บทที่ 4
ยุคโมเซ ภาคสอง
40. ผู้วินิจฉัยคนสุดท้ายคือซามูเอล ท่านได้เกิดมาเพราะคำอธิษฐานของแม่นางฮันนาได้สัญญากับพระเจ้าว่าถ้าพระองค์ประทานบุตรชายให้ นางจะถวายบุตรนั้นให้เป็นผู้รับใช้พระเจ้า
41. คงจะเป็นความลำบากใจที่นางฮันนา ที่พาบุตรชายซามูเอลซึ่งยังตัวเล็กมามอบให้เอลีปุโรหิต และมอบไว้เพื่อฝึกฝนให้เขาเรียนรู้จักปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า อย่างไรก็ตามนางฮันนารักษาคำสัญญาที่ให้ไว้กับพระเจ้า นางฮันนายังคงรักบุตรของนาง และได้นำเสื้อผ้านำมามอบให้ซามูเอลทุกปีเมื่อนางได้เดินทางไปพลับพลา (1ซามูเอล 1:24-28, 2:18-19)
42. กลางคืนวันหนึ่งพระเจ้าได้ตรัสกับซามูเอล ตอนนั้นซามูเอลยังเป็นเด็กอยู่ พระเจ้าได้เปิดเผยให้ซามูเอลทราบเกี่ยวกับสถานะภาพของเอลีกับครอบครัว (1ซามูเอล 3) นี่สำแดงให้เห็นว่าซามูเอลเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าคือผู้ที่รับข่าวสารโดยตรงจากพระเจ้าซึ่งจะนำไปบอกกล่าวแก่ประชาชนทั้งหลายเรียกว่า “ศาสดาพยากรณ์” ซามูเอลเป็นต้นกำเนิดของผู้พยากรณ์ที่ทำหน้าที่เทศนาข่าวสารจากพระเจ้า ให้แก่พลไพร่ของพระองค์ (กิจการ 3:24)
43. กษัตริย์ เป็นผู้ปกครองชนชาติยิศราเอลหลังจากพวกผู้วินิจฉัย แม้ว่าชนชาติยิศราเอลรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้การปกครองของพระเจ้า พวกยิศราเอลเรียกร้องอยากมีกษัตริย์เหมือนบรรดาประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่รอบๆ พระเจ้าไม่พอพระทัยการที่พวกเขาขอให้มีกษัตริย์ เพราะการของพวกเขาสำแดงให้เห็นการขาดความเชื่อของพวกเขา และปฏิเสธการคุ้มครองของพระองค์ เท่ากับว่าพวกเขาปฏิเสธพระเจ้าโดยตรง
44. เพราะพลไพร่ของพระเจ้าต้องการมีกษัตริย์ฝ่ายโลกนี้ พระเจ้าได้สรรหาบุคคลที่เหมาะสมให้เป็นกษัตริย์ พระเจ้าสั่งให้ซามูเอลแต่งตั้งซาอูลบุตรชายของคิชเป็นกษัตริย์องค์แรกของชนชาติยิศราเอล ซาอูลเป็นคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่และมีความกล้าหาญ แต่มีความถ่อมสุภาพอ่อนโยนตอนที่เป็นกษัตริย์ครั้งแรก (1ซามูเอล 9:1-10:1)
45. ขณะที่ซาอูลยกกองทัพไปต่อสู้กับศัตรูพลไพร่ของพระเจ้า ไม่นานซาอูลมีอำนาจและเป็นกษัตริย์ที่มีชื่อเสียง ยิ่งซาอูลมีชื่อเสียงโด่งดังและประสบความสำเร็จมากขึ้น ซาอูลกลายเป็นคนไม่ถ่อมสุภาพ ที่สุดซาอูลได้กระทำความผิดไม่ยอมเชื่อฟังคำตรัสสั่งของพระเจ้า ซามูเอลบอกซาอูลว่า “เพราะว่าการกบฏนับว่าเป็นบาปเหมือนเล่ห์กลมารยาและความดื้อดึงนับว่าเป็นบาปเหมือนการไหว้รูปเคารพ โดยเหตุที่ท่านได้ละทิ้งพระดำรัสของพระยะโฮวาเสีย พระองค์จึงทรงถอดท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์นั้นเพราะว่าการกบฏนับว่าเป็นบาปเหมือนเล่ห์กลมารยาและความดื้อดึงนับว่าเป็นบาปเหมือนการไหว้รูปเคารพ โดยเหตุที่ท่านได้ละทิ้งพระดำรัสของพระยะโฮวาเสีย พระองค์จึงทรงถอดท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์นั้น” (1ซามูเอล 15:23) ก่อนหน้านี้พระเจ้าได้เตือนชนชาติยิศราเอลแล้วเกี่ยวกับผลที่ตามมาจากการมีกษัตริย์ฝ่ายโลกนี้ (1ซามูเอล 8:10-18)
