ทำไมต้องเป็นทางของพระเยซูเท่านั้น
พระเจ้าได้ดำริโครงการแห่งความรอดไว้เป็นเวลานานนับตั้งแต่สร้างโลก (เอเฟโซ 3.9) โครงการอันนี้พระเยซูเป็นผู้ทำให้สำเร็จจะเป็นคนอื่นไม่ได้ เพราะคนอื่นเป็นแต่เพียงมนุษย์ธรรมดา ศาสดาพยากรณ์ยิระมะยาได้ชี้แจงแก่ชนชาติยิศราเอลในสมัยโบราณไว้ดังนี้ "โอพระยะโฮวา ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่า ทางที่มนุษย์จะไปนั้นไม่ได้อยู่ในตัวของตัว ไม่ใช่มนุษย์ที่ดำเนินนั้นจะได้กำหนดก้าวของตัวได้" (ยิระมะยา 10.23) จากข้อความนี้พระเจ้ามีจุดประสงค์จะสอนให้มนุษย์เข้าใจว่า มนุษย์เองไม่สามารถจะพึ่งตนเองได้ในเรื่องความรอดพ้นจากบาป
โลกปัจจุบันเต็มไปด้วยความสับสน เพราะมนุษย์กระทำทุกสิ่งตามอำเภอใจตนเอง เขาไม่คิดว่าหนทางของพระเจ้าไม่ใช่หนทางของมนุษย์ แม้กระทั่งในเรื่องการนับถือศาสนา เขาก็ถือตามใจชอบหาได้คิดพิจารณาดูความจริงแท้ไม่ พระเจ้าไม่เป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวาย มนุษย์ในประวัติศาสตร์และปัจจุบันมิได้ตระหนักถึงความรับผิดชอบที่มีต่อพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในจักรวาล เขาไม่คิดว่าพระเจ้าใหญ่พอที่จะเป็นผู้คิดหนทางช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากบาปได้ พระเยซูตรัสว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาเว้นไว้มาทางเรา" (โยฮัน 14.6)
ถ้ามนุษย์ไม่พึ่งพระเจ้า ไม่อาศัยพระเยซู มนุษย์ก็ต้องพึ่งความสามารถของตนเอง มนุษย์พึ่งตนเองได้อย่างไร ตามหลักสอนของศาสนามนุษย์จะทำให้บุคคลรอดพ้นมลทินความบาป 2 ประการด้วยกันคือ
ก. โดยอาศัยหลักการสร้างความดี หรือสร้างกุศลแลทำใจให้สงบ พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวว่า "เหตุว่าคนทั้งปวงได้ทำผิดทุกคน และขาดการถวายเกียรติยศแก่พระเจ้า" (โรม 3.23) และ "ค่าจ้างของความบาปก็คือความตาย" (โรม 6.23) เป็นที่ยอมรับแล้วว่ามนุษย์ทุกคนกระทำบาป ไม่มีสักคนเดียวที่ยกเว้นได้ ทำอย่างไรจึงจะพ้นบาป ตามหลักคำสอนของมนุษย์บอกว่าจะต้องสร้างกุศล ทำใจให้สงบ ทำอย่างไร? อย่าลืมว่าทุกสิ่งในโลกนี้มีอยู่แล้ว เงิน, ทอง, พื้นแผ่นดินที่เราอาศัย, อากาศ, น้ำที่เราดื่ม, ข้าวปลาอาหาร, แสงแดด, ฝนตก ฯลฯ สิ่งเหล่านี้พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาเพื่อเรา ถ้าเราขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งร่างกายของเราก็จะตายทันที สรุปแล้วเราพึ่งตนเองไม่ได้ในแง่ของการดำรงชีพฝ่ายเนื้อหนัง เราจะเอาเงินทองหรือสิ่งของในโลกนี้ไปสร้างกุศลหรือทำบุญ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิทธิ์ของพระเจ้า เราจะเอาทรัพย์สมบัติสิ่งของทั้งดลกนี้มาซื้อให้เราพ้นบาปได้อย่างไร แม้แต่จิตวิญญาณของเราก็มีค่ามากยิ่งกว่าสารพัดสิ่งในโลกนี้ "ถ้าเราได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียจิตวิญญาณจะเป็นประโยชน์อันใด" (มัดธาย 16.26)
