ศาสนาคริสต์ที่แท้กับนิกายต่างกันอย่างไร?
คนทั่วไปเข้าใจว่า ศาสนาคริสต์แบ่งออกเป็นสองนิยาย คือ นิกายโรมันคาธอลิคและนิกายโปรเตสแตนท์ ความคิดเช่นนี้เป็นความคิดที่ผิด ตามหลักคำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่มีนิกาย มีแต่คริสตจักรของพระเยซูคริสต์แต่เพียงอย่างเดียว ไม่มีนิกายโรมันคาธอลิคหรือโปรเตสแตนท์ พวกโรมันคาธอลิคได้เข้ามาเผยแพร่ศาสนาในประเทศไทยเป็นพวกแรกสมัยพระนารายณ์มหาราช คือพวกบาทหลวง, คุณพ่อหรือคาร์ดินัล ใส่เสื้อคลุมสีขาวหรือสีดำยาว ๆ ถึงเท้า ถ้าเป็นพวกสตรีเรียกว่านางชีใส่เสื้อคลุมสีขาวหรือสีดำยาว ๆ และมีผ้าคลุมศีรษะ คนทั่ว ๆ ไปส่วนมากเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว คนส่วนมากเหมาเอาว่าคาธอลิคเป็นคริสเตียน อีกพวกหนึ่งที่เรียกตนเองว่าเป็นพวกโปรเตสแตนท์ประกอบด้วยนิกายต่าง ๆ คณะเหล่านี้ใช้ชื่อเรียกหลายอย่างทำการเผยแพร่เป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน นิกายเหล่านี้ไม่มีหลักคำสอนยืนยันไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ พระเยซูคริสต์และอัครสาวกกล่าวต่อต้านอย่างแรงเกี่ยวกับการแบ่งแยกกัน การเกิดนิกายนี้มิใช่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกนิกายจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ โดยการปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระครสิตธรรมคัมภีร์ นิกายไม่เชื่อฟังคำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์จึงทำให้มีการแบ่งแยกกัน ตามหลักพระคริสตธรรมคัมภีร์ถือว่าการเป็นคริสเตียนนั้นจำเป็นต้องปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์อย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติในชีวิตประจำวันในการเรียกชื่อคริสตจักร ในการนมัสการ การสอน และเกี่ยวกับพิธีต่าง ๆ ถ้านิกายใดไม่ปฏิบัติตามก็หมายความว่าเขาไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้ตามแบบของพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ พระเยซูอธิษฐานเพื่อการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน "ข้าพเจ้ามิได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว แต่เพื่อคนทั้งหลายที่วางใจในข้าพเจ้าเพราะคำของเขา เพื่อเขาทั้งหลายจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนพระองค์คือพระบิดาสถิตอยู่ในข้าพเจ้า และข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์เพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์และกับข้าพเจ้าด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามา" (โยฮัน 17.20-21)
อัครสาวกเปาโลเตือนบรรดาคริสเตียนให้พึงระวังการแบ่งแยกกันเป็นคณะต่าง ๆ "ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าวิงวอนท่านทั้งหลายในพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ให้ท่านทั้งหลายเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและถืออย่างเดียวกัน" (1โกรินโธ 1.10)