46. ขณะที่กษัตริย์ซาอูลตีตัวออกห่างไปจากพระเจ้ามากขึ้น พระเจ้าได้เลือกดาวิดเป็นเด็กเลี้ยงแกะเป็นบุตรชายของยิซัย ซึ่งจะเป็นกษัตริย์ต่อจากซาอูล (1ซามูเอล 16:1-11) ดาวิดเป็นคนที่มีความกล้าหาญ มีความเชื่อและไว้วางใจพระเจ้าอย่างเข้มแข็ง ดาวิดได้สำแดงความเชื่อเมื่อเขาดูแลฝูงแกะช่วยให้พ้นอันตรายจากสิงโตและจากสัตว์ร้ายต่างๆในป่า
47. พระเจ้าได้ส่งซามูเอลไปที่เบ็ธเลเฮ็ม เพื่อจะเฉลิมแต่งตั้งดาวิดให้เป็นกษัตริย์ของชนชาติยิศราเอลในขณะที่ซาอูลยังนั่งบัลลังก์อยู่ แม้ว่าดาวิดเป็นบุตรชายคนสุดท้องในจำนวนบุตรชายเจ็ดคน พระเจ้าได้เลือกดาวิดให้เป็นกษัตริย์แทนที่จะเลือกพี่ๆของดาวิด พระเจ้าอธิบายให้ซามูเอลว่า “อย่าเห็นแก่รูปหรือร่างสูงของเขา เพราะมนุษย์เคยแลดูหน้าตากัน แต่พระยะโฮวาทรงทอดพระเนตรดวงจิต” (1ซามูเอล 16:7)
48. ไม่นานดาวิดเข้ามาเป็นข้าราชการรับใช้กษัตริย์ซาอูลในพระราชวัง ดาวิดมีชื่อเสียงดีท่ามกลางพลไพร่ พวกชนชาติยิศราเอลต่างพากันสรรเสริญดาวิดว่า “ซาอูลฆ่าคนตั้งพัน และดาวิดฆ่าคนตั้งหมื่น” (1ซามูเอล 18:5-9) ซาอูลเมื่อได้ยินคนยกย่องสรรเสริญดาวิดก็เกิดมีใจอิจฉาดาวิด และได้พยายามจะสังหารดาวิดด้วยความโกรธหลายครั้ง ซาอูลได้ครอบครองเป็นเวลา 40 ปี ได้สังหารตัวเอง ดาวิดได้ขึ้นครองราชย์แทน (1ซามูเอล 31:1-6)
49. กษัตริย์ดาวิดได้ครอบครองพลไพร่ของพระเจ้าเป็นเวลา 40 ปี ดาวิดได้แต่งบทเพลงสรรเสริญมากมาย พระคัมภีร์กล่าวถึงดาวิดว่าเป็น “บุรุษผู้มีน้ำพระทัยเหมือนพระเจ้า” พระเจ้าได้สัญญากับดาวิดว่า พระเยซูพระมาซีฮาจะมาบังเกิดจากเชื้อสายของท่าน (กิจการ 13:22-23)
50. หลังจากดาวิดสิ้นพระชนม์แล้ว โอรสของดาวิดคือซะโลโมได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ของชนชาติยิศราเอลองค์ที่สาม พระเจ้าได้ถามซะโลโมให้ทูลขอสิ่งที่ท่านปรารถนาด้วยความรู้สึกว่าตนเองมีสติปัญญาไม่พอที่จะปกครองพลไพร่ของพระเจ้า ซะโลโมอธิษฐานว่า “ขอพระองค์ทรงโปรดประทานแก่ทาสของพระองค์ให้มีใจที่เข้าใจในการพิพากษาไพร่พลของพระองค์” (1พงศาวดารกษัตริย์ 3:5-15) พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของซะโลโมโดยการพระราชทานให้ซะโลโมมีสติปัญญาที่เหนือกว่าคนอื่นๆ
51. พระเจ้าได้มอบหมายให้ซะโลโมสร้างวิหารที่ยะรูซาเล็ม เพื่อทดแทนพลับพลาที่โมเซได้สร้างไว้ และได้ใช้พลับพลามานานแล้วเป็นเวลา 500 ปี วิหารนี้เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยสดงดงาม ใช้คนงานก่อสร้าง (183,300) หนึ่งแสนแปดหมื่นสามพันสามร้อยคน ใช้เวลาก่อสร้างเป็นเวลา 7 ปี (1พงศาวดารกษัตริย์ 5:13-16, 6:38)