เรื่องการที่มนุษย์จะพ้นบาปได้นั้นไม่ใช่เป็นความสามารถหรือเป็นวิธีการมนุษย์ ถ้ามนุษย์สร้างกุศลเพื่อไปสวรรค์มนุษย์ก็โอ้อวดได้ แต่มนุษย์โอ้อวดได้อย่างไรในเมื่อทุกสิ่งแม้แต้เสื้อผ้าสักชิ้นที่ติดกายอยู่ก็เอามาจากวัตถุดิบในโลกนี้ เพราะฉะนั้นในแง่จิตวิญญาณมนุษย์ก็ช่วยตนเองไม่ได้ วิธีการสร้างความดีไม่สามารถช่วยให้คนเราพ้นจากความผิดบาปได้ เราทำผิดต่อคนอี่นและในเวลาเดียวกันก็ทำผิดต่อพระเจ้าแห่งสวรรค์ด้วย ผู้ที่จะยกโทษต้องเป็นพระเจ้าไม่ใช่ตัวเราเอง การสร้างความดีมีผลประโยชน์แต่เพียงเพื่อจะสร้างอุปนิสัยคนเราให้ดีขึ้นเท่านั้นเอง
บ้างก็เห็นว่าการทำให้สงบจะช่วยให้คนเป็นผู้บริสุทธิ์ได้ และในที่สุดก็จะช่วยให้บุคคลบรรลุซึ่งสวรรค์ได้ คนเป็นจำนวนมากหาวิธีเพื่อทำให้ใจสงบหลีกหนีออกจากกิเลสแห่งโลกนี้ บ้างก็ถือศีลอดอาหาร บำเพ็ญตบะอยู่บนภูเขา บ้างก็ทรมานตัวเองด้วยวิธีต่าง ๆ บ้างก็ถือเพศเป็นบรรพชิต แต่ความรู้ง่าย ๆ ก็สอนเราว่าในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ เรามีหน้าที่ไม่ใช่เฉพาะแก่ตนเองเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่ในสังคมอีกด้วย การหนีจากสังคมไปทำใจให้สงบด้วยประการต่าง ๆ ย่อมเป็นการหลีกหนีจากความรับผิดชอบต่อสังคม วิธีการเช่นนี้จึงเป็นวิธีการที่ไม่สมเหตุสมผล
ข. วิธีการของมนุษย์เพื่อช่วยให้พ้นบาปอีกประการหนึ่ง คือ การรักษาบัญญัติ เช่น อย่าฆ่าคน, อย่ามุสา, อย่าผิดประเวณี เป็นต้น มีใครรักษาได้หมดไหม? "ก็ยังรู้ว่าไม่มีมนุษย์ผู้ใดจะเป็นคนชอบธรรมได้โดยการประพฤติตามพระบัญญัติ แต่โดยศรัทธาในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ...เพราะว่าโดยการประพฤติตามพระบัญญัตินั้น ไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่อยู่ในเนื้อหนังจะเป็นคนชอบธรรมได้" (ฆะลาเตีย 2.16) และอีกข้อหนึ่ง "เพราะว่าถ้าคนใดรักษาพระบัญญัติได้ทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียว คนนั้นก็เป็นผู้ผิดพระบัญญัติทั้งหมด" (ยาโกโบ 2.10) โดยวิธีการนี้ไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่จะสามารถจะรักษาบัญญัติได้หมดทุกข้อ
