บทที่ 3
บทที่3
มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ - แบบ
THE EXISTENCE OF GOD-DESIGN
ในบรรดากฎต่าง ๆ ที่ใช้ในวิชาตรรกวิทยา มีกฎหนึ่งที่เรียกว่า กฎของการหาเหตุผล (Law of Rationality) กฎนี้บัญญัติไว้ว่า ก่อนที่ผู้ใดจะยอมรับความจริงใด ๆ ก็ต่อเมื่อผู้นั้นได้วิเคราะห์ข้อมูลหลักฐานที่สมบูรณ์แล้ว กฎนี้เป็นกฎที่มีประโยชน์มาก เพราะว่าผู้ใดก็ตามที่ยอมรับความจริงโดยไม่มีข้อมูลหลักฐานพร้อม แสดงว่าคนนั้นเป็นคนไร้เหตุผล ในการพิจารณาเรื่องมีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ผู้ที่เชื่อพระเจ้า (theists) ใช้ตรรกวิทยา, เหตุผลที่ชัดเจน รวมทั้งเสนอข้อมูลประกอบการพิจารณาอย่างพร้อมมูลมากเพียงพอในการสรุปว่ามีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
หลักฐานต่าง ๆ ที่นำมาใช้เพื่อพิสูจน์จุดยืนของเราเรื่องพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อาจจะมีหลายแบบ ข้อโต้แย้งต่าง ๆ ที่นำเสนอโดยผู้เชื่อพระเจ้า เมื่อรวมกันแล้วจะทำให้เป็นหลักฐานที่มั่นคงไม่สามารถลบล้างได้ว่ามีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่จริง เมื่อพิจารณาหลักฐานและข้อมูลทั้งหมดแล้วมากเกินพอที่จะสรุปได้ว่า มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ในบทเรียนนี้เราจะนำเสนอและนำข้ออภิปรายมาเป็นหลักฐานประกอบเพื่อพิสูจน์ว่ามีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
หลักฐานเกี่ยวกับแบบ THE TELEOLOGICAL ARGUMENT
เพื่อจะพิสูจน์ว่ามีพระเจ้า ผู้เชื่อใช้หลักเหตุผลที่เรียกว่าข้อโต้แย้งเกี่ยวกับแบบ (The Teleological Argument) "Teleology" คำนี้ใช้เพื่อชี้ให้เห็นจุดประสงค์หรือแบบโดยวิธีนี้เสนอว่าที่ไหนที่มีแบบที่นั่นจะต้องมีผู้ออกแบบ ในรูปแบบของตรรกวิทยา เหตุผลอาจเขียนเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้
1. ถ้าจักรวาลแสดงให้เห็นว่ามีแบบแสดงว่าจะต้องมีผู้ออกแบบ
2. จักรวาลมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีแบบจริง
3. ดังนั้นจักรวาลจะต้องมีผู้ออกแบบจริง
รูปแบบตรรกวิทยานี้ถูกวิธีในการหาเหตุผลดังกล่าวและข้อสรุปต่าง ๆ ที่ตามมาไม่สามารถหนีพ้นความสนใจของผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า แม้ว่าผู้ไม่เชื่อก็สามารถเข้าใจได้ว่าบทประพันธ์จะไม่เกิดขึ้นโดยไม่มีผู้ประพันธ์ กฎหมายมีขึ้นก็เพราะมีผู้บัญญัติขึ้น รูปภาพอันวิจิตรย่อมไม่เกิดขึ้นถ้าไม่มีจิตกร หรือมีแบบอยู่ทั่วทุกแห่งแต่ไม่มีผู้ออกแบบย่อมไม่ได้ ถึงแม้ว่าผู้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้ายอมรับว่าแบบทั่วทุกแห่งแสดงว่าจะต้องมีผู้ออกแบบก็ตาม แต่พวกเขาปฏิเสธว่าในธรรมชาติไม่มีแบบมากเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่ามีนักออกแบบผู้ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลัง ข้อขัดแย้งระหว่างผู้ที่เชื่อว่ามีพระเจ้า และผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าไม่อยู่ตรงประเด็ดที่ว่าแบบแสดงให้เห็นว่ามีผู้ออกแบบ แต่ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า ในธรรมชาติมีหลักฐาน ข้อพิสูจน์บริบูรณ์มากพอที่จะสรุปว่ามีผู้ออกแบบจริง ตรงนี้แหละหลักฐานเกี่ยวกับแบบ (Teleological Argument) เข้ามามีบทบาทในการหาเหตุผลว่ามีพระเจ้า
แบบของจักรวาล DESIGN OF THE UNIVERSE
จักรวาลของเราขับเคลื่อนไปอย่างแม่นยำ โดยกฎวิทยาศาสตร์ ความแม่นยำของจักรวาลและความเที่ยงตรงของกฎวิทยาศาสตร์เที่ยงตรงมากทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถส่งยานอวกาศไปลงบนดวงจันทร์ตรงจุดที่กำหนดไว้ได้อย่างแม่นยำ ความเที่ยงตรงและแม่นยำทำให้นักดาราศาสตร์สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าหลายปีก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง หรือสามารถบอกล่วงหน้าว่าเมื่อใดดาวหางฮัลเลย์จะโคจรกลับมาให้เราเห็นอีกครั้ง ความเที่ยงตรง, ความสลับซับซ้อน และความมีระเบียบภายในจักรวาลไม่มีการขัดแย้งเลย ขณะที่พวกไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าเต็มใจยอมรับว่ามีระเบียบ และมีความสลับซับซ้อน แต่พวกเขายังไม่เต็มใจที่ยอมรับว่ามีแบบที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขารู้ว่าแบบอันสลับซับซ้อนนั้นแสดงว่าต้องมีผู้ออกแบบที่ยิ่งใหญ่ มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีแบบหรือเปล่า? พวกไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าอ้างว่าไม่มีหลักฐานอะไรเลย ในทางตรงข้ามพวกที่เชื่อพระเจ้าบอกว่ามีหลักฐานที่แสดงว่ามีแบบ ขอเสนอหลักฐานเพื่อสนับสนุนคำอ้างดังต่อไปนี้