52. ซะโลโมปกครองยิศราเอลเป็นเวลา 40 ปีที่รุ่งเรืองที่สุด ชื่อเสียงของกษัตริย์ซะโลโมโด่งดังไปยังแดนไกล ราชินีซะบาแห่งเอธิโอเปียได้เดินทางหลายกิโลเมตรเพื่อที่จะสัมผัสสติปัญญาของกษัตริย์ซะโลโม พระนางได้ยกย่องกษัตริย์ซะโลโมว่า “ซึ่งข้าพเจ้าได้ยินนั้นมิได้ถึงครึ่งพระสติปัญญาและความเจริญของพระองค์ก็ยิ่งกว่ากิตติศัพท์ซึ่งข้าพเจ้าได้ยินนั้น” (1พงศาวดารกษัตริย์ 10:7) ในสมัยการปกครองของกษัตริย์ซะโลโมประเทศยิศราเอลเจริญรุ่งเรืองสูงสุดและได้ขยายอาณาเขตกว้างขวางออกไป สติปัญญาของซะโลโมได้อนุรักษ์ไว้ในหนังสือสุภาษิต ซึ่งซะโลโมเป็นผู้ประพันธ์ จากประสบการณ์ชีวิตของซะโลโมประสบการณ์ชีวิตของซะโลโมท่านได้สรุปหน้าที่รับผิดชอบของมนุษย์คือยำเกรงพระเจ้าและถือรักษาพระบัญญัติของพระองค์ (ท่านผู้ประกาศ 12:13)
53. อาณาจักรแบ่งแยก เป็นอีกช่วงหนึ่งที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของของชนชาติยิศราเอล ช่วงนี้ใช้เวลา 120 ปีนับตั้งแต่กษัตริย์ซาอูลจนถึงกษัตริย์ซะโลโมสิ้นพระชนม์ ในสมัยสหอาณาจักรซะโลโมสิ้นพระชนม์แบ่งแยกเป็นสองประเทศ ประเทศยูดากับประเทศยิศราเอล ทั้งสองประเทศไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน
54. ระฮับอามโอรสของซะโลโม ปกครองประชาชนด้วยความกดขี่และอวดหยิ่งได้ปลุกกระแส การแรกแยกให้เกิดขึ้นไม่ยอมทำตามคำปรึกษาของผู้อาวุโส แนะนำให้ปรนนิบัติพลไพร่ของพระเจ้าแต่ระฮับอามทำตามคำปรึกษาของคนหนุ่มทั้งหลาย ระฮับอามอวดหยิ่งและกดขี่ประชาชน ผลจากการไม่ยุติธรรมนี้ทำให้ 10 ตระกูลแยกออกไปตั้งอาณาจักรทางตอนเหนือของปาเลสไตน์ ระฮับอามเป็นกษัตริย์ปกครอง 2 ตระกูลในอาณาจักรยูดา (1พงศาวดารกษัตริย์ 12:1-24)
55. เพื่อป้องกันไม่ให้สิบตระกูลกลับไปนมัสการที่กรุงยะรูซาเล็มยาราบะอามได้สร้างแท่นบูชาขึ้นสองแห่งในอาณาจักรฝ่ายเหนือ ทางด้านเหนืออยู่ที่เมืองดาน ทางด้านใต้อยู่ที่เบ็ธเอล ท่านได้สร้างรูปวัวทองคำไว้ที่ดานและเบ็ธเอลเพื่อให้พลไพร่นมัสการ และท่านได้เปลี่ยนระบบปุโรหิตเสียใหม่ ท่านได้กล่าวแก่พวกยิศราเอลว่า “โอ้ยิศราเอลนี่แน่ะเป็นพระของท่านซึ่งได้นำท่านออกมาจากประเทศอายฆุปโต” (1พงศาวดารกษัตริย์ 12:25-33) นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปอาณาจักรยิศราเอลได้ถูกจัดเข้าเป็นประเทศที่กราบไหว้รูปปั้นรูปเคารพ อาณาจักรยูดากับอาณาจักรยิศราเอลตั้งอยู่จนถึงอาณาจักรทั้งสองถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยโดยพวกศัตรู
56. ศาสดาพยากรณ์ คือนักเทศน์ที่พระเจ้าดลใจให้และส่งให้พวกเขาไปป่าวประกาศเรียกร้องให้พลไพร่กลับมาหาหนทางของพระเจ้า (เฮ็บราย 1:1) หนังสือ 17 เล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์เดิมได้บันทึกข่าวสารของศาสดาพยากรณ์บางท่านเอาไว้
57. ศาสดาพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งคือยะซายา ท่านมีชีวิต 750 ปีก่อนที่พระเยซูจะเสด็จมาจากสวรรค์มายังโลกนี้ ยะซายาได้พยากรณ์ไว้ว่าพระเจ้าจะตั้งอาณาจักรใหม่ขึ้น ไม่ใช่เฉพาะสำหรับชนชาติยิศราเอลเท่านั้นแต่สำหรับมนุษย์ทุกชาติ (ยะซายา 2:1-3) เพราะยะซายาได้พยากรณ์เกี่ยวกับชีวิตของพระเยซู พระมาซีฮา ยะซายาจึงเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้พยากรณ์ที่ทำนายเกี่ยวกับพระมาซีฮา คำทำนายของยะซายาเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูที่มีชีวิตในโลกนี้เป็นความจริงทั้งสิ้น
58. ดานิเดลศาสดาพยากรณ์อีกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียง แม้ว่าตกเป็นเชลยในต่างแดนถูกห้ามไม่ได้นมัสการพระเจ้าแต่ดานิเอลก็ยังนมัสการพระเจ้า (ดานิเอล 6:1-11) เมื่อดานิเอลถูกจับโยนลงไปในกรงสิงโตเพื่อลงโทษ พระเจ้าปกป้องชีวิตของดานิเอลด้วยการปิดปากสิงโต (ดานิเอล 6:12-28) ศาสดาพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ได้พยากรณ์ว่าพระเจ้าจะตั้งอาณาจักรขึ้นและจะตั้งขึ้นอยู่นิรันดรจะไม่ถูกทำลาย ดานิเอลได้พยากรณ์ว่า “ในสมัยเมื่อกษัตริย์เหล่านั้นกำลังเสวยราชย์อยู่ พระเจ้าแห่งสรวงสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรอันหนึ่งขึ้นซึ่งจะไม่มีวันทำลายเสียได้ ...” (ดานิเอล 2:44ก) พระเยซูกล่าวว่า แผ่นดินสวรรค์ ก็คือคริสตจักร (มัดธาย 16:18-19)
59. ท่านผู้นี้กำลังสนใจอ่านผู้พยากรณ์ของพระคัมภีร์เดิม ผู้พยากรณ์เหล่านี้ไม่ใช่เฉพาะกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรยิศราเอลทั้งสองและที่เกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อบ้านเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดได้ทำนายเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเยซูในการเป็นแสงสว่างของโลก (กิจการ 3:22-24)
60. พระเยซูได้บังเกิด ถูกต้องตามคำพยากรณ์ทุกประการทั้งเวลาและสถานที่ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
61. คำพยากรณ์ต่างๆเหล่านี้ ตามที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ได้เริ่มประสบความสำเร็จเมื่อทูตสวรรค์ฆับรีเอลของพระเจ้าได้ปรากฏแก่ซะคาเรียผู้เป็นปุโรหิต ทูตสวรรค์ได้สัญญาว่าท่านกับภรรยาจะมีบุตรชายนามว่าโยฮันซึ่งเป็นผู้จัดเตรียมการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า (ลูกา 1:5-25)
