บทที่ 8
บทที่8
การดลใจของพระคัมภีร์ THE INSPIRATION OF THE BIBLE
ในบทเรียนบทที่ 7 เราได้ศึกษาว่าพระคัมภีร์ทั้ง 66 เล่มแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ คือพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ เราเรียนรู้ว่าพระคัมภีร์ทั้งหมดมีความสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์ที่สุดในการบอกเล่าเรื่อง ๆ เดียวก็คือการที่มนุษย์พลาดล้มลงในความบาปและความรอดพ้นจากความบาปโดยการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เจ้า คำถามที่เราต้องการคำตอบในบทเรียนนี้ก็คือ พระคัมภีร์มีความแตกต่างจากหนังสืออื่น ๆ ในโลกอย่างไร?
พระคัมภีร์เป็นพระคำที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า
THE BIBLE IS INSPIRED WORD OF GOD
เหตุผลที่พระคัมภีร์ไม่เหมือนกับหนังสืออื่น ๆ ในโลกก็เพราะว่าพระคัมภีร์เล่มเดียวเท่านั้นที่ได้รับการดลใจโดยพระเจ้า เมื่อเราพูดว่าพระคัมภีร์ได้รับการ "ดลใจ" เราหมายความว่าอย่างไร? คำว่าดลใจในภาษาอังกฤษมาจากคำว่า "inspire" มาจากภาษาละตินจากคำว่า "inspirare" ซึ่งหมายความว่า "การระบายลมหายใจเข้า" พระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าก็เพราะว่าพระองค์ "ได้ระบายลมหายใจเข้า" ในการเขียนพระคัมภีร์เพื่อให้มีเนื้อหาสาระตามที่พระองค์ทรงประสงค์เพราะพระคัมภีร์ "ได้รับการระบายลมหายใจ" จากพระเจ้า (2 ติโมเธียว3:16-17 ประสาทให้หรือดลใจให้) ดังนั้นพระคัมภีร์ในฉบับดั้งเดิมจึงปลอดจากความบกพร่องใด ๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าพระคัมภีร์ไม่ได้อ้างว่าเป็นตำราทางประวัติศาสตร์, ตำราวิทยาศาสตร์, หรือคณิตศาสตร์ อย่างไรก็ตามเมื่อพระคัมภีร์กล่าวเกี่ยวข้องกับศาสตร์เหล่านี้ ผู้เขียนเหล่านั้นไม่ได้เขียนผิดพลาดสิ่งใด แต่พวกเขาได้เขียนถูกต้องตามความจริงเสมอ
ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะพูดเฉย ๆ ว่า พระคัมภีร์ได้รับการดลใจ เว้นไว้แต่ว่าเรามีข้อเสนอให้เห็นเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจ (โปรดระลึกถึงกฎของการหาเหตุผลในการค้นหาความจริง Law of Rationality นำมากล่าวไว้ในบทที่ 3) หลักฐานที่จะพิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจมีเหตุผลใหญ่ ๆ สองประการ คือ หลักฐานภายนอก (External) ที่จะพิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า เช่น ชื่อของบุคคลต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ที่ปรากฏจริงในประวัติศาสตร์ สถานที่ และเหตุการณ์ต่าง ๆ รวมทั้งชิ้นส่วนวัตถุทางโบราณคดีที่ได้พบสนับสนุนพระคัมภีร์ หลักฐานภายใน (Internal) เป็นหลักฐานที่มาจากภายในพระคัมภีร์เองซึ่งรวมทั้งใจความในพระคัมภีร์ที่แสดงให้เห็นว่าข้อพระคำเหล่านี้ไม่สามารถอธิบายเป็นอย่างอื่น นอกจากที่จะยอมรับว่านี่เป็นผลผลิตที่เกิดจากการทรงนำจากพระเจ้า (ความสอดคล้องกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวตามที่อภิปรายไว้ในบทที่ 7 เป็นตัวอย่างที่สนับสนุนหลักฐานภายในได้เป็นอย่างดี)
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความแม่นยำของพระคัมภีร์
THE FACTUAL ACCURACY OF THE BIBLE
พระคัมภีร์ประกาศตัวเองว่าเป็น พระคำที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า เพราะฉะนั้นไม่ว่าพระคัมภีร์กล่าวเรื่องใด ๆ ก็จะต้องมีความแม่นยำทั้งสิ้นเพราะพระเจ้าทรงทราบทุกสิ่ง (1โยฮัน 3:20) ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความแม่นยำของพระคัมภีร์ยืนยันว่าได้รับการดลใจ ครั้งแล้วครั้งเล่าข้อเท็จจริงของพระคัมภีร์สามารถผ่านการทดสอบอย่างโชกโชนซึ่งสามารถเห็นตัวอย่างมากมายที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์
ในอดีตเคยมีผู้คัดค้านว่าศาสดาพยากรณ์ยะซายาได้เขียนผิด ๆ เมื่อท่านได้กล่าวถึงบุคคลในประวัติศาสตร์คือ Sargon (ซาร์กอน) กษัตริย์องค์หนึ่งของประเทศอะซีเรีย (ยะซายา 20:1) เป็นเวลาหลายปีข้อเท็จจริงที่บันทึกไว้โดยยะซายาเป็นแต่เพียงหลักฐานประกอบพระคัมภีร์และประวัติศาสตร์โลกว่า กษัตริย์ซาร์กอนมีความสำคัญเชื่อมโยงกับประเทศอะซีเรีย ดังนั้นผู้คัดค้านพระคัมภีร์จึงเหมาะเอาว่ายะซายาผิดพลาด แต่ในปี ค.ศ.1843 Paul Emile Botta ผู้เป็นอัครทูตที่ Mosul ได้ประสานงานกับ Austen Layard ได้ทำการขุดพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นการยืนยันอย่างชัดเจนว่า Sargon เป็นกษัตริย์ของประเทศอะซีเรียจริงตามที่ยะซายาได้บันทึกไว้ที่เมือง Khorsabad ท่าน Botta ได้ค้นพบพระราชวังของ Sargon ภาพจาการค้นพบสิ่งเหล่านี้สามารถพบได้ในหนังสือคู่มือพระคัมภีร์ สรุปว่าสิ่งที่ท่านยะซายาได้บันทึกไว้เป็นความจริงตลอดเวลา ส่วนพวกที่ชอบคัดค้านได้ผิดตลอดเวลา
ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ได้บันทึกชื่อประเทศต่าง ๆ มากกว่า 45 ประเทศ (และยังกล่าวถึงเมืองต่าง ๆ อีกมาก) ชื่อประเทศและชื่อเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ที่พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงปรากฏว่า ตั้งอยู่ตรงจุดภูมิศาสตร์ตามความเป็นจริงโดยไม่คลาดเคลื่อน อันที่จริงเมื่อใดก็ตามที่มีการตรวจสอบพระคัมภีร์ เมื่อนั้นพระคัมภีร์สามารถผ่านการทดสอบได้ ตัวอย่างเช่น มีนักโบราณคดีผู้มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ผ่านมาชื่อ Sir William Ramsay ซึ่งไม่เชื่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่นายแพทย์ลูกาได้บันทึกไว้ในหนังสือกิจการ Ramsay เชื่อว่าสิ่งที่นายแพทย์ลูกาได้บันทึกไว้เป็นเรื่องที่สมมุติขึ้นในศตวรรษที่สอง ซึ่งภายหลัง Ramsay กับทีมงานใช้เวลาขุดหลักฐานต่าง ๆ ตามบริเวณ Asia minor ซึ่งใช้เวลาขุดกันจริง ๆ จัง ๆ ตรงบริเวณดังกล่าวอยู่หลายปีในที่สุด Ramsay ได้สรุปว่านายแพทย์ลูกาอัจฉริยะจริง ๆ และเป็นนักประวัติศาสตร์ที่ไม่ธรรมดา หลังจาก Ramsay ได้ทำการค้นพบแล้วนักวิชาการคนอื่นหลังจากนั้นยี่สิบปีได้ลงความเห็นว่าเบื้องหลังประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์ใหม่โดยนายแพทย์ลูกาเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงในยุคนั้นจริง ๆ
คำพยากรณ์ของพระคัมภีร์ THE PROPHECY OF THE BIBLE
วิธีหนึ่งที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจก็คือการแสดงให้เห็นว่าข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ตรวจสอบเหล่านั้นถูกต้องอีกวิธีหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจก็คือแสดงให้เห็นว่าคำพยากรณ์เกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเหล่านั้นถูกต้อง ความประทับใจที่สำคัญที่สุดจากหลักฐานภายในที่พิสูจน์ให้เห็นการดลใจของพระคัมภีร์ก็คือคำพยากรณ์ล่วงหน้าต่าง ๆ เหล่านั้นสำเร็จทั้งหมด ถ้าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้าก็ควรจะประกอบด้วยเนื้อหาคำพยากรณ์ที่สำเร็จ อันที่จริงคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ได้พยากรณ์ล่วงหน้าอย่างละเอียดถี่ยิบและประสบความสำเร็จแม่นยำอย่างตรงที่สุดซึ่งเป็นข้อกังขาของนักสงสัยที่คัดค้านมาเป็นเวลานานหลายชั่วอายุ พระคัมภีร์มีคำพยากรณ์มากมายที่เกี่ยวกับบุคคล เกี่ยวกับประเทศ เกี่ยวกับเมือง รวมทั้งคำพยากรณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระมาซีฮา
การที่คำพยากรณ์จะประสบความสำเร็จจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
ในบทเรียนบทที่ 7 เราได้ศึกษาว่าพระคัมภีร์ทั้ง 66 เล่มแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ คือพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ เราเรียนรู้ว่าพระคัมภีร์ทั้งหมดมีความสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์ที่สุดในการบอกเล่าเรื่อง ๆ เดียวก็คือการที่มนุษย์พลาดล้มลงในความบาปและความรอดพ้นจากความบาปโดยการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เจ้า คำถามที่เราต้องการคำตอบในบทเรียนนี้ก็คือ พระคัมภีร์มีความแตกต่างจากหนังสืออื่น ๆ ในโลกอย่างไร?
พระคัมภีร์เป็นพระคำที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า
THE BIBLE IS INSPIRED WORD OF GOD
เหตุผลที่พระคัมภีร์ไม่เหมือนกับหนังสืออื่น ๆ ในโลกก็เพราะว่าพระคัมภีร์เล่มเดียวเท่านั้นที่ได้รับการดลใจโดยพระเจ้า เมื่อเราพูดว่าพระคัมภีร์ได้รับการ "ดลใจ" เราหมายความว่าอย่างไร? คำว่าดลใจในภาษาอังกฤษมาจากคำว่า "inspire" มาจากภาษาละตินจากคำว่า "inspirare" ซึ่งหมายความว่า "การระบายลมหายใจเข้า" พระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าก็เพราะว่าพระองค์ "ได้ระบายลมหายใจเข้า" ในการเขียนพระคัมภีร์เพื่อให้มีเนื้อหาสาระตามที่พระองค์ทรงประสงค์เพราะพระคัมภีร์ "ได้รับการระบายลมหายใจ" จากพระเจ้า (2 ติโมเธียว3:16-17 ประสาทให้หรือดลใจให้) ดังนั้นพระคัมภีร์ในฉบับดั้งเดิมจึงปลอดจากความบกพร่องใด ๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าพระคัมภีร์ไม่ได้อ้างว่าเป็นตำราทางประวัติศาสตร์, ตำราวิทยาศาสตร์, หรือคณิตศาสตร์ อย่างไรก็ตามเมื่อพระคัมภีร์กล่าวเกี่ยวข้องกับศาสตร์เหล่านี้ ผู้เขียนเหล่านั้นไม่ได้เขียนผิดพลาดสิ่งใด แต่พวกเขาได้เขียนถูกต้องตามความจริงเสมอ
ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะพูดเฉย ๆ ว่า พระคัมภีร์ได้รับการดลใจ เว้นไว้แต่ว่าเรามีข้อเสนอให้เห็นเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจ (โปรดระลึกถึงกฎของการหาเหตุผลในการค้นหาความจริง Law of Rationality นำมากล่าวไว้ในบทที่ 3) หลักฐานที่จะพิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจมีเหตุผลใหญ่ ๆ สองประการ คือ หลักฐานภายนอก (External) ที่จะพิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า เช่น ชื่อของบุคคลต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ที่ปรากฏจริงในประวัติศาสตร์ สถานที่ และเหตุการณ์ต่าง ๆ รวมทั้งชิ้นส่วนวัตถุทางโบราณคดีที่ได้พบสนับสนุนพระคัมภีร์ หลักฐานภายใน (Internal) เป็นหลักฐานที่มาจากภายในพระคัมภีร์เองซึ่งรวมทั้งใจความในพระคัมภีร์ที่แสดงให้เห็นว่าข้อพระคำเหล่านี้ไม่สามารถอธิบายเป็นอย่างอื่น นอกจากที่จะยอมรับว่านี่เป็นผลผลิตที่เกิดจากการทรงนำจากพระเจ้า (ความสอดคล้องกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวตามที่อภิปรายไว้ในบทที่ 7 เป็นตัวอย่างที่สนับสนุนหลักฐานภายในได้เป็นอย่างดี)
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความแม่นยำของพระคัมภีร์
THE FACTUAL ACCURACY OF THE BIBLE
พระคัมภีร์ประกาศตัวเองว่าเป็น พระคำที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า เพราะฉะนั้นไม่ว่าพระคัมภีร์กล่าวเรื่องใด ๆ ก็จะต้องมีความแม่นยำทั้งสิ้นเพราะพระเจ้าทรงทราบทุกสิ่ง (1โยฮัน 3:20) ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความแม่นยำของพระคัมภีร์ยืนยันว่าได้รับการดลใจ ครั้งแล้วครั้งเล่าข้อเท็จจริงของพระคัมภีร์สามารถผ่านการทดสอบอย่างโชกโชนซึ่งสามารถเห็นตัวอย่างมากมายที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์
ในอดีตเคยมีผู้คัดค้านว่าศาสดาพยากรณ์ยะซายาได้เขียนผิด ๆ เมื่อท่านได้กล่าวถึงบุคคลในประวัติศาสตร์คือ Sargon (ซาร์กอน) กษัตริย์องค์หนึ่งของประเทศอะซีเรีย (ยะซายา 20:1) เป็นเวลาหลายปีข้อเท็จจริงที่บันทึกไว้โดยยะซายาเป็นแต่เพียงหลักฐานประกอบพระคัมภีร์และประวัติศาสตร์โลกว่า กษัตริย์ซาร์กอนมีความสำคัญเชื่อมโยงกับประเทศอะซีเรีย ดังนั้นผู้คัดค้านพระคัมภีร์จึงเหมาะเอาว่ายะซายาผิดพลาด แต่ในปี ค.ศ.1843 Paul Emile Botta ผู้เป็นอัครทูตที่ Mosul ได้ประสานงานกับ Austen Layard ได้ทำการขุดพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นการยืนยันอย่างชัดเจนว่า Sargon เป็นกษัตริย์ของประเทศอะซีเรียจริงตามที่ยะซายาได้บันทึกไว้ที่เมือง Khorsabad ท่าน Botta ได้ค้นพบพระราชวังของ Sargon ภาพจาการค้นพบสิ่งเหล่านี้สามารถพบได้ในหนังสือคู่มือพระคัมภีร์ สรุปว่าสิ่งที่ท่านยะซายาได้บันทึกไว้เป็นความจริงตลอดเวลา ส่วนพวกที่ชอบคัดค้านได้ผิดตลอดเวลา
ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ได้บันทึกชื่อประเทศต่าง ๆ มากกว่า 45 ประเทศ (และยังกล่าวถึงเมืองต่าง ๆ อีกมาก) ชื่อประเทศและชื่อเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ที่พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงปรากฏว่า ตั้งอยู่ตรงจุดภูมิศาสตร์ตามความเป็นจริงโดยไม่คลาดเคลื่อน อันที่จริงเมื่อใดก็ตามที่มีการตรวจสอบพระคัมภีร์ เมื่อนั้นพระคัมภีร์สามารถผ่านการทดสอบได้ ตัวอย่างเช่น มีนักโบราณคดีผู้มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ผ่านมาชื่อ Sir William Ramsay ซึ่งไม่เชื่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่นายแพทย์ลูกาได้บันทึกไว้ในหนังสือกิจการ Ramsay เชื่อว่าสิ่งที่นายแพทย์ลูกาได้บันทึกไว้เป็นเรื่องที่สมมุติขึ้นในศตวรรษที่สอง ซึ่งภายหลัง Ramsay กับทีมงานใช้เวลาขุดหลักฐานต่าง ๆ ตามบริเวณ Asia minor ซึ่งใช้เวลาขุดกันจริง ๆ จัง ๆ ตรงบริเวณดังกล่าวอยู่หลายปีในที่สุด Ramsay ได้สรุปว่านายแพทย์ลูกาอัจฉริยะจริง ๆ และเป็นนักประวัติศาสตร์ที่ไม่ธรรมดา หลังจาก Ramsay ได้ทำการค้นพบแล้วนักวิชาการคนอื่นหลังจากนั้นยี่สิบปีได้ลงความเห็นว่าเบื้องหลังประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์ใหม่โดยนายแพทย์ลูกาเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงในยุคนั้นจริง ๆ
คำพยากรณ์ของพระคัมภีร์ THE PROPHECY OF THE BIBLE
วิธีหนึ่งที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจก็คือการแสดงให้เห็นว่าข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ตรวจสอบเหล่านั้นถูกต้องอีกวิธีหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจก็คือแสดงให้เห็นว่าคำพยากรณ์เกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเหล่านั้นถูกต้อง ความประทับใจที่สำคัญที่สุดจากหลักฐานภายในที่พิสูจน์ให้เห็นการดลใจของพระคัมภีร์ก็คือคำพยากรณ์ล่วงหน้าต่าง ๆ เหล่านั้นสำเร็จทั้งหมด ถ้าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้าก็ควรจะประกอบด้วยเนื้อหาคำพยากรณ์ที่สำเร็จ อันที่จริงคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ได้พยากรณ์ล่วงหน้าอย่างละเอียดถี่ยิบและประสบความสำเร็จแม่นยำอย่างตรงที่สุดซึ่งเป็นข้อกังขาของนักสงสัยที่คัดค้านมาเป็นเวลานานหลายชั่วอายุ พระคัมภีร์มีคำพยากรณ์มากมายที่เกี่ยวกับบุคคล เกี่ยวกับประเทศ เกี่ยวกับเมือง รวมทั้งคำพยากรณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระมาซีฮา
การที่คำพยากรณ์จะประสบความสำเร็จจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
ประการแรก : ต้องมีความเจาะจงบอกรายละเอียดไว้อย่างจะแจ้งไม่ใช่บอกคลุมเครือหรือพูดกว้าง ๆ
ประการที่สอง : จะต้องมีเวลาห่างมากสมควรระหว่างคำพยากรณ์กับเวลาที่จะประสบความสำเร็จเพื่อไม่ให้ผู้พยากรณ์ใช้ความสามารถของตนใช้อิทธิพลครอบงำสิ่งที่จะเกิดขึ้น
ประการที่สาม : คำพยากรณ์จะต้องบอกชัดเจนเป็นใจความที่เข้าใจได้
ประการที่สี่ : คำพยากรณ์จะต้องไม่เป็นประวัติศาสตร์ที่ได้เกิดขึ้นแล้ว หรือพูดให้เข้าใจเสียใหม่ คำพยากรณ์จะต้องไม่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่เกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจและสังคม
ประการที่ห้า : คำพยากรณ์นั้น ๆ จะต้องสำเร็จอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา และเป็นที่เข้าใจได้ ไม่ใช่เพียงแต่แนะว่าเหตุการณ์ข้างหน้าอาจจะเกิดขึ้นจริง "มีความเป็นไปได้สูง" อย่างนี้ใช้ไม่ได้ คำพยากรณ์ที่สำเร็จตามความเป็นจริงจะไม่ผิดพลาดและมีความสัมพันธ์กับคำพยากรณ์อย่างละเอียดมีคำถามเกิดขึ้นสองคำถาม
(1) พระคัมภีร์มีคำพยากรณ์ทำนายล่วงหน้าหรือไม่? และ
(2) ถ้ามีคำพยากรณ์ที่ทำนายล่วงหน้าสามารถพิสูจน์เป็นความจริงได้ไหม? คำตอบของคำถามทั้งสองข้อคือ "ใช่" พระคัมภีร์มีคำพยากรณ์ที่ประสบความสำเร็จตามคำทำนายอย่างแม่นยำอย่างสมบูรณ์แบบทุกครั้งโดยไม่ผิดพลาด โปรดพิจารณาดูตัวอย่างพอสังเขปดังต่อไปนี้
ในพระคัมภีร์มีคำพยากรณ์มากเกี่ยวกับประเทศและเมืองต่าง ๆ ที่รุ่งเรืองขึ้นและล่มจมไป ตัวอย่างเช่นในหนังสือ ยะเอศเคล 26:1-4 พระคัมภีร์ได้พยากรณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับความพินาศของเมืองตุโร (Tyre) และประสบความสำเร็จอย่างแม่นยำ ผู้พยากรณ์ยะเอศเคลได้ทำนายว่ากษัตริย์นะบูคัศเนซัร (Nebuchadnezzar) กษัตริย์แห่งบาบิโลนจะทำลายเมืองตุโร (ยะเอศเคล 26:7-8) หลายประเทศจะมาต่อสู้กับเมืองตุโร (26:3) เมืองนี้จะถูกทำลายทิ้งลงในทะเล (26:12) บริเวณรอบแถบนั้นจะกลายเป็นที่ตากอวนของชาวประมง (26:5) และประการสุดท้ายเมืองตุโรจะไม่มีผู้ใดสร้างขึ้นใหม่ให้สง่างามเหมือนเดิมได้อีก (26:14) ประวัติศาสตร์ได้เปิดเผยให้เราทราบว่า คำพยากรณ์ทุกประการเหล่านี้ประสบความสำเร็จ เมืองตุโรเป็นเมืองที่ติดกับชายฝั่งทะเลเป็นเมืองในสมัยโบราณซึ่งถูกสร้างขึ้นค่อนข้างพิเศษไม่ธรรมดา มีเมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งและยังมีอีกเมืองหนึ่งซึ่งสร้างอยู่บนเกาะห่างจากเมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งไปประมาณ 1 กิโลเมตร นะบูคัศเนซัรได้มาล้อมเมืองที่อยู่บนฝั่งเมื่อปี 586 B.C. และในที่สุดได้ยึดเมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งได้ในปี 573 B.C. ชัยชนะของนะบูคัศเนซัรได้แต่เมืองที่ว่างเปล่า เพราะเขาไม่รู้ว่าชาวเมืองที่อยู่บนฝั่งได้อพยพหนีไปยังเมืองที่อยู่บนเกาะ สถานการณ์ยังคงดำรงอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นเวลาต่อจากนั้นอีก 241 ปี จนกระทั่งปี 332 B.C. อเล็กซานเดอร์มหาราชได้ตีเมืองและเอาชนะได้ด้วยความยากลำบาก ที่จะให้กองทัพไปถึงเมืองที่ตั้งอยู่บนเกาะ อเล็กซานเดอร์เกณฑ์ทหารให้กวาดเศษวัสุดต่าง ๆ "จนเกลี้ยง" จากเมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งแล้วนำเอาเศษวัสดุเหล่านั้น (หิน ไม้ และดิน) สร้างเป็น "ทางเชื่อม" ไปถึงเมืองที่ตั้งอยู่บนเกาะ แม้ว่าอเล็กซานเดอร์จะทำให้เมืองตุโรที่ตั้งอยู่บนเกาะได้รับความเสียหายย่อยยับ แต่เมืองนั้นก็ยังคงตั้งอยู่ได้ แท้จริงเมืองนั้นยังตั่งมั่นและค่อยเสื่อมโทรมอยู่จนเป็นเวลา 1600 ปี หลังจากนั้นจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1291 กองทัพมุสลิมได้ทำลายเมืองตุโรอย่างราบคาบ ตั้งแต่นั้นมาเมืองตุโรไม่สามารถฟื้นสถานะภาพของประเทศที่มั่นคงและเกรียงไกรได้อีกเลย ผู้พยากรณ์ยะเอศเคลได้พยากรณ์ล่วงหน้าเป็นเวลา 1900 ปี ว่าเมืองตุโรจะพินาศล่มจมและกลายเป็นเมืองร้างและเป็นที่ตากอวนของชาวประมงและได้เกิดขึ้นจริงตามที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเอาไว้
พระคัมภีร์เดิมยังประกอบด้วยคำพยากรณ์เกี่ยวกับการเสด็จมาของ พระมาซีฮา มากกว่าสามร้อยรายการ คำพยากรณ์เกี่ยวกับ พระมาซีฮา ก็คือคำพยากรณ์เกี่ยวกับการเสด็จมาของ พระผู้ช่วยให้รอด คำพยากรณ์เหล่านี้ได้เขียนล่วงหน้าบอกให้โลกรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับการมาของผู้ที่จะช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความบาป คำพยากรณ์เกี่ยวกับพระมาซีฮากล่าวว่า เขาผู้นั้นจะเป็นที่ดูหมิ่นและเป็นคนเจ้าทุกข์ (ยะซายา 53:3) และถูกทรยศโดยสหายสนิท (บทเพลงสรรเสริญ 41:9) ด้วยเงินสามสิบแผ่น (ซะคาระยา 11:12) สิ่งที่ได้ทำนายไว้ก็เป็นตามความจริงทุกประการ (โยฮัน 13:18, มัดธาย 26:15) พระองค์ผู้นั้นจะถูกถ่มน้ำลายรดและจะถูกโบยตี (ยะซายา 50:6, 53:5) ตอนที่พระองค์สิ้นพระชนม์เขาจะตรึงตะปูที่เท้าและที่มือของพระองค์ (บทเพลงสรรเสริญ 22:16-17) แต่กระดูกของพระองค์จะไม่หักเมื่อถูกตรึง (บทเพลงสรรเสริญ 34:20, โยอัน 19:33) ร่างกายของพระองค์จะไม่เปื่อยเน่าเพราะพระองค์จะเป็นขึ้นจากตาย (บทเพลงสรรเสริญ 16:10, กิจการ 2:22-24) แล้วพระองค์จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ (บทเพลงสรรเสริญ 16:10, กิจการ 2:22-24)
คำพยากรณ์เหล่านี้ได้เขียนไว้เป็นเวลาหลายร้อยปีล่วงหน้าก่อนที่จะเป็นจริง พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาทำให้คำพยากรณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นประสบความสำเร็จอย่างละเอียดทุกประการ ได้สถาปนาพระองค์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลกซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าพระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พระคัมภีร์ได้พยากรณ์ล่วงหน้าเอาไว้ คำพยากรณ์เหล่านั้นสำเร็จตามความเป็นจริงอย่างละเอียดถี่ถ้วน ยิระมะยาได้เขียนไว้ว่า "ครั้นเมื่อคำทำนายจะสำเร็จถูกต้องแล้วผู้ทำนายคนนั้นและคนทั้งปวงจะได้รู้ว่าพระยะโฮวาได้ใช้เขาจริง" (ยิระมะยา 28:9) พระคัมภีร์เป็นหนังสือเล่มเดียวเท่านั้นที่ประกอบด้วยคำพยากรณ์มากมายที่ทำนายล่วงหน้า พระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถบอกเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ถ้าพระคัมภีร์สามารถพยากรณ์อนาคตได้สำเร็จแม่นยำ (ซึ่งได้เห็นเป็นจริงแล้ว) ผู้ประพันธ์ต้องเป็นพระเจ้าแน่นอน
ความรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของพระคัมภีร์
THE SCIENTIFIC FOREKNOWLEDGE OF THE BIBLE
ข้อพิสูจน์อีกประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจนั่นก็คือ ความรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์พิเศษนับตั้งแต่วิชาวิทยาศาสตร์ด้านมนุษย์วิทยาไปจนถึงสัตว์ศาสตร์ พระคัมภีร์ได้เสนอรายละเอียดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์อันแม่นยำซึ่งโดยลำพังมนุษย์แล้วพวกเขาไม่สามารถล่วงรู้ได้ จากสาขาวิชาสมุทรศาสตร์ From the field of Oceanography นานมาแล้วกษัตริย์ซะโลโมเขียนว่า "บรรดาแม่น้ำทั้งหลายไหลลงไปสู่ทะเล กระนั้นทะเลก็ไม่รู้จักเต็ม ถึงแม้ว่าแม่น้ำทั้งหลายจะไหลลงไปแล้วไหลลงไปอีก" (ท่านผู้ประกาศ 1:7) ประโยคนี้เมื่อพิจารณาดูเผิน ๆ ดูไม่มีความหมายอะไร แต่ถ้าจะพิจารณาให้ลึกพร้อมกับหลักฐานจากพระคัมภีร์ข้ออื่น ๆ ยิ่งทำให้น่าทึ่งมาก ตัวอย่างเช่น แม่น้ำมิสซิสซิปปี้ ถ้าไหลไปตามปกติน้ำจะไหลลงไปสู่อ่าวเม็กซิโกประมาณ 6,052,500 แกลลอนต่อหนึ่งวินาที นี่แค่แม่น้ำแต่เพียง แม่น้ำเดียวเท่านั้น น้ำทั้งหมดไหลไปที่ไหน? คำตอบก็คือเป็นไปตามวงจรของอุทกศาสตร์ตามที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ ท่านผู้ประกาศ 11:3 กล่าวว่า "ถ้าเมฆเต็มไปด้วยน้ำ มันจะเทฝนให้ตกลงบนพื้นพสุธา" อาโมศ 9:6 กล่าวว่า "ผู้ที่เรียกน้ำในทะเลแลเทน้ำนั้นลงบนพื้นแผ่นดิน พระยะโฮวาเป็นพระนามของพระองค์" ความเข้าใจเกี่ยวกับการหมุนเวียนของน้ำที่กลายเป็นไอ ยังไม่เป็นที่เข้าใจกระจ่างชัดในสมัยโบราณ จนถึงศรวรรษที่สิบหกและศตวรรษที่สิบเจ็ด พระคัมภีร์ได้กล่าวล่วงหน้าเกี่ยวกับวงจรการหมุนเวียนของน้ำมากกว่า 2,000 ปี เป็นไปได้อย่างไร?
พระเจ้าสั่งให้โนฮา (เยเนซิศ 6:15) ต่อนาวาใหม่มีรายละเอียดดังนี้ ยาว 75 วา (300 ศอก) กว้าง 12 วา 2 ศอก (50 ศอก) และสูง 7 วา 2 ศอก (30 ศอก) อัตราส่วนคือ ยาว 30 ส่วน กว้าง 5 ส่วน และสูง 3 ส่วน นาวาของโนฮานับว่าเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดที่มีบันทึกไว้จนถึง ค.ศ. 1858 ใช้มาตราส่วนของความยาวโดยใกล้เคียงที่สุดของความยาว หนึ่งศอก (17 1/2 ถึง 18 นิ้ว) ด้วยมาตราส่วนดังกล่าวเรือของโนฮายาวประมาณ 450 ฟุต (ประมาณสนามฟุตบอลสนามครึ่ง) และจะมีพื้นที่ประมาณ 1.5 ล้านตารางฟุต ในปี ค.ศ. 1844 Isambard K. Brunnel ได้สร้างเรือขึ้นซึ่งขนาดมหึมามีชื่อว่า The Great Britain ท่านผู้นี้ได้สร้างเรือโดยใช้อัตราส่วนการสร้างของเรือโนฮา คือ 30:5:3 ผลปรากฏว่ามิตินี้เป็นอัตราส่วนในการสร้างที่สมบูรณ์แบบที่สุดในการสร้างเรือที่มีขนาดมหึมาที่สร้างขึ้นเพื่อลอยน้ำไม่ใช่เพื่อแล่นไปข้างหน้าด้วยความเร็ว เป็นที่แน่ชัดว่าเรือของโนฮาได้สร้างขึ้น ไม่ใช่แล่นด้วยความเร็วไปข้างหน้า เพราะโนฮาไม่จำเป็นต้องไปที่ไหน อันที่จริงช่างต่อเรือระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ได้ใช้อัตราส่วน 30:5:3 ในการสร้างเรือขนาดใหญ่มีชื่อว่า The Ugly Duckling (เป็ดขี้เหร่) เรือลอยน้ำสามารถบรรจุสินค้าได้เป็นจำนวนมาก และเป็นเรือที่มีอัตราส่วนเดียวกันกับเรือของโนฮา คำถาม โนฮารู้จักอัตราส่วนในการต่อนาวาได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดได้อย่างไร? Brunnel และช่างต่อเรือคนอื่น ๆ ต้องใช้ประสบการณ์หลายปีในการสร้างเรือกว่าจะได้สูตรนี้ แต่โนฮาเป็นบุคคลแรกที่มีความรู้ในการต่อนาวาได้เป็นอย่างดี โนฮาได้ความรู้มาจากไหน? คำตอบคือโนฮาได้ความรู้มาจากพระเจ้านายช่างผู้ยิ่งใหญ่
จากวิชาสาขาฟิสิกส์ From the Field of Physics
โมเซได้กล่าวว่า "ฟ้าและดินและสรรพสัตว์สรรพสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างให้สำเร็จดังนี้แหละ" (เยเนซิศ 2:1) ประโยคนี้เป็นคำพูดที่น่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะโมเซเลือกใช้คำในภาษาเฮ็บรายเพื่อใช้เป็นคำกริยาในอดีตที่บ่งให้เห็นว่า "การสร้างเสร็จสิ้นแล้ว" เนื้อความนี้มีจุดประสงค์ต้องการชี้ให้เห็นว่าการสร้างได้สำเร็จเสร็จสิ้นไปแล้วในอดีต ซึ่งตรงกันข้ามกับความหมายที่ว่ามีการสร้างที่ดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องในอนาคต โมเซต้องการบ่งให้เห็นชัดเจนว่าการสร้างของพระเจ้า "เสร็จแล้ว" เสร็จไปเลยโดยไม่ต้องมีอะไรอีก นี่คือเป็นประโยคเดียวกับกฎของFirst Law of Thermodynamics (กฎความร้อนข้อที่ 1) กฎนี้บ่อยครั้งเรียกว่า กฎการอนุรักษ์พลังงาน/สสาร กล่าวว่า สสารและพลังงานไม่สามารถถูกสร้างขึ้นหรือถูกทำลายได้
ข้อพระคัมภีร์สามแห่ง (เฮ็บราย 1:11, ยะซายา 51:6, บทเพลงสรรเสริญ 102:26) ข้อเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าโลกของเราเป็นเหมือนเสื้อผ้าที่กำลังเสื่อมสลายไป นี่เป็นใจความเดียวกับที่กฎ Second Law of Thermodynamics (กฎความร้อนข้อที่สอง) ได้กล่าวไว้ กฎนี้เป็นที่รู้จักดีว่าเป็นกฎ Law of increasing Entropy (กฎการเพิ่มอัตราการเสื่อมโทรม) กฎนี้ควบคุมกระบวนการต่าง ๆ โดยไม่มีข้อยกเว้น คำว่า Entropy เป็นภาษาวิทยาศาสตร์ซึ่งหมายความว่าทุกสิ่งกำลังเสื่อมสลาย พลังงานที่ใช้กำลังเหลือน้อย การเสื่อมสลาย การไม่มีระเบียบ หรือการไม่มีโครงสร้าง จะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือว่าเหมือนดอกไม้ที่เบิกบาน แล้วเหี่ยวแห้ง และก็ตายไป เด็กทารกเติบโตเป็นวัยรุ่น วัยรุ่นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ชราและตายไปในที่สุด ภายใน 250 ปีบ้านที่เราสร้างขึ้นวันนี้จะพังลง ภายใน 40-45 ปีรถที่เราซื้อวันนี้จะเก่าเป็นสนิม ทุกสิ่งกำลังถดถอยลง ทุกสิ่งกำลังเสื่อมสลาย พลังงานเริ่มมีลดน้อยลงในที่สุด (พูดตามทฤษฎี) จะเหลือแค่จักรวาลซึ่งจะมีการเสื่อมสลายมากถึงจุดที่เรียกว่า "heat death" (ความร้อนตาย) เนื่องจากไม่มีพลังงานที่จะใช้ต่อไป เราไม่ได้พบความจริงนี้จนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ แต่ผู้เขียนพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างแม่นยำหลายพันปี คำถามก็คือ ใครเป็นผู้ประสาทความรู้ที่อยู่เบื้องหลังนี้?