เราอาศัยอยู่ในจักรวาลที่ใหญ่มหึมา ขณะเดียวกันขอบเขตไกลโพ้นออกไปยังไม่สามารถวัดได้ แต่ที่วัดได้คือจักรวาลของเรามีเส้นผ่าศูนย์กลาง 20พันล้านปีแสง (1ปีแสงเท่ากับการเดินทางของแสงภายในหนึ่งปี เดินทางด้วยความเร็วสูงมากกว่า 186,000 ไมล์ต่อวินาที หนึ่งปีแสงประมาณ 5,880,000,000,000 ไมล์) ประมาณว่ามีกาแล็กซี่หรือทางช้างเผือกหนึ่งพันล้านในจักรวาลของเรา และประมาณว่ามีดวงดาวต่าง ๆ 25 Sextrillion (25 ตามด้วยศูนย์ 21 ตัว) ทางช้างเผือกกาแล็กซี่ (The Milky Way) ที่เราอาศัยอยู่ประกอบด้วยดวงดาว 100 พันล้านดวง ใหญ่มหึมามาก เคลื่อนไหวด้วยความเร็วของแสงจะต้องใช้เวลา 100,000 ปี เพื่อเดินทางข้ามจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ถ้าเราเขียนแผนที่ของทางช้างเผือกกาแล็กซี่ที่เราอาศัยอยู่ โดยกำหนดให้โลกกับดวงอาทิตย์เป็นจุดสองจุดให้มีมาตราส่วนห่างกันหนึ่งนิ้ว (มาตราส่วนหนึ่งนิ้วเท่ากับ93 ล้านไมล์ เป็นระยะทางห่างจากโลกถึงดวงอาทิตย์) เราต้องการแผนที่ซึ่งมีความกว้างเท่ากับสี่ไมล์ เพื่อจะไปถึงตำแหน่งของดวงดาวที่ใกล้ที่สุดและต้องการแผนที่ซึ่งมีความกว้างกับ 25,000 ไมล์ เพื่อไปถึงตำแหน่งศูนย์กลางกาแล็กซี่ของเรา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจักรวาลของเราน่าทึ่งมาก
ขนาดของจักรวาลใหญ่โตมโหฬาร แบบของจักรวาลน่าทึ่งมาก อุณหภูมิภายในดวงอาทิตย์คาดว่าประมาณกว่ากว่า 20 ล้านองศาเซลเซียส โลกของเราอยู่ในตำแหน่งที่ห่างพอดีจากดวงอาทิตย์เพื่อรับความร้อนและรังสีเพื่อชีวิตบนโลกจะคงอยู่ได้ ถ้าโลกของเราอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าที่เป็นอยู่แค่ 10% (ประมาณ 10 ล้านไมล์) โลกจะได้รับความร้อนและรังสีจากดวงอาทิตย์สูงมาก ขณะเดียวกันถ้าโลกของเราเคลื่อนออกไปไกลจากดวงอาทิตย์ 10% อุณหภูมิจะลดลงมากจนกลายเป็นน้ำแข็ง สภาวะทั้งสองอย่างดังกล่าวทำให้ชีวิตบนโลกอยู่ไม่ได้
โลกโคจรหมุนรอบแกนตัวเองด้วยความเร็ว 1,000 ไมล์ต่อชั่วโมงตรงเส้นศูนย์สูตร และโคจรรอบดวงอาทิตย์โดยอัตโนมัติด้วยความเร็ว70,000 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 19 ไมล์ต่อวินาที) ในเวลาเดียวกันดวงอาทิตย์และดวงดาวต่าง ๆ ในระบบสุริยะจักรวาลโคจรในห้วงอากาศด้วยความเร็ว 6,00,000 ไมล์ต่อชั่วโมง โคจรอยู่ในห้วงจักรวาลซึ่งใหญ่โตมหึมามาก คำนวณว่าต้องใช้เวลา 220 ล้านปี เพื่อโคจรรอบจักรวาลครบหนึ่งรอบ ที่น่าสนใจก็คือ ขณะที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ โลกก็จะเคลื่อนตัวออกไปจากเส้นตรงประมาณ 1ใน 9 ของหนึ่งนิ้วทุก ๆ สิบแปดไมล์ ถ้ามันเกิดเคลื่อนตัวออกไป 1ใน 8 หรือหนึ่งนิ้ว โลกเราจะโคจรเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์มากโลกของเราก็จะถูกเผาเป็นจุลไป ถ้าเคลื่อนตัวห่างไปแค่ 1 ใน 10 ของหนึ่งนิ้วโลกของเราจะอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มาก โลกเราจะเย็นมากจนกลายเป็นน้ำแข็ง โลกของเราอยู่ห่างจากดวงจันทร์ 240,000 ไมล์ แรงดึงดูดของดวงจันทร์ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงบนโลกของเรา ถ้าดวงจันทร์จะโคจรเข้ามาใกล้โลกของเราประมาณหนึ่งในห้า น้ำขึ้นจะมีมากวันละสองครั้ง และน้ำจะขึ้นสูงประมาณ 35-50 ฟุต เหนือระดับผิวโลกจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าอัตราความเร็วของการหมุนรอบโลกตัวเองจะลดให้ช้าลงเหลือแค่ครึ่งหนึ่ง หรือลดลงสองเท่าตัว ถ้าถูกลดลงครึ่งหนึ่ง ฤดูกาลต่าง ๆ ก็จะขยายยาวออกไปอีกสองเท่า ซึ่งจะก่อให้เกิดความรุนแรงของความร้อนและความหนาวเย็นบนโลก ส่วนมากเป็นการยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ในการที่จะปลูกพืชผักเป็นอาหารเพื่อเลี้ยงพลโลก ถ้าโลกของเราหมุนเร็วมากกว่าเดิมสองเท่าฤดูกาลจะถูกลดลงครึ่งหนึ่ง ก็จะเป็นเหตุให้การปลูกพืชผลเป็นไปไม่ได้เช่นกัน โลกของเราเอียงทำมุมจากแกนของมันเอง 23.5 องศา ถ้าตัดการเอียงออกไปให้เหลือเท่ากับศูนย์ น้ำก็จะมารวมตัวอยู่ที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ พื้นที่ซึ่งอยู่ตรงกลางจะกลายเป็นทะเลทราย ถ้าชั้นบรรยากาศที่อยู่รอบโลกจะบางลงกว่าเดิมอุกาบาตหรือสะเก็ดดาวจะตกลงมาบนพื้นโลกมากและจะตกลงมาบ่อย ๆ มากกว่านี้และจะมีพลังอำนาจในการทำลายล้างโลกของเราอย่างกว้างขวาง
มหาสมุทรทำหน้าที่ในการปรับอากาศของโลกอย่างต่อเนื่องทำให้น้ำระเหยกลายเป็นไอ และรวมตัวเป็นก้อนเมฆตกลงมาเป็นเม็ดฝน ข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าความร้อนของน้ำและความเย็นของน้ำมีอัตราที่เปลี่ยนไปอย่างเชื่องช้ามากกว่าบนแผ่นดิน ซึ่งเป็นคำอธิบายว่า ทำไมบริเวณทะเลทรายจะร้อนมากในเวลากลางวันและหนาวมากในเวลากลางคืน อีกประการหนึ่งน้ำรักษาอุณหภูมิได้นานกว่า ซึ่งสามารถปรับอากาศตามธรรมชาติตรงบริเวณที่เป็นภาคพื้นดินได้ ถ้าสมมุติว่าสี่ในห้าส่วนของโลกไม่ถูกปกคลุมด้วยน้ำการพยากรณ์อากาศล่วงหน้าไม่สามารถทำได้ อีกประการหนึ่งมนุษย์และสัตว์หายใจเอาออกซิเจนเข้าไปและคายเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเราพึ่งพาอาศัยพืชในการผลิตออกซิเจนให้มนุษย์และสัตว์หายใจ แม้กระนั้นก็ตามคนส่วนมากไม่ได้ตระหนักว่าเกือบ 90% ของออกซิเจนที่เราได้รับในปัจจุบันเกิดจากพืชเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ในท้องทะเล ถ้าสมมุติว่ามหาสมุทรของเราเล็กลงไม่ช้าไม่นานเราก็จะไม่มีอากาศหายใจ คนที่มีเหตุผลเชื่อไหมว่าสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นอย่างสลับซับซ้อนซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตเหล่านี้ "เกิดขึ้นโดยบังเอิญ" โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ในระยะที่พอดี อยู่ห่างจากดวงจันทร์ในระยะที่พอดี มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่พอดี มีความดันของชั้นบรรยากาศที่พอดี เอียง 23.5 องศาพอดี ปริมาณของน้ำในมหาสมุทรพอดี มีน้ำหนักและมวลสารพอดี และความพอดีอื่น ๆ อีก ถ้าข้อกำหนดมากมายเหล่านี้นำมาใช้กับด้านอื่น ๆ ของชีวิตแล้วเราเหมาะเอาว่าข้อกำหนดต่าง ๆ เหล่านี้ "เกิดขึ้นโดยบังเอิญ" แน่นอนจะถูกปฏิเสธและจะถูกหัวเราะเยาะทันที แต่แม้กระนั้นก็ตามบางคนยังบอกว่า จักรวาล, โลก, รวมทั้งสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่บนโลกนี้ได้มาอยู่ที่นี่ ก็เพราะโดยความบังเอิญ หลายปีมาแล้วนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังคนหนึ่งชื่อ จอห์น กริบบิน ได้พิมพ์บทความลงในหนังสือสารคดีสรรสาระวิทยาศาสตร์ (Science Digest) ในบทความนั้นท่านได้ย้ำให้เห็นความสำคัญของข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ได้พิจารณาข้างต้น แต่ตั้งชื่อบทความว่า "โลกที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ" (Earth's Lucky Break!) "นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อ เซอร์เฟรด โฮเยิล ได้กล่าวว่าความไม่มีระเบียบและความบังเอิญอันส่งเดชเป็นต้นเหตุให้เกิดแบบและความมีระเบียบ คำกล่าวเช่นนี้ไม่ต่างกับที่พูดว่า ลมพายุพัดเอาเหล็กชิ้นเล็กชิ้นน้อยและชิ้นใหญ่มารวมกันกลายเป็นเครื่องบินโบอิง 747 ที่จะพูดว่าจักรวาลอันมีระเบียบและสลับซับซ้อน "เกิดขึ้นโดยบังเอิญเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริง ๆ ทางเลือกที่เป็นคำตอบก็คือ จักรวาลถูกสร้างโดยผู้มีสติปัญญาซึ่งเป็นนักออกแบบที่ล้ำเลิศ - ผู้นั้นก็คือพระเจ้า"
แบบของร่างกายมนุษย์ DESIGN OF THE HUMAN BODY
หลายปีมาแล้วนักปราชญ์ออกัสติน ได้วิเคราะห์ว่า "มนุษย์ท่องเที่ยวไปเพื่อจะดูความสูงของภูเขา, ดูคลื่นมหึมาในทะเล, ดูแม่น้ำที่ยาวไกล, ดูมหาสมุทรอันกว้างใหญ่มหาศาล, ดูการเคลื่อนไหวของดวงดาวต่าง ๆ แต่เขามองข้ามดูตัวเองโดยไม่อัศจรรย์ใจ" เรามองดูจักรวาลของเราด้วยความอัศจรรย์ใจ ขณะเดียวกันเรามองข้ามสิ่งที่ถูกสร้างอันมหัศจรรย์ไป สิ่งนั้นก็คือร่างกายของมนุษย์ สำหรับผู้เหล่านั้นที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ร่างกายของมนุษย์ก็เป็นแค่เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ "ที่เกิดจากพ่อแม่" "พ่อแห่งกาลเวลา และ แม่แห่งธรรมชาติ" ความคิดดังกล่าวไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง คนที่มีสติปัญญาที่มีเหตุผล สามารถสรุปได้ไหมว่าร่างกายของมนุษย์อันเป็นผลงานจากฝีมือการออกแบบนั้นล้ำเลิศ, ที่อัจฉริยะ, ที่มีระบบอันสลับซับซ้อนเกิดขึ้นโดยบังเอิญโดยอาศัยเวลานับล้าน ๆ ปี และอาศัยธรรมชาติทำให้เกิดมนุษย์ขึ้นมาตามคำอธิบายของลัทธิที่ไม่เชื่อพระเจ้าอย่างนั้นหรือ? อะไรมีเหตุผลมากกว่าที่จะเชื่อว่าร่างกายของมนุษย์เป็นผลจากการออกแบบ โดยสติปัญญาของผู้ออกแบบอันยิ่งใหญ่? หรือเกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ? ร่างกายของมนุษย์สามารถพิจารณาได้เป็นสี่ส่วน ส่วนแรกคือส่วนที่เป็นเซลล์ เป็นหน่วยเล็ก ๆ ที่สุดของชีวิต ส่วนที่สองคือส่วนที่เป็นเนื้อเยื่อต่าง ๆ (กล้ามเนื้อ, เนื้อเยื่อประสาท ฯลฯ) ซึ่งเป็นเซลล์กลุ่มเดียวกันที่ทำหน้าที่อย่างเดียวกัน ส่วนที่สามคือ ส่วนที่เป็นอวัยวะต่าง ๆ (หัวใจ, ตับ ฯลฯ) ซึ่งเป็นกลุ่มเนื้อเยื่อที่ทำงานสัมพันธ์กันเป็นอย่างดี ส่วนที่สี่ คือส่วนที่เป็นระบบต่าง ๆ (ระบบสืบพันธุ์, ระบบการหมุนเวียนโลหิต ฯลฯ) ซึ่งประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งทำหน้าที่โดยเฉพาะในระบบร่างกาย บทเรียนนี้เราไม่มีพื้นที่มากพอที่จะพิจารณาส่วนประกอบของร่างกายอื่น ๆ ทั้งหมดแต่เพียงพิจารณาดูร่างกายของมนุษย์บางส่วนเท่านั้น เราสามารถสรุปได้ว่ามีสติปัญญาอยู่เบื้องหลังในการออกแบบอวัยวะในร่างกายของมนุษย์อันมหัศจรรย์นี้
ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วย เซลล์ชนิดต่าง ๆ มากกว่า 250 ชนิด (เซลล์เม็ดเลือดแดง, เซลล์เม็ดเลือดขาว, เซลล์ประสาท ฯลฯ) รวมเซลล์ชนิดต่าง ๆ มีทั้งสิ้นประมาณ 100 ทิลเลียน (เท่ากับ 1 ตามด้วยเลขศูนย์ 19 ตัว) ในร่างกายของผู้ใหญ่ เซลล์ต่าง ๆ เหล่านี้มีทั้งรูปร่างและขนาดต่าง ๆ กันและทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน ตัวอย่างเช่น เซลล์สเปอร์มของผู้ชาย เล็กมาก (เซลล์แต่ละเซลล์ยาว 0.05 ม.ม. เท่านั้น) ถ้ามีเซลล์ชนิดนี้รวมกัน 20,000 เซลล์สามารถบรรจุในตัวอักษร "อ" ด้วยเครื่องพิมพ์ดีดขนาดมาตรฐาน เซลล์บางชนิดถ้าเอาเซลล์ทั้งสิ้นประมาณ 6,000 เซลล์ เอาหัวท้ายมาต่อเรียงกันจะยาวเท่ากับหนึ่งนิ้ว แต่ถ้าเราเอาเซลล์ของมนุษย์ทั้งหมดมาต่อเรียงกันจะยาวรอบโลกได้ 200 รอบ แม้ว่าเซลล์ที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์คือเซลล์ที่เป็นไข่ของเพศหญิง เล็กมากมีเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับ 0.01 นิ้วเท่านั้น เซลล์ประกอบด้วยสามส่วน ส่วนแรกแต่ละเซลล์มีเยื่อแผ่นบาง ๆ (membrane) ที่หุ้มอยู่รอบ ๆ เซลล์ ส่วนที่สองคือส่วนที่เป็นภายในของเซลล์คือไซโตปลาสซึม (Cytoplasm) มีลักษณะเป็นของเหลว ส่วนที่สามคือส่วนที่อยู่ภายในไซโตปลาสซึม คือนิวเคลียสซึ่งประกอบด้วยตัวกำหนดของยืนเป็นหน่วยศูนย์ควบคุมของเซลล์ เซลล์เมมเบรนหรือแผ่นเนื้อเยื่อที่หุ้มเซลล์หนาประมาณ 0.06-0.08 ไมโครมิเตอร์ แต่สามารถลำเรียงเซลล์ที่เลือกเข้าและออกได้ภายในไซโตปลาสซึม มีการทำปฏิกิริยาทางเคมี 20 ชนิด ซึ่งเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในเวลาเดียวกัน
ในบรรดากฎต่าง ๆ ที่ใช้ในวิชาตรรกวิทยา มีกฎหนึ่งที่เรียกว่า กฎของการหาเหตุผล (Law of Rationality) กฎนี้บัญญัติไว้ว่า ก่อนที่ผู้ใดจะยอมรับความจริงใด ๆ ก็ต่อเมื่อผู้นั้นได้วิเคราะห์ข้อมูลหลักฐานที่สมบูรณ์แล้ว กฎนี้เป็นกฎที่มีประโยชน์มาก เพราะว่าผู้ใดก็ตามที่ยอมรับความจริงโดยไม่มีข้อมูลหลักฐานพร้อม แสดงว่าคนนั้นเป็นคนไร้เหตุผล ในการพิจารณาเรื่องมีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ผู้ที่เชื่อพระเจ้า (theists) ใช้ตรรกวิทยา, เหตุผลที่ชัดเจน รวมทั้งเสนอข้อมูลประกอบการพิจารณาอย่างพร้อมมูลมากเพียงพอในการสรุปว่ามีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
หลักฐานต่าง ๆ ที่นำมาใช้เพื่อพิสูจน์จุดยืนของเราเรื่องพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อาจจะมีหลายแบบ ข้อโต้แย้งต่าง ๆ ที่นำเสนอโดยผู้เชื่อพระเจ้า เมื่อรวมกันแล้วจะทำให้เป็นหลักฐานที่มั่นคงไม่สามารถลบล้างได้ว่ามีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่จริง เมื่อพิจารณาหลักฐานและข้อมูลทั้งหมดแล้วมากเกินพอที่จะสรุปได้ว่า มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ในบทเรียนนี้เราจะนำเสนอและนำข้ออภิปรายมาเป็นหลักฐานประกอบเพื่อพิสูจน์ว่ามีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
หลักฐานเกี่ยวกับแบบ THE TELEOLOGICAL ARGUMENT
เพื่อจะพิสูจน์ว่ามีพระเจ้า ผู้เชื่อใช้หลักเหตุผลที่เรียกว่าข้อโต้แย้งเกี่ยวกับแบบ (The Teleological Argument) "Teleology" คำนี้ใช้เพื่อชี้ให้เห็นจุดประสงค์หรือแบบโดยวิธีนี้เสนอว่าที่ไหนที่มีแบบที่นั่นจะต้องมีผู้ออกแบบ ในรูปแบบของตรรกวิทยา เหตุผลอาจเขียนเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้
1. ถ้าจักรวาลแสดงให้เห็นว่ามีแบบแสดงว่าจะต้องมีผู้ออกแบบ
2. จักรวาลมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีแบบจริง
3. ดังนั้นจักรวาลจะต้องมีผู้ออกแบบจริง
รูปแบบตรรกวิทยานี้ถูกวิธีในการหาเหตุผลดังกล่าวและข้อสรุปต่าง ๆ ที่ตามมาไม่สามารถหนีพ้นความสนใจของผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า แม้ว่าผู้ไม่เชื่อก็สามารถเข้าใจได้ว่าบทประพันธ์จะไม่เกิดขึ้นโดยไม่มีผู้ประพันธ์ กฎหมายมีขึ้นก็เพราะมีผู้บัญญัติขึ้น รูปภาพอันวิจิตรย่อมไม่เกิดขึ้นถ้าไม่มีจิตกร หรือมีแบบอยู่ทั่วทุกแห่งแต่ไม่มีผู้ออกแบบย่อมไม่ได้ ถึงแม้ว่าผู้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้ายอมรับว่าแบบทั่วทุกแห่งแสดงว่าจะต้องมีผู้ออกแบบก็ตาม แต่พวกเขาปฏิเสธว่าในธรรมชาติไม่มีแบบมากเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่ามีนักออกแบบผู้ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลัง ข้อขัดแย้งระหว่างผู้ที่เชื่อว่ามีพระเจ้า และผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าไม่อยู่ตรงประเด็ดที่ว่าแบบแสดงให้เห็นว่ามีผู้ออกแบบ แต่ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า ในธรรมชาติมีหลักฐาน ข้อพิสูจน์บริบูรณ์มากพอที่จะสรุปว่ามีผู้ออกแบบจริง ตรงนี้แหละหลักฐานเกี่ยวกับแบบ (Teleological Argument) เข้ามามีบทบาทในการหาเหตุผลว่ามีพระเจ้า
แบบของจักรวาล DESIGN OF THE UNIVERSE