62. หลังจากที่ทูตสวรรค์ฆับรีเอลได้ปรากฏแก่ซะคาเรียหกเดือน พระเจ้าได้ใช้ทูตสวรรค์ฆับรีเอลไปพบหญิงพรหมจารีคนหนึ่งชื่อมาเรีย ทูตสวรรค์ได้บอกข่าวประเสริฐจากพระเจ้าแก่มาเรียว่า “นี่แนะ เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายจงตั้งชื่อบัตรนั้นว่า เยซู” (ลูกา 1:31) ทูตสวรรค์ได้ปรากฏแก่โยเซฟซึ่งเป็นคู่มั่นของมาเรียเพื่อบอกโยเซฟให้มั่นใจว่ามาเรียบริสุทธิ์และการตั้งครรภ์ของมาเรียเป็นไปโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ (มัดธาย 1:18-25) มาเรียยังคงดำรงความเป็นพรหมจารีจนหลังจากการประสูติของพระเยซู หลังจากนั้นมาเรียมีบุตรหลายคนซึ่งเกิดจากโยเซฟ (ลูกา 8:19-21)
63. ถึงเวลาที่บุตรของมาเรียใกล้คลอด จักรพรรดิของโรมบังคับให้ประชาชนไปลงทะเบียบที่บ้านเกิดของตนเองเพื่อต้องการเก็บภาษี เมื่อโยเซฟกับมาเรียได้เดินทางไปถึงเบ็ธเลเฮ็มบ้านเกิดของตนเอง ปรากฏว่าไม่มีที่พักเพราะมีผู้คนเยอะแยะในเมืองเล็กๆ ถ้าเจ้าของโรงแรมรู้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดของโลกกำลังจะบังเกิดเขาคงจะจัดห้องพักให้ได้ โยเซฟกับมาเรียจำเป็นต้องพักอยู่ในคอกสัตว์ (ลูกา 2:1-6)
64. “นางจึงประสูติบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า” (ลูกา 2:7) พระกำเนิดของพระกุมารเยซูไม่เหมือนกับทารกอื่นๆที่เกิด เพราะพระกุมารเยซูทรงบังเกิดในครรภ์ของมาเรียโดยฤทธิ์เดชของพระเจ้า พระเยซูไม่มีบิดาฝ่ายเนื้อหนังเหมือนมนุษย์คนอื่น พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าซึ่งทรงพระชนม์อยู่ชั่วนิรันดร แต่บัดนี้ได้บังเกิดมาในโลกนี้เพื่อเป็นพระผู้ช่วยให้รอด (โยฮัน 1:1-3,14)
65. พระกำเนิดของพระผู้ช่วยให้รอดสำคัญมาก ในคืนวันนั้นทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้ประกาศพระกำเนิดของพระเยซูแก่พวกคนเลี้ยงแกะ ทูตสวรรค์ได้กล่าวว่า “ในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลายคือพระคริสต์เจ้ามาบังเกิดที่เมืองดาวิด” หลังจากที่พวกเลี้ยงแกะได้เข้าไปนมัสการพระผู้ช่วยให้รอดแล้วทันทีพวกเขาเข้าไปในเมืองประกาศข่าวประเสริฐให้ทุกคนทราบสิ่งที่พวกเขาได้เห็น (ลูกา 2:8-20)
66. ห่างไกลไปทางทิศตะวันออกหลายกิโลเมตร พวกนักปราชญ์หลายคนได้เห็นดวงดาวที่ไม่ธรรมดาได้ปรากฏขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ากษัตริย์องค์ใหม่ได้ประสูติแล้ว หลายเดือนผ่านไปพวกเขาได้เดินทางไปนมัสการกษัตริย์องค์ใหม่ได้ถวายของวิเศษสิ่งมีค่าคือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ (มัดธาย 2:1-12)
67. ชีวิตของพระเยซู สมัยทรงพระเยาว์ ได้กล่าวไว้น้อยมากเพียงแต่บันทึกไว้ว่า "...ได้จำเริญขึ้นในฝ่ายสติปัญญา ในฝ่ายกาย และเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้า และต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย" อีกครั้งหนึ่งสมัยพระเยซูมีพระชนม์มายุได้ 12 พรรษา ได้เดินทางไปนมัสการในวิหารที่กรุงยะรูซาเล็มกับโยเซฟ และนางมาเรีย (ลูกา 2:45-47)