จากวิชาสาขาการแพทย์ FROM THE FIELD OF MEDICINE
โมเซบอกชนชาติยิศราเอลว่า "ชีวิตของเนื้อหนังคือโลหิต" (เลวิติโก 17:11-14) โมเซพูดถูกเพราะว่าในโลหิตแดงเป็นพาหะนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ อวัยวะภายในของร่างกายทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ (ขึ้นอยู่กับโมเลกุลของฮีโมโกลบินซึ่งมีอยู่ในทุกเซลล์) แท้ที่จริงเซลล์เม็ดโลหิตแดงของมนุษย์เป็นพาหะนำโมเลกุลของฮีโมโกลบินประมาณ 270,000,000 หน่วยต่อหนึ่งเซลล์ ถ้าจำนวนโมเลกุลฮีโมโกลบินลดน้อยลงก็จะไม่มีออกซิเจนมากพอที่จะทำให้ชีวิตดำเนินต่อไป แม้แค่ไอจามหรือโดนตบหลังหนัก ๆ เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่า "ชีวิตของเนื้อหนังอยู่ในโลหิต" แต่สมัยของ George Washington คนยังไม่รู้ความจริงนี้ "คนในยุคนั้นตายเพราะอะไร?" พวกเขาตายเพราะถูกรีดโลหิตให้ไหลออกจากร่างกาย คนในสมัยนั้น (แม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์) พวกคิดว่าโลหิตเป็น เชื้อร้าย ดังนั้นการรีดเอาโลหิตออกจะทำให้คนหายป่วย ปัจจุบันนี้เรารู้ว่านั่นเป็นวิธีที่ผิด ปัจจุบันนี้เราก็มีการถ่ายเลือดเข้าสู่ผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยสามารถหายป่วยได้ เรารู้ว่านั่นเป็นความจริง แต่ผู้เขียนพระคัมภีร์รู้ความจริงได้อย่างไร? ในเยเนซิศ 17:12 พระเจ้าสั่งอับราฮามให้ทำสุนัด (ขลิบปลายอวัยวะเพศชาย) ให้กับเด็กทารกเพศชายที่เกิดมาได้ แปด วัน คำถามคำทำไมต้องเป็นวันที่แปด? ในมนุษย์การที่โลหิตหยุดไหลขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงสำคัญสามประการ กล่าวคือ (ก) plateletes (ข) วิตามิน K และ (ค) prothrombin วิตามิน K ทำหน้าที่ในการผลิต (โดยตับ) Prothrombin ถ้าจำนวนของวิตามิน K ไม่เพียงพอจะทำให้การผลิต Prothrombinไม่เพียงพอไปด้วยผลที่จะตามมาก็คือทำให้เกิด hemorrhaging เป็นอาการโลหิตไหลออก
เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่าทารกที่เกิดใหม่ภายในห้าถึงเจ็ดวันเท่านั้นจะผลิตวิตามิน K (ผลิตขึ้นโดยแบคทีเรียซึ่งอยู่ในลำไส้) มากเพียงพอแก่ความต้องการ วิตามิน K บวกกับ Prothrombin เป็นสาเหตุทำให้โลหิตไม่ไหล (Coagulation) ซึ่งสำคัญมาก ในขบวนการของการผ่าตัดเห็นชัดเจนแล้วว่า ถ้าวิตามิน K ไม่ได้ผลิตในปริมาณมากเพียงพอภายในวันที่ห้าถึงวันที่เจ็ด เป็นการฉลาดดีกว่าที่จะเลื่อนการผ่าตัดไปทำวันหลัง ทำไมพระเจ้าจึงกำหนดเจาะจงลงไปจะทำสุนัด วันที่แปด?
วันที่แปดจำนวนของ Prothrombin ถูกยกปริมาณมากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์มากกว่าปกติ แท้ที่จริงวันที่แปดเป็นวันเดียวเท่านั้นที่ชีวิตของเพศชายจะอยู่ในสภาพปกติเช่นนั้น ถ้าจะต้องทำการผ่าตัดทำสุนัดวันที่แปดเป็นวันที่เหมาะสมที่สุด
จากวิชาสาขาโบราณคดี FROM THE FIELD OF ARCHAEOLOGY
Moabite Stone (ศิลาจารึกโมอาบ) ได้ถูกพบขึ้นโดยมิชชันนารีชาวเยอรมันเมื่อปี 1868 ศิลานี้ได้สกัดขึ้นเมื่อปี 850 B.C. ก่อนคริสตศักราชซึ่งอยู่ในสมัยการปกครองของกษัตริย์ Mesha กษัตริย์ของประเทศโมอาบ ในศิลาจารึกได้บอกเล่าเกี่ยวกับการที่ประเทศโมอาบเป็นเมืองขึ้นของประเทศยิศราเอล และได้กล่าวถึงอัมรีซึ่งเป็นแม่ทัพของยิศราเอลและเป็นกษัตริย์ในเวลานั้น พระคัมภีร์ได้บันทึกถึงเหตุการณ์เดียวกันใน 1กษัตริย์ 16:16 แสดงว่าแผ่นดินที่พลิกฟื้นทุกกระเบียดนิ้วโบราณคดีได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้เป็นความจริงทุกประการ
พระคัมภีร์ได้กล่าวนามของกษัตริย์ Belshazzar (เบละซาซัร) ปรากฏอยู่ในหนังสือดานิเอล 5:22, 7:1, 8:1 เกี่ยวกับนามของกษัตริย์เบละซาซัรพวกที่ชอบคัดค้านพระคัมภีร์มักหยิบยกเอาเรื่องของเบละซาซัรมาโจมตีว่าประวัติศาสตร์โลกไม่มีบันทึกของบุคคลนี้และไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันว่า เบละซาซัร มีตัวตนจริง ๆ ในปี ค.ศ. 1876 Sir Henry Rawlinson ได้ขุดค้นพบแผ่นก้อนอิฐดินเผาจำนวน 2000 แผ่น ณ บริเวณBabylon โบราณได้พบนามคนที่เชื่อว่าเบละซาซัร ทำหน้าที่เป็นกษัตริย์แทนพระราชบิดา Nibonidus ขณะที่ไม่อยู่ในพระราชวัง ที่จริงพระคัมภีร์ถูกมาโดยตลอด
สรุป
คนที่ตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้พระเจ้าได้คัดค้านความจริงของพระคัมภีร์เป็นเวลานานแต่ต้องพ่ายแพ้ กษัตริย์ยะโฮยาคิม ได้ใช้มีดพับตัดส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ออกเป็นชิ้น ๆ แล้วเผาทิ้งในกองไฟ (ยิระมะยา 36:22-23) ในประวัติศาสตร์ยุคกลางได้มีความพยายามที่ขจัดพระคัมภีร์ออกไปจากมือของคนทั่วไปตามบ้าน คนที่ถูกจับได้ว่ามีการแปลพระคัมภีร์หรือแจกจ่ายพระคัมภีร์จะถูกจำคุกหรือถูกทรมานหรือแม้ถูกฆ่าตาย อีกร้อยปีต่อมา นักต่อต้านตัวฉกาจชาวฝรั่งเศสชื่อ Voltaire ได้พูดอวดอ้างว่า "ภายในห้าสิบปีเราจะไม่ได้ยินคนที่มีการศึกษาพูดถึงพระคัมภีร์อีกเลย" พระคัมภีร์ก็ยังมีการพูดถึงอยู่ในบรรดาคนที่มีการศึกษาจนถึงปัจจุบันแต่ในเวลาเดียวกัน ชื่อ Voltaire กำลังจืดจางหายไปในประวัติศาสตร์
รัฐบาลมาแล้วก็จากไป ประเทศชาติขึ้นแล้วก็จมลง คนมีชีวิตอยู่แล้วก็ตายไป แต่พระคัมภีร์ยังคงอยู่ พระเยซูตรัสว่า "ฟ้าและดินจะล่วงไปแต่คำของเราจะศูนย์หายไปก็หามิได้เลย" (มัดธาย 24:35) ยะซายาได้เขียนว่า "มนุษย์ชาตินี่เปรียบเหมือนหญ้าจริงทีเดียว ส่วนหญ้านั้นก็เหี่ยวแห้ง และดอกไม้ก็ร่วงโรยไป แต่พระดำรัสของพระเจ้าของเราจะยั่งยืนอยู่เป็นนิจ" (ยะซายา 40:58)