อัครสาวกเปโตรอีกคนหนึ่งได้ชี้แจงไว้ว่าจะมีผู้สอนเท็จ คำสอนที่ถูกบ้างผิดบ้างผสมกันทำให้เกิดมีการแบ่งแยก "แต่ว่าได้มีผู้พยากรณ์เท็จเกิดขึ้นท่ามกลางพวกพลไพร่นั้น เช่นกับจะมีผู้สอนผิดในท่ามกลางท่านทั้งหลาย ที่จะแอบอ้างเอามิจฉาลัทธิอันจะให้ถึงความพินาศเข้ามาเสี้ยมสอน และจะปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงได้ไถ่เขาไว้ และจะพลันนำความพินาศมาถึงตนเอง" (2เปโตร 2.1)
ยังมีข้อความอีกหลายข้อในพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่ชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องโทษของผู้ที่จะนำคำสอนเท็จเข้ามาในคริสตจักร ทั้งพรเยซูคริสต์, อัครสาวกเปาโล และอัครสาวกเปโตร ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องยึดมั่นในการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ควรแตกแยกกัน ทำอย่างไรจึงจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ การแบ่งแยกกันนั้นไม่ใช่เป็นความผิดของพระเจ้า แต่เป็นความผิดของมนุษย์ ฉะนั้นมนุษย์ต้องแก้ไข แก้ไขอย่างไร? คือถ่อมสุภาพ เปิดใจศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์ ปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างตามแบบของพระคริสตธรรมคัมภีร์ กรุณาอ่านหนังสือ เอเฟโซ 4.1-6, ข้อ 1-3 ทัศนคติในการเป็นอันหนึ่งอันเดียวัน 5 ประการ, ข้อ 4-6 หลัก 7 ประการในการเป็นหนึ่งเดียวกัน
"เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าผู้ที่ถูกจำจองเพราะเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า จึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ประพฤติสมกับที่ท่านทั้งหลายทรงถูกเรียกแล้วนั้น คือด้วยใจถ่อมลงทุกอย่างและด้วยใจอ่อนสุภาพ ด้วยอดกลั้นใจ และผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกันด้วยความรัก จงเพียรพยายามเอาสันติสุขผูกมัดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ซึ่งพระวิญญาณทรงประทานให้นั้น" (เอเฟโซ 4.1-3) "มีกายอันเดียวและมีพระวิญญาณองค์เดียว เหมือนมีความหวังใจอันเดียวซึ่งเกี่ยวกับที่ท่านทั้งหลายทรงถูกเรียกนั้น มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่ออย่างเดียว บัพติศมาอันเดียว พระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของคนทั้งปวง ผู้อยู่เหนือคนทั้งปวง และทั่วคนทั้งปวง และในคนทั้งปวง" (เอเฟโซ 4.4-6)
มีข้อพึงสังเกตเกี่ยวกับคริสตจักรตามแบบฉบับของพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ ดังนี้
ก. เกี่ยวกับคริสตจักร พระเยซูคริสต์ทรงสัญญาว่าจะตั้งคริสตจักรแต่เพียงอันเดียว คริสตจักรนั้นก็คือเหล่าสมาชิกที่รับบัพติศมา (จุ่มตัวในน้ำ) เข้าไปสู่คริสตจักรนั่นเอง มัดธาย 16.16-18, เอเฟโซ 4.4, โกโลซาย 1.18, เอเฟโซ 1.22-23