เพราะฉะนั้นวิธีการช่วยตนเองของมนุษย์ก็ไม่สำเร็จ ทำไมจึงไม่สำเร็จ? เพราะมนุษย์ได้กระทำผิดบาปต่อพระเจ้า เราเป็นหนี้บาปต่อพระเจ้า เราจะยกบาปหนี้ให้ตัวเราเองย่อมไม่ได้ การยกหนี้จะต้องมาจากเจ้าหนี้ไม่ใช่มาจากลูกหนี้ คำมั่นสัญญาในการยกหนี้ก็เช่นเดียวกัน จะต้องมาจากพระเจ้า พระเจ้าต้องเป็นผู้ตรัสว่า "เจ้าเป็นบาปเราจะยกบาปให้เจ้า"
วิธีการของพระเจ้าอาศัยหลัก 2 ประการ คือ
(1) มนุษย์รอดโดยพระกรุณาธิคุณของพระองค์ โดยพระกรุณาธิคุณหมายความว่า ถึงแม้มนุษย์จะเป็นคนบาป ไม่สามารถช่วยตนเองให้หลุดพ้นจากความบาปได้ พระเจ้ากรุณาทรงแผ่เมตตาให้มนุษย์โดยที่มนุษย์ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย เพียงแต่ยอมรับเงื่อนไขของพระองค์ที่วางใจสำหรับมนุษย์เท่านั้น พระองค์ทรงประสงค์การเชื่อฟังและใจกตัญญูจากมนุษย์
(2) มนุษย์รอดได้โดยอาศัยความรักของพระองค์ ซึ่งได้ทรงสำแดงไว้ในการที่ได้ทรงส่งพระเยซูมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน "ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรแล้ว พระองค์ยังได้ทรงเรียนรู้จักที่จะนอบน้อมยอมฟังนั้นโดยความยากลำบากที่พระองค์ได้ทรงทนเอา" (เฮ็บราย 5.8) "เพราะว่าพระเจ้าทรงโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะมิได้พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์" (โยฮัน 3.16)
มนุษย์ไม่สามารถช่วยตนเองให้รอดได้ แต่โดยความรักและโดยพระกรุณาของพระเจ้า จึงโปรดให้พระเยซูรับภาระแทนเรา มนุษย์จึงพ้นมลทินได้ ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบเพื่อนักศึกษาจะเห็นได้ชัดเจนดังนี้
นายดำได้ไปฆ่านายแดงตาย ตามกฎหมายศาลตัดสินให้นายดำติดคุกตลอดชีวิต นายดำอยากจะออกจากคุกให้ได้โดยการสร้างความดี แต่เขาก็ไม่ปล่อยนายดำ นายดำมีเงินมากมายแต่กระทำอะไรไม่ได้ นายดำอุตส่าห์ประพฤติตนดีขณะอยู่ในคุก ก็ไม่สามารถออกจากคุกได้ ไม่มีทางเลย มีทางเดียวเท่านั้นที่นายดำจะพ้นโทษได้ และการที่นายดำจะพ้นโทษไม่ใช่เป็นความสามารถของตนเอง นายดำยังไม่สามารถชำระหนี้โทษที่ทำไว้แก่นายแดง แต่แม้กระนั้นเองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยพระบารมีคุณของในหลวง พระองค์ทรงยกโทษนายดำได้ การยกโทษนี้เป็นการยกให้ฟรี ๆ "ดำเรายกโทษให้เจ้า เจ้าพ้นโทษได้" จากตัวอย่างนี้เราเห็นว่าจะต้องมีผู้สัญญา เรายกโทษให้ตนเองไม่ได้
พระเจ้าเป็นผู้สัญญาว่า "ดำเจ้าเป็นคนบาป เรายกโทษให้เจ้า" วิธีนี้ของพระเจ้าเราเรียกว่าเป็นพระกรุณาธิคุณและความรักของพระองค์ที่ให้แก่เราฟรี ๆ โดยที่เราไม่ต้องลงทุนอะไรเลย พระเจ้าสำแดงพระกรุณาธิคุณของพระองค์อย่างไร?