68. ในวิหารของพระเจ้า พระกุมาเยซูได้สำแดงพระปรีชาสามารถด้านความรู้ในพระคำของพระเจ้าแก่บรรดาอาจารย์ทั้งหลาย บิดามารดาได้เดินทางกลับบ้านได้รู้ภายหลังว่าพระกุมารเยซูไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่เดินทางด้วย เขาได้เดินทางกลับไปกรุงยะรูซาเล็มและได้พบพระกุมารเยซูสนทนาอยู่กับบรรดาคณาจารย์ฝ่ายศาสนาทั้งหลาย (ลูกา 2:46-48) เมื่อมารดาถามว่าทำไมยังค้างอยู่ในวิหารพระกุมารเยซูตอบว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าฉันจะต้องทำธุระของพระบิดาก่อน” (ลูกา 2:49) หลังจากเหตุการณ์นี้แล้วพระเยซูใช้ชีวิตอยู่กับโยเซฟและมาเรียเป็นเวลา 18 ปีอยู่กับครอบครัวก่อนที่จะเริ่มต้นทำพระราชกิจของพระองค์
69. ก่อนที่พระเยซูจะเริ่มต้นกระทำพระราชกิจของพระองค์ โยฮันบุตรของซะคาเรียได้เริ่มต้นเทศนาสั่งสอนเพื่อตระเตรียมประชาชนให้พร้อมการเสด็จมาของพระเยซู โยฮันบอกประชาชนตรงไปตรงมาว่าเขาไม่ใช่เป็นพระคริสต์ แต่เป็นผู้ตระเตรียมการเสด็จมาของพระคริสต์ (มาระโก 1:1-8)
70. พระเยซูเริ่มกระทำพระราชกิจเมื่อพระชนม์มายุได้ 30 พรรษา (ลูกา 3:23) พระเยซูใช้ชีวิตและสิ้นพระชนม์อยู่ภายใต้ยุคของโมเซตามประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์ พระองค์แต่เพียงผู้เดียวที่รักษาบัญญัติของโมเซอย่างสมบูรณ์ไม่บกพร่องเลย
71. พระเยซูได้เดินทางมาจากฆาลิลาย เพื่อจะไปรับบัพติศมาจากโยฮันบัพติศโตที่แม่น้ำยาระเดน หลังจากที่พระเยซูรับบัพติศมาด้วยการจุ่มน้ำแล้วก็เสด็จขึ้นจากน้ำ (มาระโก 1:10) การรับบัพติศมาครั้งนี้เป็นการจุ่มมิดน้ำ ตามความหมายของภาษากรีก “แบพติศโซ่” พระคัมภีร์กล่าวว่าการที่พระเยซูรับบัพติศมาก็เพื่อทำให้ “ความชอบธรรมสำเร็จทั้งสิ้น” พระองค์ไม่ได้รับบัพติศมาเพื่อลบล้างความผิดบาปเพราะพระองค์ไม่มีบาป (มัดธาย 3:13-15)
72. พระวิญญาณของพระเจ้าได้เสด็จลงมาอยู่เหนือศีรษะของพระเยซู มีสัณฐานเหมือนนกพิราบ และมีพระสุรเสียงจากฟ้าตรัสว่า “ท่านนี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” ภายหลังโยฮันบัพติศโตได้เป็นพยานเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ “เราได้เห็นพระวิญญาณเสด็จจากฟ้าดั่งนกพิราบสถิตอยู่บนพระองค์ เราเองหาได้รู้จักพระองค์ไม่ แต่พระองค์ผู้ได้ทรงใช้เรามาให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ พระองค์นั้นตรัสแก่เราว่าเมื่อเห็นพระวิญญาณเสด็จมาสถิตอยู่บนผู้ใดผู้นั้นแหละเป็นผู้ที่จะให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราได้เห็นจึงเป็นพยานว่าพระองค์นั้นแหละเป็นพระบุตรของพระเจ้า” (โยฮัน 1:33-34)
73. เมื่อพระองค์ได้เริ่มต้นกระทำพระราชกิจของพระองค์ พระเยซูได้ทรงเลือก 12 คน ใช้ชีวิตที่หลากหลายเพื่อฝึกฝนให้เป็นอัครสาวกเพื่อเป็นผู้นำพลไพร่ของพระองค์ พระองค์ทรงทราบว่าไม่ช้าพระองค์จะกลับไปยังพระบิดาในสวรรค์ พระเยซูได้ประทานพระวิญญาณเพื่อทรงนำอัครสาวกเมื่อเขาจะเทศนาและเขียนคำสอนของพระเยซูโดยไม่มีการผิดพลาด (โยฮัน 16:12-14) โดยวิธีนี้พระเจ้าได้ดลใจให้มีพระคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ใหม่อย่างสมบูรณ์ที่สุด