ในพระคัมภีร์มีคำพยากรณ์มากเกี่ยวกับประเทศและเมืองต่าง ๆ ที่รุ่งเรืองขึ้นและล่มจมไป ตัวอย่างเช่นในหนังสือ ยะเอศเคล 26:1-4 พระคัมภีร์ได้พยากรณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับความพินาศของเมืองตุโร (Tyre) และประสบความสำเร็จอย่างแม่นยำ ผู้พยากรณ์ยะเอศเคลได้ทำนายว่ากษัตริย์นะบูคัศเนซัร (Nebuchadnezzar) กษัตริย์แห่งบาบิโลนจะทำลายเมืองตุโร (ยะเอศเคล 26:7-8) หลายประเทศจะมาต่อสู้กับเมืองตุโร (26:3) เมืองนี้จะถูกทำลายทิ้งลงในทะเล (26:12) บริเวณรอบแถบนั้นจะกลายเป็นที่ตากอวนของชาวประมง (26:5) และประการสุดท้ายเมืองตุโรจะไม่มีผู้ใดสร้างขึ้นใหม่ให้สง่างามเหมือนเดิมได้อีก (26:14) ประวัติศาสตร์ได้เปิดเผยให้เราทราบว่า คำพยากรณ์ทุกประการเหล่านี้ประสบความสำเร็จ เมืองตุโรเป็นเมืองที่ติดกับชายฝั่งทะเลเป็นเมืองในสมัยโบราณซึ่งถูกสร้างขึ้นค่อนข้างพิเศษไม่ธรรมดา มีเมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งและยังมีอีกเมืองหนึ่งซึ่งสร้างอยู่บนเกาะห่างจากเมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งไปประมาณ 1 กิโลเมตร นะบูคัศเนซัรได้มาล้อมเมืองที่อยู่บนฝั่งเมื่อปี 586 B.C. และในที่สุดได้ยึดเมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งได้ในปี 573 B.C. ชัยชนะของนะบูคัศเนซัรได้แต่เมืองที่ว่างเปล่า เพราะเขาไม่รู้ว่าชาวเมืองที่อยู่บนฝั่งได้อพยพหนีไปยังเมืองที่อยู่บนเกาะ สถานการณ์ยังคงดำรงอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นเวลาต่อจากนั้นอีก 241 ปี จนกระทั่งปี 332 B.C. อเล็กซานเดอร์มหาราชได้ตีเมืองและเอาชนะได้ด้วยความยากลำบาก ที่จะให้กองทัพไปถึงเมืองที่ตั้งอยู่บนเกาะ อเล็กซานเดอร์เกณฑ์ทหารให้กวาดเศษวัสุดต่าง ๆ "จนเกลี้ยง" จากเมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งแล้วนำเอาเศษวัสดุเหล่านั้น (หิน ไม้ และดิน) สร้างเป็น "ทางเชื่อม" ไปถึงเมืองที่ตั้งอยู่บนเกาะ แม้ว่าอเล็กซานเดอร์จะทำให้เมืองตุโรที่ตั้งอยู่บนเกาะได้รับความเสียหายย่อยยับ แต่เมืองนั้นก็ยังคงตั้งอยู่ได้ แท้จริงเมืองนั้นยังตั่งมั่นและค่อยเสื่อมโทรมอยู่จนเป็นเวลา 1600 ปี หลังจากนั้นจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1291 กองทัพมุสลิมได้ทำลายเมืองตุโรอย่างราบคาบ ตั้งแต่นั้นมาเมืองตุโรไม่สามารถฟื้นสถานะภาพของประเทศที่มั่นคงและเกรียงไกรได้อีกเลย ผู้พยากรณ์ยะเอศเคลได้พยากรณ์ล่วงหน้าเป็นเวลา 1900 ปี ว่าเมืองตุโรจะพินาศล่มจมและกลายเป็นเมืองร้างและเป็นที่ตากอวนของชาวประมงและได้เกิดขึ้นจริงตามที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเอาไว้
พระคัมภีร์เดิมยังประกอบด้วยคำพยากรณ์เกี่ยวกับการเสด็จมาของ พระมาซีฮา มากกว่าสามร้อยรายการ คำพยากรณ์เกี่ยวกับ พระมาซีฮา ก็คือคำพยากรณ์เกี่ยวกับการเสด็จมาของ พระผู้ช่วยให้รอด คำพยากรณ์เหล่านี้ได้เขียนล่วงหน้าบอกให้โลกรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับการมาของผู้ที่จะช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความบาป คำพยากรณ์เกี่ยวกับพระมาซีฮากล่าวว่า เขาผู้นั้นจะเป็นที่ดูหมิ่นและเป็นคนเจ้าทุกข์ (ยะซายา 53:3) และถูกทรยศโดยสหายสนิท (บทเพลงสรรเสริญ 41:9) ด้วยเงินสามสิบแผ่น (ซะคาระยา 11:12) สิ่งที่ได้ทำนายไว้ก็เป็นตามความจริงทุกประการ (โยฮัน 13:18, มัดธาย 26:15) พระองค์ผู้นั้นจะถูกถ่มน้ำลายรดและจะถูกโบยตี (ยะซายา 50:6, 53:5) ตอนที่พระองค์สิ้นพระชนม์เขาจะตรึงตะปูที่เท้าและที่มือของพระองค์ (บทเพลงสรรเสริญ 22:16-17) แต่กระดูกของพระองค์จะไม่หักเมื่อถูกตรึง (บทเพลงสรรเสริญ 34:20, โยอัน 19:33) ร่างกายของพระองค์จะไม่เปื่อยเน่าเพราะพระองค์จะเป็นขึ้นจากตาย (บทเพลงสรรเสริญ 16:10, กิจการ 2:22-24) แล้วพระองค์จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ (บทเพลงสรรเสริญ 16:10, กิจการ 2:22-24)
คำพยากรณ์เหล่านี้ได้เขียนไว้เป็นเวลาหลายร้อยปีล่วงหน้าก่อนที่จะเป็นจริง พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาทำให้คำพยากรณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นประสบความสำเร็จอย่างละเอียดทุกประการ ได้สถาปนาพระองค์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลกซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าพระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พระคัมภีร์ได้พยากรณ์ล่วงหน้าเอาไว้ คำพยากรณ์เหล่านั้นสำเร็จตามความเป็นจริงอย่างละเอียดถี่ถ้วน ยิระมะยาได้เขียนไว้ว่า "ครั้นเมื่อคำทำนายจะสำเร็จถูกต้องแล้วผู้ทำนายคนนั้นและคนทั้งปวงจะได้รู้ว่าพระยะโฮวาได้ใช้เขาจริง" (ยิระมะยา 28:9) พระคัมภีร์เป็นหนังสือเล่มเดียวเท่านั้นที่ประกอบด้วยคำพยากรณ์มากมายที่ทำนายล่วงหน้า พระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถบอกเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ถ้าพระคัมภีร์สามารถพยากรณ์อนาคตได้สำเร็จแม่นยำ (ซึ่งได้เห็นเป็นจริงแล้ว) ผู้ประพันธ์ต้องเป็นพระเจ้าแน่นอน
ความรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของพระคัมภีร์
THE SCIENTIFIC FOREKNOWLEDGE OF THE BIBLE
