทให้ (ดลใจให้เขียน) ย่อมเป็นประโยชน์สำหรับสั่งสอน..." ความจริงในพระคริสตธรรมเล่มใหญ่นี้หมายความว่า ผู้ที่เขียนพระคัมภีร์ทั้งหมดได้รับการทรงนำจากพระเจ้าให้เขียน แม้ว่าพระเจ้าได้ทรงใช้มือมนุษย์เขียนทุกสิ่งทุกอย่างตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจให้เขียน พระองค์ได้ทรงนำเขาทั้งหลายให้เขียนอย่างที่ไม่มีการผิดพลาดสักสิ่งเดียว (2เปโตร 1.21-22, 1เธซะโลนิเก 2.13)
ทั้งพระคริสตธรรมเดิมและใหม่ เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่า พระคัมภีร์ทุกข้อเป็นพระวจนะของพระเจ้า ในพระคริสตธรรมเดิมเองเท่านั้นเราจะพบข้อความเช่นว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัส" "พระเจ้าตรัส" และ "พระดำรัสของพระเจ้าได้มาถึง" ข้อความเหล่านี้ได้ถูกนำมาใช้มากกว่า 3,800 ครั้ง พระคริสตธรรมใหม่ผู้เขียนก็ได้กล่าวไว้ในบางแห่งเช่นเดียวกันว่า "พระบัญญัติของพระเจ้า" และ "พระคำของพระเจ้า" ข้อพระคัมภีร์ตอนสำคัญ ๆ บางข้อ ข้างล่างนี้ซึ่งจะอธิบายให้ชัดทีเดียวว่า คำพยากรณ์ทุกคำที่จารึกไว้ในพระคัมภีร์แล้ว พวกผู้พยากรณ์ไม่ได้คิดออกตามลำพังใจของตนเอง แต่ว่ามนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจให้กล่าวนั้น
2เปโตร 2.1 "ด้วยว่าคำพยากรณ์นั้นเมื่อก่อนไม่ได้เป็นมาตามใจมนุษย์ แต่ว่ามนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจให้กล่าวนั้น"
1โกรินโธ 14.37 "ข้อความซึ่งข้าพเจ้าเขียนฝากมายังท่านทั้งหลายนั้น เป็นพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า"
1เปโตร 1.25 "แต่ว่าคำของพระเจ้าดำรงอยู่เป็นนิตย์ นี่แหละคือข้อความแห่งข่าวประเสริฐซึ่งได้นำมาประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบ"
2ติโมเธียว 3.16-17 "พระคัมภีร์ทุกตอนพระเจ้าได้ทรงประสาทให้ (ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจให้เขียน)"
ฆะลาเตีย 1.8 "แต่ว่ามาตรแม้นเราก็ดี ทูตสวรรค์ก็ดี จะมาประกาศกิตติคุณอื่นแก่ท่าน นอกจากที่เราได้ประกาศแก่ท่านแล้ว ก็ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง"
ถ้ามีเวลาโปรดอ่านข้อเหล่านี้ต่อไปด้วย 1เธซะโลนิเก 2.13, ฆะลาเตีย 1.11-12, ลูกา 1.68-71, มัดธาย 10.19-20
จากข้อเหล่านี้และข้ออื่น ๆ ที่เหมือนกันจะเห็นได้ชัดทีเดียวว่า เมื่อผู้ใดไม่ยอมรับนับถือคำสอนแห่งพระคัมภีร์ ก็เท่ากับเขาได้หันหลังให้พระเจ้านั่นเองทีเดียว
หลักฐานทางคำพยากรณ์