จักรวาลของเราขับเคลื่อนไปอย่างแม่นยำ โดยกฎวิทยาศาสตร์ ความแม่นยำของจักรวาลและความเที่ยงตรงของกฎวิทยาศาสตร์เที่ยงตรงมากทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถส่งยานอวกาศไปลงบนดวงจันทร์ตรงจุดที่กำหนดไว้ได้อย่างแม่นยำ ความเที่ยงตรงและแม่นยำทำให้นักดาราศาสตร์สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าหลายปีก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง หรือสามารถบอกล่วงหน้าว่าเมื่อใดดาวหางฮัลเลย์จะโคจรกลับมาให้เราเห็นอีกครั้ง ความเที่ยงตรง, ความสลับซับซ้อน และความมีระเบียบภายในจักรวาลไม่มีการขัดแย้งเลย ขณะที่พวกไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าเต็มใจยอมรับว่ามีระเบียบ และมีความสลับซับซ้อน แต่พวกเขายังไม่เต็มใจที่ยอมรับว่ามีแบบที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขารู้ว่าแบบอันสลับซับซ้อนนั้นแสดงว่าต้องมีผู้ออกแบบที่ยิ่งใหญ่ มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีแบบหรือเปล่า? พวกไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าอ้างว่าไม่มีหลักฐานอะไรเลย ในทางตรงข้ามพวกที่เชื่อพระเจ้าบอกว่ามีหลักฐานที่แสดงว่ามีแบบ ขอเสนอหลักฐานเพื่อสนับสนุนคำอ้างดังต่อไปนี้
เราอาศัยอยู่ในจักรวาลที่ใหญ่มหึมา ขณะเดียวกันขอบเขตไกลโพ้นออกไปยังไม่สามารถวัดได้ แต่ที่วัดได้คือจักรวาลของเรามีเส้นผ่าศูนย์กลาง 20พันล้านปีแสง (1ปีแสงเท่ากับการเดินทางของแสงภายในหนึ่งปี เดินทางด้วยความเร็วสูงมากกว่า 186,000 ไมล์ต่อวินาที หนึ่งปีแสงประมาณ 5,880,000,000,000 ไมล์) ประมาณว่ามีกาแล็กซี่หรือทางช้างเผือกหนึ่งพันล้านในจักรวาลของเรา และประมาณว่ามีดวงดาวต่าง ๆ 25 Sextrillion (25 ตามด้วยศูนย์ 21 ตัว) ทางช้างเผือกกาแล็กซี่ (The Milky Way) ที่เราอาศัยอยู่ประกอบด้วยดวงดาว 100 พันล้านดวง ใหญ่มหึมามาก เคลื่อนไหวด้วยความเร็วของแสงจะต้องใช้เวลา 100,000 ปี เพื่อเดินทางข้ามจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ถ้าเราเขียนแผนที่ของทางช้างเผือกกาแล็กซี่ที่เราอาศัยอยู่ โดยกำหนดให้โลกกับดวงอาทิตย์เป็นจุดสองจุดให้มีมาตราส่วนห่างกันหนึ่งนิ้ว (มาตราส่วนหนึ่งนิ้วเท่ากับ93 ล้านไมล์ เป็นระยะทางห่างจากโลกถึงดวงอาทิตย์) เราต้องการแผนที่ซึ่งมีความกว้างเท่ากับสี่ไมล์ เพื่อจะไปถึงตำแหน่งของดวงดาวที่ใกล้ที่สุดและต้องการแผนที่ซึ่งมีความกว้างกับ 25,000 ไมล์ เพื่อไปถึงตำแหน่งศูนย์กลางกาแล็กซี่ของเรา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจักรวาลของเราน่าทึ่งมาก
ขนาดของจักรวาลใหญ่โตมโหฬาร แบบของจักรวาลน่าทึ่งมาก อุณหภูมิภายในดวงอาทิตย์คาดว่าประมาณกว่ากว่า 20 ล้านองศาเซลเซียส โลกของเราอยู่ในตำแหน่งที่ห่างพอดีจากดวงอาทิตย์เพื่อรับความร้อนและรังสีเพื่อชีวิตบนโลกจะคงอยู่ได้ ถ้าโลกของเราอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าที่เป็นอยู่แค่ 10% (ประมาณ 10 ล้านไมล์) โลกจะได้รับความร้อนและรังสีจากดวงอาทิตย์สูงมาก ขณะเดียวกันถ้าโลกของเราเคลื่อนออกไปไกลจากดวงอาทิตย์ 10% อุณหภูมิจะลดลงมากจนกลายเป็นน้ำแข็ง สภาวะทั้งสองอย่างดังกล่าวทำให้ชีวิตบนโลกอยู่ไม่ได้
โลกโคจรหมุนรอบแกนตัวเองด้วยความเร็ว 1,000 ไมล์ต่อชั่วโมงตรงเส้นศูนย์สูตร และโคจรรอบดวงอาทิตย์โดยอัตโนมัติด้วยความเร็ว70,000 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 19 ไมล์ต่อวินาที) ในเวลาเดียวกันดวงอาทิตย์และดวงดาวต่าง ๆ ในระบบสุริยะจักรวาลโคจรในห้วงอากาศด้วยความเร็ว 6,00,000 ไมล์ต่อชั่วโมง โคจรอยู่ในห้วงจักรวาลซึ่งใหญ่โตมหึมามาก คำนวณว่าต้องใช้เวลา 220 ล้านปี เพื่อโคจรรอบจักรวาลครบหนึ่งรอบ ที่น่าสนใจก็คือ ขณะที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ โลกก็จะเคลื่อนตัวออกไปจากเส้นตรงประมาณ 1ใน 9 ของหนึ่งนิ้วทุก ๆ สิบแปดไมล์ ถ้ามันเกิดเคลื่อนตัวออกไป 1ใน 8 หรือหนึ่งนิ้ว โลกเราจะโคจรเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์มากโลกของเราก็จะถูกเผาเป็นจุลไป ถ้าเคลื่อนตัวห่างไปแค่ 1 ใน 10 ของหนึ่งนิ้วโลกของเราจะอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มาก โลกเราจะเย็นมากจนกลายเป็นน้ำแข็ง โลกของเราอยู่ห่างจากดวงจันทร์ 240,000 ไมล์ แรงดึงดูดของดวงจันทร์ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงบนโลกของเรา ถ้าดวงจันทร์จะโคจรเข้ามาใกล้โลกของเราประมาณหนึ่งในห้า น้ำขึ้นจะมีมากวันละสองครั้ง และน้ำจะขึ้นสูงประมาณ 35-50 ฟุต เหนือระดับผิวโลกจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าอัตราความเร็วของการหมุนรอบโลกตัวเองจะลดให้ช้าลงเหลือแค่ครึ่งหนึ่ง หรือลดลงสองเท่าตัว ถ้าถูกลดลงครึ่งหนึ่ง ฤดูกาลต่าง ๆ ก็จะขยายยาวออกไปอีกสองเท่า ซึ่งจะก่อให้เกิดความรุนแรงของความร้อนและความหนาวเย็นบนโลก ส่วนมากเป็นการยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ในการที่จะปลูกพืชผักเป็นอาหารเพื่อเลี้ยงพลโลก ถ้าโลกของเราหมุนเร็วมากกว่าเดิมสองเท่าฤดูกาลจะถูกลดลงครึ่งหนึ่ง ก็จะเป็นเหตุให้การปลูกพืชผลเป็นไปไม่ได้เช่นกัน โลกของเราเอียงทำมุมจากแกนของมันเอง 23.5 องศา ถ้าตัดการเอียงออกไปให้เหลือเท่ากับศูนย์ น้ำก็จะมารวมตัวอยู่ที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ พื้นที่ซึ่งอยู่ตรงกลางจะกลายเป็นทะเลทราย ถ้าชั้นบรรยากาศที่อยู่รอบโลกจะบางลงกว่าเดิมอุกาบาตหรือสะเก็ดดาวจะตกลงมาบนพื้นโลกมากและจะตกลงมาบ่อย ๆ มากกว่านี้และจะมีพลังอำนาจในการทำลายล้างโลกของเราอย่างกว้างขวาง