ข. คริสตจักรนั้นชื่อว่าคริสตจักรของพระคริสต์ โรม 16.16 คริสตจักรของพระเจ้า กิจการ 20.28 โบสถ์ของพระเจ้า, 1ติโมเธียว 3.15 พระกายของพระคริสต์ โกโลซาย 1.18, เจ้าสาวของพระคริสต์ เอเฟโซ 5.23-27 ถ้ามีชื่อนอกเหนือกว่านี้ก็หมายความว่าเป็นนิกาย
ค. นมัสการอย่างไร
บทที่ 2
บทที่2
มีการนมัสการที่สำคัญ 5 ประการในวันอาทิตย์
1) การร้องเพลงโดยใช้เสียงคน ไม่ใช้ดนตรี เอเฟโซ 5.19
2) การเทศนาและศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์ 2ติโมเธียว 2.15
3) การอธิษฐาน 1เธซะโลนิเก 5.17 การอธิษฐานนี้ไม่มีการใช้สิ่งอื่นประกอบเหมือน นิกายอื่น หรือจะต้องมีธูปเทียนประกอบในการอธิษฐาน และไม่อธิษฐานพร้อม ๆ กัน ในที่ประชุม
4) การทำพิธีระลึกถึงพระเยซูคริสต์เจ้า เป็นการรับประทานอย่างเดียวกับที่พระเยซูรับ ประทานก่อนที่จะสิ้นพระชน์บนไม้กางเขน อาหารมื้อนั้นมีขนมปังไม่มีเชื้อแบบที่พวก ยิวรับประทานสำหรับพิธีปัศคา และดื่มน้ำองุ่น การรับประทานอาหารเพื่อเป็นที่ระลึก ถึงพระเยซูตามแบบพระคริสตธรรมคัมภีร์กระทำทุกวันอาทิตย์ นิกายที่ไม่ทำตามแบบ ของพระคริสตธรรมคัมภีร์ก็แสดงว่าทำตามความคิดเห็นของมนุษย์ ข้อพระคัมภีร์ที่สอน เรื่องนี้คือ มัดธาย 26.26-29, 1โกรินโธ 11.23-27
5) การถวายทรัพย์ การถวายทรัพย์ไม่ใช่เป็นการสร้างกุศลเหมือนศาสนาอื่น การถวาย ทรัพย์เป็นการบำรุงศาสนกิจของพระเยซู 1โกรินโธ 16.2
ผู้ที่นมัสการนอกจาก 5 ประการนี้ก็หมายความว่าเพิ่มบัญญัติของพระเจ้า ถือว่าเป็นความผิด วิวรณ์ 22.18-19 ได้ตักเตือนให้ผู้เชื่อทังหลายพึงระมัดระวังที่จะไม่กระทำอะไรเกิดที่พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนไว้แล้ว
ง. ไม่มีสภาคริสตจักร คริสตจักรตามแบบพระคัมภีร์ไม่มีสภาหรือกองบัญชาการกลาง คริสตจักรท้องถิ่นมีอำนาจโดยตรงตามหลักของพระคริสตธรรมคัมภีร์ มีพระเยซูเป็นประมุข โปรดอ่านดูข้อพระคัมภีร์ดังต่อไปนี้ เอเฟโซ 1.10, 4.12, 15, โกโลซาย 1.18, ฆะลาเตีย 1.2
จ. ทุกคนเป็นพี่น้องกันหมด ไม่มีสังฆราช ไม่มีสันตปาปา มัดธาย 23.9, 1โกรินโธ 12.12, 1โยฮัน 1.7
ฉ. ผู้ที่เป็นคริสเตียนจะตัองรับบัพติศมา ในนามพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ มัดธาย 28.18-19, มาระโก 16.15-16, กิจการ 2.38-22.16, 1เปโตร 3.21, โยฮัน 3.5
ช. สตรีคริสเตียนไม่ใช่นักเทศน์ หรือผู้ประกาศในที่สาธารณะ 1โกรินโธ 14.33-36, 1ติโมเธียว 2.12-15, วิวรณ์ 2.20
ซ. ปัจจุบันไม่มีผู้ใดมีฤทธิ์หรืออำนาจทำการอัศจรรย์ได้ 1โกรินโธ 13.8-9, 2เธซะโลนิเก 2.9-12
ยังมีข้อแตกต่างอีกมากซึ่งพวกนิกายได้สอนนอกเหนือจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ แต่ที่นำมากล่าวในที่นี้ก็พอเพียงที่จะให้นักศึกษาเห็นความแตกต่างระหว่างคริสเตียนแท้กับนิกายต่าง ๆ
การเกิดนิกายต่าง ๆ
อัครสาวกเปาโลเตือนว่า "ท่านทั้งหลายจะระวังให้ดี และจงรักษาฝูงแกะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงตั้งท่านไว้เป็นผู้ดูแล และเพื่อจะได้บำรุงเลี้ยงคริสตจักรของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงได้ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าเมื่อข้าพเจ้าไปแล้วจะมีสุนัขป่าอันร้ายเข้ามาท่ามกลางท่าน และจะไม่ละเว้นฝูงแกะไว้เลย จะเกิดมีบางคนในท่ามกลางพวกท่านเองกล่าวเลี่ยงความจริงเพื่อจะชักชวนเหล่าสาวกให้หลงตามเขาไป" (กิจการ 20.28-30) ข้อความนี้เป็นข้อความทีคริสเตียนทุกคนควรสังวรเอาไว้ ในยุคแรก ๆ คริสตจักรได้ตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 33 จนถึง ค.ศ. 100 คริสตจักรตั้งมั่นคงเป็นปึกแผ่นปฏิบัติตามหลักคำสอนของจำพวกอัครสาวกโดยเคร่งครัด (กิจการ 2.42) จำนวนสมาชิกของคริสตจักรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นับเป็นจำนวนหมื่น ๆ ภายในระยะสองเดือนแรกและต่อมาก็เพิ่มขึ้น ๆ จนกระทั่งมาถึงสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนติน ค.ศ. 300 ภายใต้อิทธิพลของจักรพรรดิคอนสแตนติน นิกายโรมัคคาธอลิคจึงได้ตั้งขึ้น ต่อมาในปี ค.ศ. 600 นิกายโรมันคาธิลิคไม่เปิดโอกาสให้คนธรรมดาศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์ นอกจากพวกบาทหลวงเท่านั้น มีคำสอนนอกพระคริสตธรรมคัมภีร์เกิดขึ้นมากมาย เช่น อนุญาตให้ทารกรับบัพติศมา และแทนที่จะเป็นการฝัง (จุ่มในน้ำ) กลับกลายเป็นการพรม มีการเคารพนางมาเรีย ซื้อตั๋วล้างบาป ฯลฯ ผู้ที่รักความจริงประสงค์จะปฏิบัติตามหลักของพระคริสตธรรมคัมภีร์จริง ๆ ได้เห็นข้อบกพร่องของพวกโรมันคาธอลิค จึงได้หาทางปฏิรูป ผู้นำที่สำคัญคือ มาร์ติน ลูเธอร์ หลังจากนั้นก็เกิดมีนักปฏิรูปอีกมาก ยังผลทำให้เกิดมีลัทธินิกายเกิดขึ้น แต่คริสเตียนแท้นั้นจะต้องไม่ปฏิบัติตามหลักคำสอนของลัทธินิกายใด มีนิกายที่เกิดขึ้นที่สำคัญดังต่อไปนี้
1. นิกายลูเธอร์รัล ภายใต้การนำของมาร์ติน ลูเธอร์ เมื่อ ค.ศ. 1526
2. นิกายอีพิศโคปอล แยกออกมาจากคณะแองกรีกันโบสถ์อังกฤษ เกิดเมื่อ ค.ศ. 1534
3. นิกายเพรสไบทีเรียน ภายใต้การนำของ จอห์น คาลวิน และ จอห์น น๊อก เมื่อ ค.ศ. 1572
4. นิกายแบ๊พติศ ภายใต้การนำของ จอห์น สมิธ เกิดเมื่อ ค.ศ. 1611
5. นิกายเมธอดิสต์ ภายใต้การนำของ จอห์น เวสเลย์ เกิดเมื่อ ค.ศ. 1744 จากคณะนี้ต่อมาก็แยกเป็น คณะโฮลีเนสส์ เพ็นเตคอส
6. นิกายมอร์มอน หรือ เชอร์ชออฟไครสต์เลเตอร์เดย์ ภายใต้การนำของโยเซฟ สมิธ เกิดเมื่อ ค.ศ. 1830
7. นิกายพยานพระยะโฮวา ภายใต้การนำของ ชาร์ลส์ แทช รัสเซลล์ เมื่อประมาณ ค.ศ. 1874
8. นิกายเซเว่นเดย์แอดวันติสต์ เกิดเมื่อ ค.ศ. 1863
เป็นที่น่าสังเกตว่าบรรดานิกายเหล่านี้ตั้งขึ้นหลังจากคริสตจักรแท้ตามแบบในพระคริสตธรรมคัมภีร์ คริสตจักรแท้ตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 33 ณ กรุงยะรูซาเล็ม ประมุขของคริสตจักรแท้คือพระเยซูคริสต์ หัวหน้าของนิกายต่าง ๆ ล้วนเป็นแต่เพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ชื่อที่ใช้เรียกคริสตจักรของนิกายล้วนแต่เป็นชื่อที่มนุษย์ตั้งขึ้นและไม่มีคำสอนในพระคริสตธรรมคัมภีร์