การไถ่โทษบาปต้องประกอบด้วย 2 ฝ่าย ฝ่ายที่หนึ่งคือพระเจ้า ฝ่ายพระเจ้าได้สำแดงพระกรุณาธิคุณของพระองค์โดยส่งพระบุตรสุดที่รักของพระองค์มาตายบนไม้กางเขนแทนเรา พระองค์ได้แบกบาปแทนเราทั้งหลายทุกคน เพราะมนุษย์ไม่สามารถจะแบกบาปโทษของเราเองได้ โรม 5.8 "แต่ฝ่ายพระเจ้าได้ทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะเมื่อเราทั้งหลายยังเป็นคนบาป พระคริสต์ได้ทรงยอมตายแทนเรา"
ด้วยความรักของพระเยซูต่อมนุษย์ พระองค์ทรงยอมตายแทนเรา พระองค์ยอมถูกเฆี่ยนตีแทนเรา พระเยซูทรงทำหน้าที่ยอมทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนแทนเราเป็นผู้ทำให้เรากลับไปหาพระเจ้า ฝ่ายพระเจ้าได้ทรงช่วยเหลือเรา ฝ่ายเราจะต้องทำอะไรบ้างเราจะต้องรับเอาเงื่อนไขที่พระเจ้าวางไว้เพื่อจะให้เรากลับไปหาพระองค์อีก "แต่ว่าคนทั้งหลายที่ได้ต้อนรับพระองค์ พระองค์ทรงโปรดให้มีอำนาจที่จะเป็นบุตรของพระเจ้าได้ คือคนทั้งหลายที่ได้วางใจในพระนามของพระองค์" (โยฮัน 1.12) เราจะกลับไปเป็นบุตรของพระเจ้าตามเดิมก็โดยทางพระเยซูเท่านั้น ไม่มีทางอื่น
พระเจ้าได้วางโครงการที่จะนำมนุษย์ให้กลับมาหาพระองค์นานแล้ว โดยทางพระเยซูคริสต์และมนุษย์จะกลับไปหาพระเจ้าได้ก็โดยทางพระเยซูเท่านั้น พระองค์ทรงเป็นคนกลางระหว่างเรากับพระเจ้า "เพราะว่ามีพระเจ้าองค์เดียว และมีคนกลางแต่ผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์" (1ติโมเธียว 2.5) และไม่ใช่ทางของมนุษย์เอง
เราขอชักชวนให้นักศึกษาทุกท่านกลับมาหาพระเจ้า โดยการยอมรับเอาพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวของท่าน "พระยะโฮวาตรัสว่า มาเถิดให้เรามาหารือตกลงกันเสียให้เด็ดขาด แม้บาปของเจ้าจะแดงเป็นเหมือนสีที่แดงก่ำ บาปนั้นก็จะกลับกลายเป็นสีขาวเหมือนอย่างหิมะ แม้บาปของเจ้าจะแดงเป็นเหมือนสีที่แดงเข้ม บาปนั้นก็อาจจะขาวเหมือนอย่างขนแกะ" (ยะซายา 1.18-20)
บทที่ 6
ลงชื่อรับใบประกาศนียบัตร
โปรดปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
1. ก่อนลงชื่อรับใบประกาศนียบัตร ท่านต้องตอบคำถามหลักสูตรที่ 4 ให้ครบทั้ง 6 บทเสียก่อน
2. กรุณากรอกข้อมูลให้ถูกต้อง เพื่อจัดส่งใบประกาศนียบัตรให้ท่านทางไปรษณีย์
3. หลังจากลงชื่อรับใบประกาศนียบัตรแล้ว ท่านสามารถเลือกเรียนหลักสูตรอื่นได้ทันที
4. ลงชื่อขอรับใบประกาศนียบัตร หลักสูตรที่ 4 คลิกที่นี่
1. ก่อนลงชื่อรับใบประกาศนียบัตร ท่านต้องตอบคำถามหลักสูตรที่ 4 ให้ครบทั้ง 6 บทเสียก่อน
2. กรุณากรอกข้อมูลให้ถูกต้อง เพื่อจัดส่งใบประกาศนียบัตรให้ท่านทางไปรษณีย์
3. หลังจากลงชื่อรับใบประกาศนียบัตรแล้ว ท่านสามารถเลือกเรียนหลักสูตรอื่นได้ทันที
4. ลงชื่อขอรับใบประกาศนียบัตร หลักสูตรที่ 4 คลิกที่นี่