มหาสมุทรทำหน้าที่ในการปรับอากาศของโลกอย่างต่อเนื่องทำให้น้ำระเหยกลายเป็นไอ และรวมตัวเป็นก้อนเมฆตกลงมาเป็นเม็ดฝน ข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าความร้อนของน้ำและความเย็นของน้ำมีอัตราที่เปลี่ยนไปอย่างเชื่องช้ามากกว่าบนแผ่นดิน ซึ่งเป็นคำอธิบายว่า ทำไมบริเวณทะเลทรายจะร้อนมากในเวลากลางวันและหนาวมากในเวลากลางคืน อีกประการหนึ่งน้ำรักษาอุณหภูมิได้นานกว่า ซึ่งสามารถปรับอากาศตามธรรมชาติตรงบริเวณที่เป็นภาคพื้นดินได้ ถ้าสมมุติว่าสี่ในห้าส่วนของโลกไม่ถูกปกคลุมด้วยน้ำการพยากรณ์อากาศล่วงหน้าไม่สามารถทำได้ อีกประการหนึ่งมนุษย์และสัตว์หายใจเอาออกซิเจนเข้าไปและคายเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเราพึ่งพาอาศัยพืชในการผลิตออกซิเจนให้มนุษย์และสัตว์หายใจ แม้กระนั้นก็ตามคนส่วนมากไม่ได้ตระหนักว่าเกือบ 90% ของออกซิเจนที่เราได้รับในปัจจุบันเกิดจากพืชเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ในท้องทะเล ถ้าสมมุติว่ามหาสมุทรของเราเล็กลงไม่ช้าไม่นานเราก็จะไม่มีอากาศหายใจ คนที่มีเหตุผลเชื่อไหมว่าสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นอย่างสลับซับซ้อนซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตเหล่านี้ "เกิดขึ้นโดยบังเอิญ" โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ในระยะที่พอดี อยู่ห่างจากดวงจันทร์ในระยะที่พอดี มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่พอดี มีความดันของชั้นบรรยากาศที่พอดี เอียง 23.5 องศาพอดี ปริมาณของน้ำในมหาสมุทรพอดี มีน้ำหนักและมวลสารพอดี และความพอดีอื่น ๆ อีก ถ้าข้อกำหนดมากมายเหล่านี้นำมาใช้กับด้านอื่น ๆ ของชีวิตแล้วเราเหมาะเอาว่าข้อกำหนดต่าง ๆ เหล่านี้ "เกิดขึ้นโดยบังเอิญ" แน่นอนจะถูกปฏิเสธและจะถูกหัวเราะเยาะทันที แต่แม้กระนั้นก็ตามบางคนยังบอกว่า จักรวาล, โลก, รวมทั้งสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่บนโลกนี้ได้มาอยู่ที่นี่ ก็เพราะโดยความบังเอิญ หลายปีมาแล้วนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังคนหนึ่งชื่อ จอห์น กริบบิน ได้พิมพ์บทความลงในหนังสือสารคดีสรรสาระวิทยาศาสตร์ (Science Digest) ในบทความนั้นท่านได้ย้ำให้เห็นความสำคัญของข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ได้พิจารณาข้างต้น แต่ตั้งชื่อบทความว่า "โลกที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ" (Earth's Lucky Break!) "นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อ เซอร์เฟรด โฮเยิล ได้กล่าวว่าความไม่มีระเบียบและความบังเอิญอันส่งเดชเป็นต้นเหตุให้เกิดแบบและความมีระเบียบ คำกล่าวเช่นนี้ไม่ต่างกับที่พูดว่า ลมพายุพัดเอาเหล็กชิ้นเล็กชิ้นน้อยและชิ้นใหญ่มารวมกันกลายเป็นเครื่องบินโบอิง 747 ที่จะพูดว่าจักรวาลอันมีระเบียบและสลับซับซ้อน "เกิดขึ้นโดยบังเอิญเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริง ๆ ทางเลือกที่เป็นคำตอบก็คือ จักรวาลถูกสร้างโดยผู้มีสติปัญญาซึ่งเป็นนักออกแบบที่ล้ำเลิศ - ผู้นั้นก็คือพระเจ้า"
แบบของร่างกายมนุษย์ DESIGN OF THE HUMAN BODY
หลายปีมาแล้วนักปราชญ์ออกัสติน ได้วิเคราะห์ว่า "มนุษย์ท่องเที่ยวไปเพื่อจะดูความสูงของภูเขา, ดูคลื่นมหึมาในทะเล, ดูแม่น้ำที่ยาวไกล, ดูมหาสมุทรอันกว้างใหญ่มหาศาล, ดูการเคลื่อนไหวของดวงดาวต่าง ๆ แต่เขามองข้ามดูตัวเองโดยไม่อัศจรรย์ใจ" เรามองดูจักรวาลของเราด้วยความอัศจรรย์ใจ ขณะเดียวกันเรามองข้ามสิ่งที่ถูกสร้างอันมหัศจรรย์ไป สิ่งนั้นก็คือร่างกายของมนุษย์ สำหรับผู้เหล่านั้นที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ร่างกายของมนุษย์ก็เป็นแค่เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ "ที่เกิดจากพ่อแม่" "พ่อแห่งกาลเวลา และ แม่แห่งธรรมชาติ" ความคิดดังกล่าวไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง คนที่มีสติปัญญาที่มีเหตุผล สามารถสรุปได้ไหมว่าร่างกายของมนุษย์อันเป็นผลงานจากฝีมือการออกแบบนั้นล้ำเลิศ, ที่อัจฉริยะ, ที่มีระบบอันสลับซับซ้อนเกิดขึ้นโดยบังเอิญโดยอาศัยเวลานับล้าน ๆ ปี และอาศัยธรรมชาติทำให้เกิดมนุษย์ขึ้นมาตามคำอธิบายของลัทธิที่ไม่เชื่อพระเจ้าอย่างนั้นหรือ? อะไรมีเหตุผลมากกว่าที่จะเชื่อว่าร่างกายของมนุษย์เป็นผลจากการออกแบบ โดยสติปัญญาของผู้ออกแบบอันยิ่งใหญ่? หรือเกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ? ร่างกายของมนุษย์สามารถพิจารณาได้เป็นสี่ส่วน ส่วนแรกคือส่วนที่เป็นเซลล์ เป็นหน่วยเล็ก ๆ ที่สุดของชีวิต ส่วนที่สองคือส่วนที่เป็นเนื้อเยื่อต่าง ๆ (กล้ามเนื้อ, เนื้อเยื่อประสาท ฯลฯ) ซึ่งเป็นเซลล์กลุ่มเดียวกันที่ทำหน้าที่อย่างเดียวกัน ส่วนที่สามคือ ส่วนที่เป็นอวัยวะต่าง ๆ (หัวใจ, ตับ ฯลฯ) ซึ่งเป็นกลุ่มเนื้อเยื่อที่ทำงานสัมพันธ์กันเป็นอย่างดี ส่วนที่สี่ คือส่วนที่เป็นระบบต่าง ๆ (ระบบสืบพันธุ์, ระบบการหมุนเวียนโลหิต ฯลฯ) ซึ่งประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งทำหน้าที่โดยเฉพาะในระบบร่างกาย บทเรียนนี้เราไม่มีพื้นที่มากพอที่จะพิจารณาส่วนประกอบของร่างกายอื่น ๆ ทั้งหมดแต่เพียงพิจารณาดูร่างกายของมนุษย์บางส่วนเท่านั้น เราสามารถสรุปได้ว่ามีสติปัญญาอยู่เบื้องหลังในการออกแบบอวัยวะในร่างกายของมนุษย์อันมหัศจรรย์นี้
ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วย เซลล์ชนิดต่าง ๆ มากกว่า 250 ชนิด (เซลล์เม็ดเลือดแดง, เซลล์เม็ดเลือดขาว, เซลล์ประสาท ฯลฯ) รวมเซลล์ชนิดต่าง ๆ มีทั้งสิ้นประมาณ 100 ทิลเลียน (เท่ากับ 1 ตามด้วยเลขศูนย์ 19 ตัว) ในร่างกายของผู้ใหญ่ เซลล์ต่าง ๆ เหล่านี้มีทั้งรูปร่างและขนาดต่าง ๆ กันและทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน ตัวอย่างเช่น เซลล์สเปอร์มของผู้ชาย เล็กมาก (เซลล์แต่ละเซลล์ยาว 0.05 ม.ม. เท่านั้น) ถ้ามีเซลล์ชนิดนี้รวมกัน 20,000 เซลล์สามารถบรรจุในตัวอักษร "อ" ด้วยเครื่องพิมพ์ดีดขนาดมาตรฐาน เซลล์บางชนิดถ้าเอาเซลล์ทั้งสิ้นประมาณ 6,000 เซลล์ เอาหัวท้ายมาต่อเรียงกันจะยาวเท่ากับหนึ่งนิ้ว แต่ถ้าเราเอาเซลล์ของมนุษย์ทั้งหมดมาต่อเรียงกันจะยาวรอบโลกได้ 200 รอบ แม้ว่าเซลล์ที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์คือเซลล์ที่เป็นไข่ของเพศหญิง เล็กมากมีเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับ 0.01 นิ้วเท่านั้น เซลล์ประกอบด้วยสามส่วน ส่วนแรกแต่ละเซลล์มีเยื่อแผ่นบาง ๆ (membrane) ที่หุ้มอยู่รอบ ๆ เซลล์ ส่วนที่สองคือส่วนที่เป็นภายในของเซลล์คือไซโตปลาสซึม (Cytoplasm) มีลักษณะเป็นของเหลว ส่วนที่สามคือส่วนที่อยู่ภายในไซโตปลาสซึม คือนิวเคลียสซึ่งประกอบด้วยตัวกำหนดของยืนเป็นหน่วยศูนย์ควบคุมของเซลล์ เซลล์เมมเบรนหรือแผ่นเนื้อเยื่อที่หุ้มเซลล์หนาประมาณ 0.06-0.08 ไมโครมิเตอร์ แต่สามารถลำเรียงเซลล์ที่เลือกเข้าและออกได้ภายในไซโตปลาสซึม มีการทำปฏิกิริยาทางเคมี 20 ชนิด ซึ่งเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในเวลาเดียวกัน
แต่ละเซลล์มีห้าส่วนใหญ่ ๆ ซึ่งทำหน้าที่
(1)สื่อสาร
(2)กำจัดของเสีย
(3)สารอาหาร
(4)ซ่อมแซม
(5)แพร่พันธุ์
ภายในของเหลวยังมีอณูเล็ก เช่น ไมโตคอนเดรีย (Mitochondria) (มีมากกว่า 1,000 ตัวแต่ละเซลล์) ซึ่งทำหน้าที่ในการให้พลังงานแก่เซลล์ และริโบโซม (ribosome's) ซึ่งเป็นโรงงานผลิตโปรตีนโกลกิ (Golgi) ทำหน้าที่ในการเก็บรวบรวมโปรตีนที่ผลิต โดยริโบโซม (ribosome) ขณะเดียวกันไลโซโซมซึ่งอยู่ภายในไซโตปลาสซึมทำหน้าที่ในการขจัดของเสีย
นิวเคลียส (nucleus) เป็นศูนย์กลางควบคุมเซลล์ซึ่งแยกส่วนจากไซโตปลาสซึม โดยเยื่อหุ้มนิวเคลียสเมมเบรน ภายในนิวเคลียสมีกลไกทางพันธุกรรมของเซลล์ (chromosomes และยีนประกอบด้วย deoxyribonucleic acid เขียนคำย่อว่า DNA) DNA เป็นซุปเปอร์โมเลกุลพิเศษมีรายละเอียดของรหัสในการถ่ายทอดแบบของเซลล์ ถ้า DNA จากเซลล์มนุษย์หนึ่งเซลล์ถูกย้ายออกไปจากนิวเคลียส และถ้าคลาย DNA ออก (ในเซลล์จะขดเป็นเกลียว) จะมีความยาวประมาณสามฟุต และประกอบด้วยชีวะเคมี 3 พันล้านขั้นตอน พร้อมที่จะทำปฏิกิริยาเคมี (รู้จักกันว่า "base pairs") มีการคำนวณว่าถ้า DNA ทั้งหมดในร่างกายของบุรุษคนหนึ่งนำมาต่อเรียงกันจะมีความยาวไปถึงดวงอาทิตย์ไปและกลับ (186ล้านไมล์) ได้ 400 ครั้ง
ข้อที่ควรสังเกตก็คือว่าโมเลกุลของ DNA ทำสิ่งที่มนุษย์เองยังไม่ประสบความสำเร็จ DNA เก็บรหัสข้อมูลต่าง ๆ ในรูปแบบทางเคมีและใช้กลไกทางชีวะ biologic agent (RNA) ในการถอดรหัสและทำปฏิกิริยา เทคโนโลยีที่ล้ำยุคของมนุษย์ไม่สามารถที่จะคิดค้นวิธีที่จะถอดรหัสในทางเคมีได้ ถ้ารหัสทางเคมีเขียนเป็นตัวอักษรในภาษาอังกฤษ DNA ของมนุษย์เพียงแค่หนึ่งเซลล์รหัสทางเคมีจะสามารถบรรจุเป็นหนังสือสารานุกรมประมาณได้ 2,000 เล่ม เล่มละ 300 หน้า สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือรายะเอียดเกี่ยวกับยีนหรือพันธุกรรมทั้งหมดสามารถผลิตมนุษย์ที่อยู่ในโลกทั้งหมดได้ (ประมาณหกพันล้านคน) รหัสทางเคมีของ DNA ดังกล่าวนั้นสามารถนำมารวมกันและบรรจุที่มีปริมาตรแค่หนึ่งในแปดของหนึ่งนิ้วเท่านั้น คาร์ล ซาแกน (Carl Sagan) ผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการยุคนี้แห่งมหาวิทยาลัย Cornell