1) การร้องเพลงโดยใช้เสียงคน ไม่ใช้ดนตรี เอเฟโซ 5.19
2) การเทศนาและศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์ 2ติโมเธียว 2.15
3) การอธิษฐาน 1เธซะโลนิเก 5.17 การอธิษฐานนี้ไม่มีการใช้สิ่งอื่นประกอบเหมือน นิกายอื่น หรือจะต้องมีธูปเทียนประกอบในการอธิษฐาน และไม่อธิษฐานพร้อม ๆ กัน ในที่ประชุม
4) การทำพิธีระลึกถึงพระเยซูคริสต์เจ้า เป็นการรับประทานอย่างเดียวกับที่พระเยซูรับ ประทานก่อนที่จะสิ้นพระชน์บนไม้กางเขน อาหารมื้อนั้นมีขนมปังไม่มีเชื้อแบบที่พวก ยิวรับประทานสำหรับพิธีปัศคา และดื่มน้ำองุ่น การรับประทานอาหารเพื่อเป็นที่ระลึก ถึงพระเยซูตามแบบพระคริสตธรรมคัมภีร์กระทำทุกวันอาทิตย์ นิกายที่ไม่ทำตามแบบ ของพระคริสตธรรมคัมภีร์ก็แสดงว่าทำตามความคิดเห็นของมนุษย์ ข้อพระคัมภีร์ที่สอน เรื่องนี้คือ มัดธาย 26.26-29, 1โกรินโธ 11.23-27
5) การถวายทรัพย์ การถวายทรัพย์ไม่ใช่เป็นการสร้างกุศลเหมือนศาสนาอื่น การถวาย ทรัพย์เป็นการบำรุงศาสนกิจของพระเยซู 1โกรินโธ 16.2
ผู้ที่นมัสการนอกจาก 5 ประการนี้ก็หมายความว่าเพิ่มบัญญัติของพระเจ้า ถือว่าเป็นความผิด วิวรณ์ 22.18-19 ได้ตักเตือนให้ผู้เชื่อทังหลายพึงระมัดระวังที่จะไม่กระทำอะไรเกิดที่พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนไว้แล้ว
ง. ไม่มีสภาคริสตจักร คริสตจักรตามแบบพระคัมภีร์ไม่มีสภาหรือกองบัญชาการกลาง คริสตจักรท้องถิ่นมีอำนาจโดยตรงตามหลักของพระคริสตธรรมคัมภีร์ มีพระเยซูเป็นประมุข โปรดอ่านดูข้อพระคัมภีร์ดังต่อไปนี้ เอเฟโซ 1.10, 4.12, 15, โกโลซาย 1.18, ฆะลาเตีย 1.2
จ. ทุกคนเป็นพี่น้องกันหมด ไม่มีสังฆราช ไม่มีสันตปาปา มัดธาย 23.9, 1โกรินโธ 12.12, 1โยฮัน 1.7
ฉ. ผู้ที่เป็นคริสเตียนจะตัองรับบัพติศมา ในนามพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ มัดธาย 28.18-19, มาระโก 16.15-16, กิจการ 2.38-22.16, 1เปโตร 3.21, โยฮัน 3.5
ช. สตรีคริสเตียนไม่ใช่นักเทศน์ หรือผู้ประกาศในที่สาธารณะ 1โกรินโธ 14.33-36, 1ติโมเธียว 2.12-15, วิวรณ์ 2.20
ซ. ปัจจุบันไม่มีผู้ใดมีฤทธิ์หรืออำนาจทำการอัศจรรย์ได้ 1โกรินโธ 13.8-9, 2เธซะโลนิเก 2.9-12
ยังมีข้อแตกต่างอีกมากซึ่งพวกนิกายได้สอนนอกเหนือจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ แต่ที่นำมากล่าวในที่นี้ก็พอเพียงที่จะให้นักศึกษาเห็นความแตกต่างระหว่างคริสเตียนแท้กับนิกายต่าง ๆ
การเกิดนิกายต่าง ๆ