74. พระเจ้าได้ประทานฤทธิ์เดชให้พระเยซูทำการอิทธิฤทธิ์อัศจรรย์ได้ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า การอัศจรรย์ครั้งแรกพระองค์ได้เปลี่ยนน้ำให้เป็นน้ำองุ่น พิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์มีอำนาจเหนือธรรมชาติ (โยฮัน 2:1-11) พระองค์ได้รักษาคนเจ็บป่วย, คนพิการ, คนตาบอด, พระองค์ได้ขับผีออก, ทรงสามารถรู้ความคิดความมุ่งหมายในใจของคน (กิจการ 2:22)
75. พระเยซูทรงสำแดงให้เห็นว่าพระองค์มีฤทธิ์เดชเหนือชีวิตของมนุษย์ พระองค์ได้ปลุกคนที่ตายแล้วให้ฟื้นขึ้น “เพื่อท่านจะได้เชื่อ” (โยฮัน 20:31) โดยการทำการอิทธิฤทธิ์อัศจรรย์โดยฤทธิ์เดชของพระบิดาในสวรรค์ พระเยซูพิสูจน์ให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า (กิจการ 10:38-39)
76. พระองค์ทรงเป็นพระปรมาจารย์ ที่ได้เทศนามากมายบางครั้งพระองค์เทศนาแก่คนเป็นจำนวนมาก บางครั้งพระองค์เทศนาเป็นรายบุคคล คำสั่งสอนที่น่ารักของพระเยซูเปรียบพระองค์เป็นผู้เลี้ยงแกะอันดีที่ยอมพลีชีวิตเพื่อฝูงแกะ (โยฮัน 10) ผู้เลี้ยงแกะที่ดีคือผู้ที่ยินดีทิ้งแกะ 99 ตัวเพื่อไปตามหาแกะหนึ่งตัวที่หลงหายไป บทเรียนนี้สอนว่าพระเจ้ารักจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคน
77. ในคำเทศนาของพระองค์ พระเยซูใช้สิ่งที่เห็นกันเสมอเป็นบทเรียนสอนให้บทเรียนทางฝ่ายวิญญาณจิต ตัวอย่างเช่นพระองค์ใช้ดอกไม้เป็นบทเรียนสอนเรื่องความเชื่อ “ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม จงดูดอกไม้ที่ทุ่งนา มันงอกขึ้นอย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้ายเหนื่อย 29 แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่ากษัตริย์ซะโลโมเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศีก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง 30 แม้ว่าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างไรซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ โอผู้ที่มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ” (มัดธาย 6:28-30)
78. แม้ว่าคนธรรมดารักพระเยซู แต่ผู้นำศาสนายิวอิจฉาและเกลียดชังพระองค์ พวกเขาตระหนักดีว่าความชอบธรรมของพระเยซูจะทำให้อำนาจของเขาถูกสั่นคลอนพวกเขาคิดว่าพระเยซูสนใจด้านการเมืองและจะมาตั้งอาณาจักรฝ่ายโลกนี้ บรรดาผู้นำยุยงประชาชนให้ต่อต้านพระองค์และฆ่าพระองค์ (มาระโก 15:9-14) พวกเขาไม่ตระหนักเลยว่าพวกเขาช่วยทำให้โครงการของพระเยซูที่จะยอมสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปประสบความสำเร็จ