จากข้อพิสูจน์ใหญ่อีกข้อหนึ่งที่ว่า พระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้า ที่ได้รับการดลใจให้เขียนนั้นก็คือ "คำพยากรณ์ต่าง ๆ ที่ได้กล่าวถึงนั้นได้สำเร็จลง" มีคำพยากรณ์จำนวนมากมายที่ได้เขียนขึ้นไว้นับเป็นเวลาหลายร้อยหลายพันปี ก่อนเหตุการณ์เหล่านั้นจะบังเกิดขึ้น แต่แล้วทุกข้อก็ได้สำเร็จลงตามคำพยากรณ์ทุกประการ
ประวัติศาสตร์สากลแสดงให้เห็นว่าข้อพระคัมภีร์หลายตอนมีคำพยากรณ์ต่าง ๆ กล่าวไว้และดำรงอยู่ก่อนแล้วหลายร้อยปี บางแห่งถึงพันปีก่อนสำเร็จลง คำพยากรณ์ใหญ่ ๆ เหล่านี้เป็นหลักฐานอันสำคัญที่จะยืนยันให้เห็นว่า พระคัมภีร์ทุกตอนได้จารึกไว้ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจจริง ๆ เพื่อความเหมาะสมสำหรับบทเรียนนี้จึงนำมาแสดงไว้เพียง 5 ตัวอย่างเท่านั้น
ดานิเอลบทที่ 2 (Daniel) ประมาณ 600 ปีก่อนคริสตกาล ดานิเอลได้พยากรณ์ถึง 4 อาณาจักรที่จะเกิดขึ้นในโลกนี้ บัดนี้เรารู้แน่นอนว่าอาณาจักรเหล่านั้นได้ตั้งขึ้นแล้ว เช่น ตัวอย่างที่ดานิเอลได้กล่าวไว้คือ อาณาจักรบาบูโลน (The Babylonian Empire) อาณาจักรเปอร์เซีย (The Medo-Persian Empire) ประมาณ 538-331 ปีก่อน ค.ศ. อาณาจักรกรีก (The Grecian Empire) ประมาณ 331-168 ปีก่อน ค.ศ. และอาณาจักรโรมัน (The Roman Empire) ในสมัยของพระเยซูคริสต์ เครื่องหมายและนิมิตต์หลาย ๆ อย่างของคำทำนายเหล่านี้ได้สำเร็จลงอย่างละเอียดละออทีเดียว
ยะซายา 13.19-22 (Isaiah) คำพยากรณ์นี้ได้เขียนขึ้นในราว 750 ปีก่อน ค.ศ. เมื่อกรุงบาบูโลนเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในโลกสมัยนั้น กำแพงเมืองหนาถึง 87 ฟุต สูง 350 ฟุต สวนลอยในกรุงบาบูโลนนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์สิ่งหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ผู้พยากรณ์ได้กล่าวถึงไว้ว่ากรุงนี้จะถูกทำลายลงอย่างน่าอนาถใจที่สุด และจะไม่สร้างขึ้นอีก เป็นความจริงเช่นที่กล่าวไว้ กรุงบาบูโลนได้ถูกทำลายลงและทุกวันนี้ก็เหลือแต่ซากสลักหักพัง ครั้งหนึ่งเป็นที่ตั้งของพระราชวังใหญ่ แต่มาบัดนี้เป็นที่อยู่และเที่ยวสัญจรไปมาของสัตว์ป่า ส่วนเมืองไม่สู้สำคัญอื่น ๆ ซึ่งได้ตั้งอยู่ก่อนแล้วยังคงเหลืออยู่ตราเท่าทุกวันนี้ คำพยากรณ์อย่างเดียวกันที่ได้กล่าวถึงเมืองตุโร (ยะเอศเคล 26.3-8, 21) เมืองซะมาเรีย (มีคา 1.6) และเมืองนีนะเว (ซะฟันยา 2.13-15) ก็ได้สำเร็จลงด้วยเช่นกัน