ข้อพิสูจน์อีกประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจนั่นก็คือ ความรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์พิเศษนับตั้งแต่วิชาวิทยาศาสตร์ด้านมนุษย์วิทยาไปจนถึงสัตว์ศาสตร์ พระคัมภีร์ได้เสนอรายละเอียดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์อันแม่นยำซึ่งโดยลำพังมนุษย์แล้วพวกเขาไม่สามารถล่วงรู้ได้ จากสาขาวิชาสมุทรศาสตร์ From the field of Oceanography นานมาแล้วกษัตริย์ซะโลโมเขียนว่า "บรรดาแม่น้ำทั้งหลายไหลลงไปสู่ทะเล กระนั้นทะเลก็ไม่รู้จักเต็ม ถึงแม้ว่าแม่น้ำทั้งหลายจะไหลลงไปแล้วไหลลงไปอีก" (ท่านผู้ประกาศ 1:7) ประโยคนี้เมื่อพิจารณาดูเผิน ๆ ดูไม่มีความหมายอะไร แต่ถ้าจะพิจารณาให้ลึกพร้อมกับหลักฐานจากพระคัมภีร์ข้ออื่น ๆ ยิ่งทำให้น่าทึ่งมาก ตัวอย่างเช่น แม่น้ำมิสซิสซิปปี้ ถ้าไหลไปตามปกติน้ำจะไหลลงไปสู่อ่าวเม็กซิโกประมาณ 6,052,500 แกลลอนต่อหนึ่งวินาที นี่แค่แม่น้ำแต่เพียง แม่น้ำเดียวเท่านั้น น้ำทั้งหมดไหลไปที่ไหน? คำตอบก็คือเป็นไปตามวงจรของอุทกศาสตร์ตามที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ ท่านผู้ประกาศ 11:3 กล่าวว่า "ถ้าเมฆเต็มไปด้วยน้ำ มันจะเทฝนให้ตกลงบนพื้นพสุธา" อาโมศ 9:6 กล่าวว่า "ผู้ที่เรียกน้ำในทะเลแลเทน้ำนั้นลงบนพื้นแผ่นดิน พระยะโฮวาเป็นพระนามของพระองค์" ความเข้าใจเกี่ยวกับการหมุนเวียนของน้ำที่กลายเป็นไอ ยังไม่เป็นที่เข้าใจกระจ่างชัดในสมัยโบราณ จนถึงศรวรรษที่สิบหกและศตวรรษที่สิบเจ็ด พระคัมภีร์ได้กล่าวล่วงหน้าเกี่ยวกับวงจรการหมุนเวียนของน้ำมากกว่า 2,000 ปี เป็นไปได้อย่างไร?
พระเจ้าสั่งให้โนฮา (เยเนซิศ 6:15) ต่อนาวาใหม่มีรายละเอียดดังนี้ ยาว 75 วา (300 ศอก) กว้าง 12 วา 2 ศอก (50 ศอก) และสูง 7 วา 2 ศอก (30 ศอก) อัตราส่วนคือ ยาว 30 ส่วน กว้าง 5 ส่วน และสูง 3 ส่วน นาวาของโนฮานับว่าเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดที่มีบันทึกไว้จนถึง ค.ศ. 1858 ใช้มาตราส่วนของความยาวโดยใกล้เคียงที่สุดของความยาว หนึ่งศอก (17 1/2 ถึง 18 นิ้ว) ด้วยมาตราส่วนดังกล่าวเรือของโนฮายาวประมาณ 450 ฟุต (ประมาณสนามฟุตบอลสนามครึ่ง) และจะมีพื้นที่ประมาณ 1.5 ล้านตารางฟุต ในปี ค.ศ. 1844 Isambard K. Brunnel ได้สร้างเรือขึ้นซึ่งขนาดมหึมามีชื่อว่า The Great Britain ท่านผู้นี้ได้สร้างเรือโดยใช้อัตราส่วนการสร้างของเรือโนฮา คือ 30:5:3 ผลปรากฏว่ามิตินี้เป็นอัตราส่วนในการสร้างที่สมบูรณ์แบบที่สุดในการสร้างเรือที่มีขนาดมหึมาที่สร้างขึ้นเพื่อลอยน้ำไม่ใช่เพื่อแล่นไปข้างหน้าด้วยความเร็ว เป็นที่แน่ชัดว่าเรือของโนฮาได้สร้างขึ้น ไม่ใช่แล่นด้วยความเร็วไปข้างหน้า เพราะโนฮาไม่จำเป็นต้องไปที่ไหน อันที่จริงช่างต่อเรือระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ได้ใช้อัตราส่วน 30:5:3 ในการสร้างเรือขนาดใหญ่มีชื่อว่า The Ugly Duckling (เป็ดขี้เหร่) เรือลอยน้ำสามารถบรรจุสินค้าได้เป็นจำนวนมาก และเป็นเรือที่มีอัตราส่วนเดียวกันกับเรือของโนฮา คำถาม โนฮารู้จักอัตราส่วนในการต่อนาวาได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดได้อย่างไร? Brunnel และช่างต่อเรือคนอื่น ๆ ต้องใช้ประสบการณ์หลายปีในการสร้างเรือกว่าจะได้สูตรนี้ แต่โนฮาเป็นบุคคลแรกที่มีความรู้ในการต่อนาวาได้เป็นอย่างดี โนฮาได้ความรู้มาจากไหน? คำตอบคือโนฮาได้ความรู้มาจากพระเจ้านายช่างผู้ยิ่งใหญ่
จากวิชาสาขาฟิสิกส์ From the Field of Physics
โมเซได้กล่าวว่า "ฟ้าและดินและสรรพสัตว์สรรพสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างให้สำเร็จดังนี้แหละ" (เยเนซิศ 2:1) ประโยคนี้เป็นคำพูดที่น่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะโมเซเลือกใช้คำในภาษาเฮ็บรายเพื่อใช้เป็นคำกริยาในอดีตที่บ่งให้เห็นว่า "การสร้างเสร็จสิ้นแล้ว" เนื้อความนี้มีจุดประสงค์ต้องการชี้ให้เห็นว่าการสร้างได้สำเร็จเสร็จสิ้นไปแล้วในอดีต ซึ่งตรงกันข้ามกับความหมายที่ว่ามีการสร้างที่ดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องในอนาคต โมเซต้องการบ่งให้เห็นชัดเจนว่าการสร้างของพระเจ้า "เสร็จแล้ว" เสร็จไปเลยโดยไม่ต้องมีอะไรอีก นี่คือเป็นประโยคเดียวกับกฎของFirst Law of Thermodynamics (กฎความร้อนข้อที่ 1) กฎนี้บ่อยครั้งเรียกว่า กฎการอนุรักษ์พลังงาน/สสาร กล่าวว่า สสารและพลังงานไม่สามารถถูกสร้างขึ้นหรือถูกทำลายได้
ข้อพระคัมภีร์สามแห่ง (เฮ็บราย 1:11, ยะซายา 51:6, บทเพลงสรรเสริญ 102:26) ข้อเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าโลกของเราเป็นเหมือนเสื้อผ้าที่กำลังเสื่อมสลายไป นี่เป็นใจความเดียวกับที่กฎ Second Law of Thermodynamics (กฎความร้อนข้อที่สอง) ได้กล่าวไว้ กฎนี้เป็นที่รู้จักดีว่าเป็นกฎ Law of increasing Entropy (กฎการเพิ่มอัตราการเสื่อมโทรม) กฎนี้ควบคุมกระบวนการต่าง ๆ โดยไม่มีข้อยกเว้น คำว่า Entropy เป็นภาษาวิทยาศาสตร์ซึ่งหมายความว่าทุกสิ่งกำลังเสื่อมสลาย พลังงานที่ใช้กำลังเหลือน้อย การเสื่อมสลาย การไม่มีระเบียบ หรือการไม่มีโครงสร้าง จะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือว่าเหมือนดอกไม้ที่เบิกบาน แล้วเหี่ยวแห้ง และก็ตายไป เด็กทารกเติบโตเป็นวัยรุ่น วัยรุ่นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ชราและตายไปในที่สุด ภายใน 250 ปีบ้านที่เราสร้างขึ้นวันนี้จะพังลง ภายใน 40-45 ปีรถที่เราซื้อวันนี้จะเก่าเป็นสนิม ทุกสิ่งกำลังถดถอยลง ทุกสิ่งกำลังเสื่อมสลาย พลังงานเริ่มมีลดน้อยลงในที่สุด (พูดตามทฤษฎี) จะเหลือแค่จักรวาลซึ่งจะมีการเสื่อมสลายมากถึงจุดที่เรียกว่า "heat death" (ความร้อนตาย) เนื่องจากไม่มีพลังงานที่จะใช้ต่อไป เราไม่ได้พบความจริงนี้จนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ แต่ผู้เขียนพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างแม่นยำหลายพันปี คำถามก็คือ ใครเป็นผู้ประสาทความรู้ที่อยู่เบื้องหลังนี้?