79. พระเยซูพระบุตรของพระเจ้าไม่มีความบาป (เฮ็บราย 4:15) เพราะฉะนั้นพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะยอมสละชีวิตเพื่อเป็นค่าไถ่บาปของมนุษย์ ความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์พระองค์ได้ยอมให้พระเยซูเป็นค่าไถ่บาปแทนมนุษย์ทุกคนที่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นพระผู้ช่วยให้รอดและเป็นกษัตริย์ พระเยซูตรัสว่า “พระเยซูตรัสแก่เขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาเว้นไว้มาทางเรา” (โยฮัน 14:6)
80. พระเยซูยอมทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน เพื่อความบาปของมนุษย์พระเยซูทำให้คำพยากรณ์ของยะซายาประสบความสำเร็จ “ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นความเจ็บปวดของเราเองที่เขาผู้นั้นรับแบกหาม ฝ่ายเราก็ถือว่าเขาถูกพระเจ้าโบยตีจึงมีความทุกข์ เขาผู้นั้นถูกเจ็บเป็นบาดแผลก็เพราะการล่วงละเมิดของพวกเราและถูกฟกช้ำก็เพราะความอสัตย์อธรรมของพวกเรา การลงโทษเพื่อให้เกิดความสุขแก่พวกเราไปตกอยู่กับเขาผู้นั้นและที่พวกเราหายเป็นปกติได้ก็เพราะรอยแผลเฆี่ยนของเขาผู้นั้น” (ยะซายา 53:4-5) ขณะที่พวกฝูงชนได้พากันร้องตะโกนประณามพระเยซู พระเยซูได้อธิษฐานว่า “พระบิดาเจ้าข้าฯ ขอโปรดยกโทษให้พวกเขาด้วยเพราะเขาไม่รู้ว่าเขาได้ทำอะไร” พวกยิวเหล่านี้ไม่สามารถรู้ล่วงหน้าว่าพวกยิวเป็นอันมากจะยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด (กิจการ 2:36-41)
81. เพื่อปฏิบัติตามประเพณีของพวกยิว ในบ่ายวันนั้นพวกทหารจะมาทุบกระดูกเพื่อให้คนที่ถูกตรึงบนไม้กางเขนจะตายก่อนวันซะบาโตของพวกยิวจะเริ่มขึ้น ตอน 6โมงเย็น เพราะเขาพบว่าพระเยซูได้สิ้นพระชนม์แล้วเขาจึงไม่ได้ทุบกระดูกของพระองค์ ทำให้คำพยากรณ์สำเร็จเกี่ยวกับพระมาซีฮา “พระอัฐิของพระองค์สักอันหนึ่งเขาจะไม่ทำให้หักเลย” (โยฮัน 19:36) แต่ทหารได้ใช้หอกแทงที่สีข้างของพระเยซูพระโลหิตของพระองค์หลั่งไหลเพื่อความบาปของเราทั้งหลาย (โยฮัน 19:31-37) วงการแพทย์อธิบายว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูปลงพระทัยยอมสิ้นพระชนม์เป็นการแบกบาปโทษของมวลมนุษย์ทั้งหลาย
82. การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนไม้กางเขน เป็นการสิ้นสุดยุคที่สองของประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์ และบัญญัติของพระคัมภีร์เดิม ในการศึกษาในยุคของโมเซเราเรียนรู้เกี่ยวกับชนชาติยิศราเอลวนเวียนอยู่ในในป่า, ภูเขาซีนาย, พลับพลา, แผ่นดินคะนาอัน, ยุคผู้วินิจฉัย, ยุคของกษัตริย์, ยุคอาณาจักรแบ่งแยก, ศาสดาพยากรณ์และพระกำเนิดของพระเยซู, และพระราชกิจของพระองค์
83. บทเรียนตอนต่อไปเราจะเรียนรู้เรื่องการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู การเสด็จขึ้นสวรรค์กลับไปอยู่กับพระบิดาในสวรรค์ และการมาถึงยุคคริสเตียน