มนุษย์จะกลับมาหาพระเจ้าได้อย่างไร?
เราได้ศึกษาจากบทที่แล้วเป็นที่เข้าใจว่า มนุษย์ทั้งหลายมีจุดเริ่มจากที่เดียวกันทุกชาติทุกภาษาเป็นพี่น้องกัน ประวัติศาสตร์ได้สนับสนุนความจริงข้อนี้ แต่เนื่องจากมนุษย์ได้กระจัดกระจายไปทั่วโลก เป็นประเทศต่าง ๆ บรรดามนุษย์ได้หลงไปจากพระเจ้าผู้ทรงเนรมิตสร้างมนุษย์ตั้งแต่เดิม ไปนับถือรูปปั้นต่าง ๆ บ้างก็นับถือดวงอาทิตย์, ดวงดาวต่าง ๆ ต้นไม้ ภูเขา บ้างก็นับถือมนุษย์ มนุษย์ได้หลงไปไกลมากจนไม่สามารถหันกลับมาหาพระเจ้าอีก มนุษย์จะกลับไปหาพระเจ้าได้อย่างไร
การพลาดล้มของมนุษย์
ในเยเนซิศบทที่ 3 อาดามและฮาวาได้ละเมิดคำตรัสสั่งของพระเจ้า เยเนซิศ 3.1-13 นี้ ได้ชี้แจงเกี่ยวกับการที่มนุษย์ได้สะดุดล้มลงครั้งแรกการที่มนุษย์ทำผิดนี่เอง ทำให้เขาต้องแยกออกจากพระเจ้า พระเจ้าตรัสว่า "เราจะบันดาลให้เจ้า (ซาตาน) กับหญิงนี้ ทั้งเผ่าพันธุ์ของเจ้า (ซาตาน) กับเผ่าพันธุ์ของเราเป็นศัตรูกัน เผ่าพันธุ์ (เอกพจน์) ของหญิงจะทำหัวของเจ้า (ซาตาน) ให้ฟกช้ำ แล้วเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ..." (เยเนซิศ 3.15) ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้เปิดเผยให้เห็นคำพยากรณ์หรือพระสัญญาของพระเจ้าจะส่งเชื้อสาย (เอกพจน์) ของฮาวา (ซึ่งในภาษาเฮ็บรายเล็งถึงบุคคลคนเดียว) มาช่วยให้มนุษย์โลกหันกลับเป็นไมตรีกับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งในอนาคตข้างหน้า โดยการปลดเปลื้องบาปของมนุษย์เอาไปเสียให้พ้น ผู้ทรงคุณวุฒิในทางพระคัมภีร์ต่างเห็นพ้องกันว่าข้อความในเยเนซิศ 3.15 คำว่า "พงศ์พันธุ์" ในที่นี้เล็งถึงพระเยซูคริสต์ ซึ่งจะมาเป็นผู้กำจัดอำนาจของซาตานให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์
ต่อจากสมัยของอาดามกับฮาวาแล้วมนุษย์ก็ได้เพิ่มขึ้นในโลกนี้เป็นทวีคูณ แต่ความประพฤติของมนุษย์ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความชั่วทั้งสิ้น โมเซได้เปิดเผยให้เราทราบว่า พระเจ้าได้ทำลายล้างโลกด้วยน้ำเหลือแต่ครอบครัวของโนฮาเท่านั้นที่รอดอยู่ได้
อับราฮามบิดาแห่งความเชื่อ
หลังจากสมัยของโนฮาแล้ว พระเจ้าเห็นว่ามนุษย์ประพฤติตามราคะตัณหาของตนเอง เขาหาได้นับถือพระเจ้าไม่ ชนชาติต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ที่แผ่นดินบาบิโลน (บางทีเรียกว่าพวกคาลเดียน) ที่อียิปต์ หรือพวกที่อพยพไปอยู่บริเวณอื่นก็ดี ชนชาติเหล่านี้ได้ลืมพระเจ้า แต่ท่ามกลางมนุษย์โลกทั้งหลายที่หลงไปจากพระเจ้า มีชายคนหนึ่งที่ยังรักษาความเชื่ออันแท้เกี่ยวกับพระเจ้าเอาไว้ได้ เขายังนมัสการพระองค์อยู่ เขามิได้เหินห่างไปจากพระเจ้า ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ท่ามกลางชนชาติที่นับถือศาสนาป่าเถื่อนก็ตาม ชายคนนี้คืออับราฮาม อับราฮามอาศัยอยู่ในแผ่นดินของจักรพรรดิฮัมมารูบีแห่งอาณาจักรบาบิโลน 2500 ก.ค.ศ. บ้านของเขาอยู่ที่เมืองอุระ นักโบราณคดีได้ขุดค้นพบตัวเมืองอุระที่จมอยู่ใต้ดิน เผยให้เราทราบว่าเมืองอุระเป็นเมื่อที่มีความสำคัญมากในสมัยอับราฮาม
พระเจ้าได้เลือกอับราฮามคนเดียวในเวลานั้น เพราะไม่มีใครอื่นอีกแล้วที่จงรักภักดีต่อพระองค์ดีเหมือนอับราฮาม พระเจ้าได้สัญญาไว้กับอับราฮามสามประการคือ
(1) จะให้เขาเป็นประเทศใหญ่
(2) จะให้แผ่นดินเป็นมรกดสำหรับลูกหลาน
(3) พงศ์พันธุ์ (เอกพจน์) ของอับราฮามจะทำให้โลกได้รับพระพร (อ่านเยเนซิศ 12.2-3) "เราจะให้ตระกูลของเจ้าเป็นประเทศใหญ่ เราจะอวยพรให้เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่เลื่องลือไป เจ้าจะเป็นที่ให้เขาเจริญขึ้น เราจะอวยพรแก่คนที่อวยพรให้เรา เราจะแช่งสาปคนที่แช่งและบรรดาพงศ์พันธุ์ของมนุษย์โลกจะได้พระพรเพราะเจ้า"
คำสัญญานี้พระเจ้าได้กล่าวย้ำกับยิศฮาค, ยาโคบ และโยเซฟ ซึ่งเป็นลูกหลานของอับราฮามอีก (เยเนซิศ 28.13-14) คำสัญญาทั้งสามประการได้สำเร็จครบไปแล้ว คืออับราฮามได้มีลูกหลานมากจนได้เป็นประเทศใหญ่เรียกว่ายิศราเอล ได้แผ่นดินคะนาอันหรือปาเลสไตน์เป็นมรดก ตามที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้สมัยที่อาณาจักรรุ่งเรืองที่สุดคือสมัยของกษัตริย์ซะโลโม ประมาณ ก.ค.ศ.973 และคำสัญญาประการที่สามทั่วโลกจะได้รับพระพรฝ่ายวิญญาณจิตก็ได้สำเร็จในองค์พระเยซูคริสต์ "แต่เมื่อครบกำหนดแล้ว พระเจ้าจึงทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา" (ฆะลาเตีย 4.4) พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยของโลก เพราะฉะนั้นพระเยซูเป็นผู้ที่จะให้โลกได้รับพระพร