จากวิชาสาขาการแพทย์ FROM THE FIELD OF MEDICINE
โมเซบอกชนชาติยิศราเอลว่า "ชีวิตของเนื้อหนังคือโลหิต" (เลวิติโก 17:11-14) โมเซพูดถูกเพราะว่าในโลหิตแดงเป็นพาหะนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ อวัยวะภายในของร่างกายทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ (ขึ้นอยู่กับโมเลกุลของฮีโมโกลบินซึ่งมีอยู่ในทุกเซลล์) แท้ที่จริงเซลล์เม็ดโลหิตแดงของมนุษย์เป็นพาหะนำโมเลกุลของฮีโมโกลบินประมาณ 270,000,000 หน่วยต่อหนึ่งเซลล์ ถ้าจำนวนโมเลกุลฮีโมโกลบินลดน้อยลงก็จะไม่มีออกซิเจนมากพอที่จะทำให้ชีวิตดำเนินต่อไป แม้แค่ไอจามหรือโดนตบหลังหนัก ๆ เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่า "ชีวิตของเนื้อหนังอยู่ในโลหิต" แต่สมัยของ George Washington คนยังไม่รู้ความจริงนี้ "คนในยุคนั้นตายเพราะอะไร?" พวกเขาตายเพราะถูกรีดโลหิตให้ไหลออกจากร่างกาย คนในสมัยนั้น (แม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์) พวกคิดว่าโลหิตเป็น เชื้อร้าย ดังนั้นการรีดเอาโลหิตออกจะทำให้คนหายป่วย ปัจจุบันนี้เรารู้ว่านั่นเป็นวิธีที่ผิด ปัจจุบันนี้เราก็มีการถ่ายเลือดเข้าสู่ผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยสามารถหายป่วยได้ เรารู้ว่านั่นเป็นความจริง แต่ผู้เขียนพระคัมภีร์รู้ความจริงได้อย่างไร? ในเยเนซิศ 17:12 พระเจ้าสั่งอับราฮามให้ทำสุนัด (ขลิบปลายอวัยวะเพศชาย) ให้กับเด็กทารกเพศชายที่เกิดมาได้ แปด วัน คำถามคำทำไมต้องเป็นวันที่แปด? ในมนุษย์การที่โลหิตหยุดไหลขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงสำคัญสามประการ กล่าวคือ (ก) plateletes (ข) วิตามิน K และ (ค) prothrombin วิตามิน K ทำหน้าที่ในการผลิต (โดยตับ) Prothrombin ถ้าจำนวนของวิตามิน K ไม่เพียงพอจะทำให้การผลิต Prothrombinไม่เพียงพอไปด้วยผลที่จะตามมาก็คือทำให้เกิด hemorrhaging เป็นอาการโลหิตไหลออก
เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่าทารกที่เกิดใหม่ภายในห้าถึงเจ็ดวันเท่านั้นจะผลิตวิตามิน K (ผลิตขึ้นโดยแบคทีเรียซึ่งอยู่ในลำไส้) มากเพียงพอแก่ความต้องการ วิตามิน K บวกกับ Prothrombin เป็นสาเหตุทำให้โลหิตไม่ไหล (Coagulation) ซึ่งสำคัญมาก ในขบวนการของการผ่าตัดเห็นชัดเจนแล้วว่า ถ้าวิตามิน K ไม่ได้ผลิตในปริมาณมากเพียงพอภายในวันที่ห้าถึงวันที่เจ็ด เป็นการฉลาดดีกว่าที่จะเลื่อนการผ่าตัดไปทำวันหลัง ทำไมพระเจ้าจึงกำหนดเจาะจงลงไปจะทำสุนัด วันที่แปด?
วันที่แปดจำนวนของ Prothrombin ถูกยกปริมาณมากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์มากกว่าปกติ แท้ที่จริงวันที่แปดเป็นวันเดียวเท่านั้นที่ชีวิตของเพศชายจะอยู่ในสภาพปกติเช่นนั้น ถ้าจะต้องทำการผ่าตัดทำสุนัดวันที่แปดเป็นวันที่เหมาะสมที่สุด
จากวิชาสาขาโบราณคดี FROM THE FIELD OF ARCHAEOLOGY
Moabite Stone (ศิลาจารึกโมอาบ) ได้ถูกพบขึ้นโดยมิชชันนารีชาวเยอรมันเมื่อปี 1868 ศิลานี้ได้สกัดขึ้นเมื่อปี 850 B.C. ก่อนคริสตศักราชซึ่งอยู่ในสมัยการปกครองของกษัตริย์ Mesha กษัตริย์ของประเทศโมอาบ ในศิลาจารึกได้บอกเล่าเกี่ยวกับการที่ประเทศโมอาบเป็นเมืองขึ้นของประเทศยิศราเอล และได้กล่าวถึงอัมรีซึ่งเป็นแม่ทัพของยิศราเอลและเป็นกษัตริย์ในเวลานั้น พระคัมภีร์ได้บันทึกถึงเหตุการณ์เดียวกันใน 1กษัตริย์ 16:16 แสดงว่าแผ่นดินที่พลิกฟื้นทุกกระเบียดนิ้วโบราณคดีได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้เป็นความจริงทุกประการ
พระคัมภีร์ได้กล่าวนามของกษัตริย์ Belshazzar (เบละซาซัร) ปรากฏอยู่ในหนังสือดานิเอล 5:22, 7:1, 8:1 เกี่ยวกับนามของกษัตริย์เบละซาซัรพวกที่ชอบคัดค้านพระคัมภีร์มักหยิบยกเอาเรื่องของเบละซาซัรมาโจมตีว่าประวัติศาสตร์โลกไม่มีบันทึกของบุคคลนี้และไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันว่า เบละซาซัร มีตัวตนจริง ๆ ในปี ค.ศ. 1876 Sir Henry Rawlinson ได้ขุดค้นพบแผ่นก้อนอิฐดินเผาจำนวน 2000 แผ่น ณ บริเวณBabylon โบราณได้พบนามคนที่เชื่อว่าเบละซาซัร ทำหน้าที่เป็นกษัตริย์แทนพระราชบิดา Nibonidus ขณะที่ไม่อยู่ในพระราชวัง ที่จริงพระคัมภีร์ถูกมาโดยตลอด
สรุป
คนที่ตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้พระเจ้าได้คัดค้านความจริงของพระคัมภีร์เป็นเวลานานแต่ต้องพ่ายแพ้ กษัตริย์ยะโฮยาคิม ได้ใช้มีดพับตัดส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ออกเป็นชิ้น ๆ แล้วเผาทิ้งในกองไฟ (ยิระมะยา 36:22-23) ในประวัติศาสตร์ยุคกลางได้มีความพยายามที่ขจัดพระคัมภีร์ออกไปจากมือของคนทั่วไปตามบ้าน คนที่ถูกจับได้ว่ามีการแปลพระคัมภีร์หรือแจกจ่ายพระคัมภีร์จะถูกจำคุกหรือถูกทรมานหรือแม้ถูกฆ่าตาย อีกร้อยปีต่อมา นักต่อต้านตัวฉกาจชาวฝรั่งเศสชื่อ Voltaire ได้พูดอวดอ้างว่า "ภายในห้าสิบปีเราจะไม่ได้ยินคนที่มีการศึกษาพูดถึงพระคัมภีร์อีกเลย" พระคัมภีร์ก็ยังมีการพูดถึงอยู่ในบรรดาคนที่มีการศึกษาจนถึงปัจจุบันแต่ในเวลาเดียวกัน ชื่อ Voltaire กำลังจืดจางหายไปในประวัติศาสตร์
รัฐบาลมาแล้วก็จากไป ประเทศชาติขึ้นแล้วก็จมลง คนมีชีวิตอยู่แล้วก็ตายไป แต่พระคัมภีร์ยังคงอยู่ พระเยซูตรัสว่า "ฟ้าและดินจะล่วงไปแต่คำของเราจะศูนย์หายไปก็หามิได้เลย" (มัดธาย 24:35) ยะซายาได้เขียนว่า "มนุษย์ชาตินี่เปรียบเหมือนหญ้าจริงทีเดียว ส่วนหญ้านั้นก็เหี่ยวแห้ง และดอกไม้ก็ร่วงโรยไป แต่พระดำรัสของพระเจ้าของเราจะยั่งยืนอยู่เป็นนิจ" (ยะซายา 40:58)