พระบัญญัติ บทที่ 28 (Deuteronomy) ประมาณ 1400 ปีก่อนคิรสตกาล โมเซได้พยากรณ์ถึงอนาคตของพวกยิศราเอล (อิศราเอลปัจจุบัน) ว่า เพราะความชั่วช้าในอนาคตของเขาทั้งหลาย เขาจะถูกชาติใหญ่แต่ไกลมาครอบครองมีอำนาจ และทำให้พวกยิศราเอลเหล่านี้กระจัดกระจายไปทั่วโลก คำพยากรณ์บางส่วนยังไม่สำเร็จ เพราะว่าเกือบ 1500 ปี เมื่อกองทัพโรมันอันเกรียงไกรได้ยกทัพเข้ากวาดล้างดินแดนประเทศปาเลสไตน์ และในปี ค.ศ. 70 ได้ชัยชนะและทำลายกรุงยะรูซาเล็มอย่างราบคาบ คำพยากรณ์นี้มีเรื่องราวอันละเอียดซับซ้อนอีกหลายอย่าง ยาวเกินไปที่จะนำมาอภิปรายในที่นี้ ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นคำพยากรณ์ทุกอย่างถูกต้องทุกวิถีทาง
ยะซายา บทที่ 53 และ บทเพลงสรรเสริญ บทที่ 22 (Isaiah and Psalms) คำพยากรณ์สำคัญ ๆ เหล่านี้ ระบุไว้อย่างชัดเจนถึงเรื่องการถูกตรึงของพระเยซูคริสต์ในอนาคต ทุกคนเมื่ออ่านดูก็รู้สึกเหมือนว่าผู้เขียนได้ยืนอยู่ใกล้ ๆ ไม้กางเขนจริง ๆ เมื่อเขียนอยู่นั้น อย่างไรก็ตามกษัตริย์ดาวิด (ผู้เขียนคำพยากรณ์ในหนังสือบทเพลงสรรเสริญ) ได้ทรงพระชนม์อยู่ก่อนพระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดในโลกนี้มากกว่าพันปี และก่อนยะซายา 750 ปี คำจารึกเหล่านี้ปรากฏในการแปลของพระคริสตธรรมเดิม ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าได้ถูกนำมาใช้หลายศตวรรษก่อนการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ คำพยากรณ์เหล่านี้มีหลาย ๆ ทัศนะซึ่งอยู่ในลักษณะที่ไม่อาจสำเร็จได้โดยเหตุการณ์อันบังเอิญ หรือแม้โดยความพยายามของมนุษย์ที่จะกระทำอย่างนั้น ผู้พยากรณ์ได้ทำนายไว้เช่น ตัวอย่าง การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์นั้นจะเป็นด้วยการถูกตรึง (บทเพลงสรรเสริญ 22.16) ผู้ฆ่าพระองค์จะเอาเสื้อผ้าของพระองค์มาจับฉลากกัน (บทเพลงสรรเสริญ 22.18, มาระโก 5.24) พระองค์จะทรงถูกฝังไว้ในอุโมงค์ของคนมั่งมี (ยะซายา 53.9, มัดธาย 27.57-69) พระองค์จะทรงถูกเฆี่ยน (ยะซายา 53.5, มัดธาย 27.26) และยังมีสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย รวมทั้งคำกล่าวบางอย่างที่พระเยซูคริสต์จะได้กล่าวออกมา (บทเพลงสรรเสริญ 22.1-8, มัดธาย 27.43-46)
พระคัมภีร์ได้แสดงข้อเท็จจริงไว้เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ก่อนสิ่งเหล่านั้นจะถูกค้นพบ
หลักฐานอันใหญ่ประการที่สองที่จะพิสูจน์ว่า พระคัมภีร์ได้เขียนขึ้นโดยการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นก็คือ พระคริสตธรรมได้แสดงข้อเท็จจริงไว้เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก่อนบางสิ่งจะถูกค้นพบ แท้จริงพระคริสตธรรมได้อภิปรายไว้พันปีก่อนคริสตกาล