อัครสาวกเปาโลเตือนว่า "ท่านทั้งหลายจะระวังให้ดี และจงรักษาฝูงแกะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงตั้งท่านไว้เป็นผู้ดูแล และเพื่อจะได้บำรุงเลี้ยงคริสตจักรของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงได้ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าเมื่อข้าพเจ้าไปแล้วจะมีสุนัขป่าอันร้ายเข้ามาท่ามกลางท่าน และจะไม่ละเว้นฝูงแกะไว้เลย จะเกิดมีบางคนในท่ามกลางพวกท่านเองกล่าวเลี่ยงความจริงเพื่อจะชักชวนเหล่าสาวกให้หลงตามเขาไป" (กิจการ 20.28-30) ข้อความนี้เป็นข้อความทีคริสเตียนทุกคนควรสังวรเอาไว้ ในยุคแรก ๆ คริสตจักรได้ตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 33 จนถึง ค.ศ. 100 คริสตจักรตั้งมั่นคงเป็นปึกแผ่นปฏิบัติตามหลักคำสอนของจำพวกอัครสาวกโดยเคร่งครัด (กิจการ 2.42) จำนวนสมาชิกของคริสตจักรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นับเป็นจำนวนหมื่น ๆ ภายในระยะสองเดือนแรกและต่อมาก็เพิ่มขึ้น ๆ จนกระทั่งมาถึงสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนติน ค.ศ. 300 ภายใต้อิทธิพลของจักรพรรดิคอนสแตนติน นิกายโรมัคคาธอลิคจึงได้ตั้งขึ้น ต่อมาในปี ค.ศ. 600 นิกายโรมันคาธิลิคไม่เปิดโอกาสให้คนธรรมดาศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์ นอกจากพวกบาทหลวงเท่านั้น มีคำสอนนอกพระคริสตธรรมคัมภีร์เกิดขึ้นมากมาย เช่น อนุญาตให้ทารกรับบัพติศมา และแทนที่จะเป็นการฝัง (จุ่มในน้ำ) กลับกลายเป็นการพรม มีการเคารพนางมาเรีย ซื้อตั๋วล้างบาป ฯลฯ ผู้ที่รักความจริงประสงค์จะปฏิบัติตามหลักของพระคริสตธรรมคัมภีร์จริง ๆ ได้เห็นข้อบกพร่องของพวกโรมันคาธอลิค จึงได้หาทางปฏิรูป ผู้นำที่สำคัญคือ มาร์ติน ลูเธอร์ หลังจากนั้นก็เกิดมีนักปฏิรูปอีกมาก ยังผลทำให้เกิดมีลัทธินิกายเกิดขึ้น แต่คริสเตียนแท้นั้นจะต้องไม่ปฏิบัติตามหลักคำสอนของลัทธินิกายใด มีนิกายที่เกิดขึ้นที่สำคัญดังต่อไปนี้
1. นิกายลูเธอร์รัล ภายใต้การนำของมาร์ติน ลูเธอร์ เมื่อ ค.ศ. 1526
2. นิกายอีพิศโคปอล แยกออกมาจากคณะแองกรีกันโบสถ์อังกฤษ เกิดเมื่อ ค.ศ. 1534
3. นิกายเพรสไบทีเรียน ภายใต้การนำของ จอห์น คาลวิน และ จอห์น น๊อก เมื่อ ค.ศ. 1572
4. นิกายแบ๊พติศ ภายใต้การนำของ จอห์น สมิธ เกิดเมื่อ ค.ศ. 1611
5. นิกายเมธอดิสต์ ภายใต้การนำของ จอห์น เวสเลย์ เกิดเมื่อ ค.ศ. 1744 จากคณะนี้ต่อมาก็แยกเป็น คณะโฮลีเนสส์ เพ็นเตคอส
6. นิกายมอร์มอน หรือ เชอร์ชออฟไครสต์เลเตอร์เดย์ ภายใต้การนำของโยเซฟ สมิธ เกิดเมื่อ ค.ศ. 1830
7. นิกายพยานพระยะโฮวา ภายใต้การนำของ ชาร์ลส์ แทช รัสเซลล์ เมื่อประมาณ ค.ศ. 1874
8. นิกายเซเว่นเดย์แอดวันติสต์ เกิดเมื่อ ค.ศ. 1863
เป็นที่น่าสังเกตว่าบรรดานิกายเหล่านี้ตั้งขึ้นหลังจากคริสตจักรแท้ตามแบบในพระคริสตธรรมคัมภีร์ คริสตจักรแท้ตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 33 ณ กรุงยะรูซาเล็ม ประมุขของคริสตจักรแท้คือพระเยซูคริสต์ หัวหน้าของนิกายต่าง ๆ ล้วนเป็นแต่เพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ชื่อที่ใช้เรียกคริสตจักรของนิกายล้วนแต่เป็นชื่อที่มนุษย์ตั้งขึ้นและไม่มีคำสอนในพระคริสตธรรมคัมภีร์