นับเป็นหลายพันปีที่มนุษย์เชื่อว่าโลกนี้แบน ถ้าเรือกำปั่นแล่นออกนอกฝั่งไกลออกไปจะตกลงที่ริมขอบของโลกและจะพินาศไป ทุกวันนี้เราหัวเราะเยาะทฤษฎีเช่นว่านั้น แต่กระนั้นก็ดี ความเชื่อเช่นว่านี้ โลกได้ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในเวลานั้น จนกระทั่งมาถึงสมัยของท่านโคลัมบัสจึงได้เปลี่ยนแปลงไป และจนกระทั่งมีท่านผู้หนึ่งชื่อว่า แมกแจลแลน (Magellan) ได้แล่นเรือรอบโลกเมื่อ ค.ศ. 1522 ในที่สุดก็พิสูจน์ได้ว่าโลกกลม แต่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้อย่างถูกต้องว่าโลกกลมมากกว่าสองพันปีก่อนแมกแจลแลนเดินทางรอบโลกเพื่อสำรวจว่าโลกเรานี้กลม ดังปรากฏในหนังสือยะซายา 40.22 "ก็คือองค์ที่ประทับเบื้องสูงบนขอบ (circle - ส่วนโค้ง) จักวาลพิภพ" และเราอ่านต่อไปพบว่าในการสร้างโลกนั้นพระเจ้า "เมื่อพระองค์ทรงครอบ (วงกลม) จักรวาลเหนือห้วงน้ำลึก" (สุภาษิต 8.28)
ท่านแมทธิว ฟอนทีน มอรี่ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น "ผู้พบช่องทางติดต่อทางทะเล" ผู้ให้กำเนิดวิชาทางสมุทรศาสตร์ เป็นผู้ที่เชื่อมั่นในพระเจ้าและเป็นนักศึกษาพระคัมภีร์อย่างใกล้ชิดผู้หนึ่ง ก่อนสมัยของท่านยังไม่มีช่องทางและแผนผังในการเดินเรือทางทะเล วันหนึ่งขณะเมื่อท่านป่วยอยู่ บุตรของท่านได้อ่านพระคัมภีร์ให้ฟัง บทเพลงสรรเสริญ บทที่ 8 มีใจความว่า "พระเจ้าได้ทรงมอบอำนาจให้แก่มนุษย์ที่จะครอบครองบรรดาพระหัตถกิจของพระองค์ พระองค์ทรงให้สรรพสิ่งอยู่ใต้เท้าของมนุษย์นั้น คือบรรดาฝูงแกะ ฝูงโค และฝูงสัตว์ตามทุ่งนา ทั้งนกในอากาศและปลาในทะเล และสรรพสิ่งที่ไปมาทางทะเล" "ไหนอ่านอีกทีหนึ่งซิ" ท่านได้กล่าว และเมื่อท่านได้ฟังซ้ำเป็นครั้งที่สอง, ท่านได้กล่าวว่า "ถ้าพระคำของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า มีช่องทางไปมาทางทะเลได้ ช่องทางเหล่านั้นคงอยู่ที่นั่นแน่ พ่อจะไปค้นหา" เพียงไม่กี่ปีต่อมา ท่านได้ทำแผนผังช่องทางทะเลสำคัญ ๆ หลายสายไว้ได้หมด และช่องทางเหล่านี้เรือเดินสมุทรได้ใช้เดินทางกันมาจนตราบทุกวันนี้ ผู้เขียนพระคัมภีร์รู้ได้อย่างไรเมื่อพันปีก่อนพระคริสต์ได้ทรงบังเกิด สิ่งซึ่งนักปราชญ์ในโลกไม่เข้าใจจนเมื่อไม่นานมานี้เอง มีคำตอบแต่อย่างเดียว "พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้า"
ยิ่งเราได้ศึกษาหลักฐานอื่น ๆ ทางวิทยาศาสตร์อีกมากเท่าใด เราก็ยิ่งพบการดลใจของพระเจ้าแจ่มชัดขึ้นทุกที และเราจะกล่าวเช่นเดียวกับกษัตริย์ดาวิด ในบทเพลงสรรเสริญ 14.1 ว่า "คนโฉดเขลากล่าวในใจของตนแล้วว่า พระเจ้าไม่มี"