University ได้เขียนไว้ในหนังสือสารานุกรรม Encyclopaedia Britannica เมื่อไม่นานมานี้เขากล่าวว่า เซลล์แบคทีเรียหนึ่งเซลล์ประกอบด้วยข้อมูลถึงหนึ่ง trillion bits (1ตามด้วยเลขศูนย์ 19 ตัว) เพื่อเน้นให้เห็นว่าเซลล์แบคทีเรียเพียงหนึ่งเซลล์สามารถบรรจุข้อมูลมากมาย Dr. Sagan ได้ชี้ให้เห็นว่า ถ้าคนหนึ่งจะนับตัวอักษรทุกคำของหนังสือทุกเล่มในห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก (มากกว่า 10 ล้านเล่ม) เมื่อนับได้ทั้งหมดนำมารวมกันจะได้ตัวอักษรหนึ่ง Trillion (1ตามด้วยเลขศูนย์ 19 ตัว) ในเมื่อเซลล์แค่หนึ่งเซลล์มีข้อมูลเท่ากับจำนวนหนังสือในห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึงสิบล้านเล่ม คนที่มีเหตุผลยอมรับว่าไม่มีหนังสือในห้องสมุดสักเล่มเดียว "เกิดขึ้นมาเองโดยบังเอิญ" แต่หนังสือทุก ๆ เล่มเป็นผลของผู้มีสติปัญญาในการออกแบบด้วยความประณีต
ถ้าเช่นนั้นเราจะสรุปว่าอย่างไรกันรหัสของยีนหรือพันธุกรรมซึ่งพบใน DNA ที่มีอยู่ในทุก ๆ เซลล์ความสลับซับซ้อนของโมเลกุล DNA รวมทั้งจำนวนของรหัสข้อมูลทางเคมีอันน่าทึ่งเหล่านี้พิสูจน์ว่า "ซุปเปอร์โมเลกุล" ดังกล่าวไม่สามารถเกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ หลักฐานข้อมูลเหล่านี้ทำให้สรุปว่าต้องมีผู้ที่มีสติปัญญาซึ่งอยู่เบื้องหลังในการออกแบบอย่างแน่นอน
แบบในอาณาจักรของสัตว์ DESIGN IN THE ANIMAL KINGDOM
คนที่มีอารมณ์สุนทรีในการส่องกล้องดูนกจะมีความรัก และชื่นชมกับนกนานาชนิดมีสีสันแต้มแต่งอย่างวิจิตรพิสดารอันเป็นหลักฐานของการมีแบบ ตัวอย่างสองประการในเนื้อความต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นการออกแบบที่วิจิตรสวยงามในอาณาจักรของสัตว์
THE BIRDS WITH A THERMOMETER IN ITS BEAK
พวกเราคงจำได้เมื่อเวลาเราป่วย เราวัดอุณหภูมิในร่างกายของเราบางทีเราต้องเอาเทอร์โมมิเตอร์ใส่ไว้ใต้ลิ้นนานถึง 60 วินาที ปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ได้ประดิษฐ์เทอร์โมมิเตอร์ชนิดใหม่ ที่สามารถวัดอุณหภูมิโดยใส่ในช่องหูเพียงไม่กี่วินาทีสามารถรู้ผลได้ แต่ยังมีนกท้องถิ่นออสเตรเลียเรียกว่านกมอลลี นกชนิดนี้มีเทอร์โมมิเตอร์อยู่ที่ลิ้นของมัน ซึ่งสามารถวัดอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำมากกว่าสิ่งที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์ขึ้น
เมื่อถึงเวลาที่นกมอลลีเพศเมียจะวางไข่ เจ้านกมอลลีเพศผู้จะขุดหลุมบนพื้นดินและจะเอากิ่งไม้ใบหญ้ามาวางไว้ที่ก้นหลุม แล้วก็ปกปิดกิ่งไม้ใบหญ้าในหลุมนี้ด้วยทราย บางครั้งนกใช้ทรายสุมเป็นกองสูงถึงสี่ฟุต ทรายที่ปิดด้านบนทำให้กิ่งไม้ใบหญ้าค่อย ๆ ผุเปื่อยลงซึ่งผลิตความร้อนขึ้นมา นกมอลลีเพศผู้จะใช้จะงอยปากทำช่องอากาศหนึ่งช่องด้านบนของรังแล้วนกมอลลีเพศเมียจะวางไข่หนึ่งฟอง อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมานกมอลลีเพศผู้ก็จะเจาะช่องอากาศเพิ่มอีกหนึ่งช่องแล้วนกมอลลีเพศเมียก็จะวางไข่อีกหนึ่งฟอง กระบวนการนี้จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในรังมีไข่ประมาณ 18 ฟอง ในเวลากลางวันนกมอลลีเพศผู้จะมาเยี่ยมรังหลายครั้ง มันจะใช้จะงอยปากยื่นเข้าไปในรังแล้วมันจะแลบลิ้นของมันเข้าไปในรูซึ่งเป็นเทอร์โมมิเตอร์ดีมาก สามารถวัดอุณหภูมิในรังที่มีการเปลี่ยนแปลงถึง 1/10 ของหนึ่งองศา ถ้าภายในรังนกที่เป็นมูลทรายร้อนเกินไป นกมอลลีเพศผู้ก็จะเอาทรายออกไปบ้าง ถ้าเย็นเกินไปมันก็จะเอาทรายมาเพิ่มอีก หลังจากเจ็ดสัปดาห์ในการทำภารกิจเหล่านี้ลูกนกก็โผล่ออกมาจากไข่ นกมอลลีรู้จักอุณหภูมิที่ควรจะเป็นเท่าไรในการรักษาไข่อย่างเที่ยงตรงได้อย่างไร? มันรู้ได้อย่างไรว่ากิ่งไม้ใบหญ้าที่ปกคลุมด้วยทรายจะผลิตความร้อนเพิ่มขึ้น? และลิ้นของมันสามารถวัดอุณหภูมิที่มีการเปลี่ยนแปลได้ 1/10 ของหนึ่งองศา? คำตอบง่ายมากนกมอลลีถูกออกแบบขึ้นมา ถ้ามีแบบแสดงว่าต้อง มีผู้ออกแบบ!!!
ด้วงมีระเบิดติดอยู่ที่หน้าท้องของมัน THE BEETLE WITH A BOMB IN ITS BELLY
ด้วงเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่มีระเบิดติดอยู่ที่หน้าท้องของมัน ซึ่งเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นความมหัศจรรย์ในการออกแบบ มันมีกลไกที่สามารถป้องกันตนเองได้อย่างเฉียบพลัน กลไกทำปฏิกิริยาดังต่อไปนี้ สารเคมีสองอย่างคือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และไฮโดรควีโนเนส (Hydrogen peroxide และ Hydroquinones) สารเคมีทั้งสองดังกล่าวผลิตขึ้นโดยต่อมในตัวด้วงแล้วมันเก็บสารเหล่านี้ไว้ตามบริเวณท้องของมัน เมื่อตัวด้วงถูกรังแก กล้ามเนื้อก็จะส่งสัญญาณไปที่กลไกให้สารเคมีทำปฏิกิริยาเกิดขึ้นมันจะขับเอาสารที่เรียกว่า peroxidases และ catalases (oxidative enzymes) พวก enzymes เหล่านี้ทำปฏิกิริยากับ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และทำปฏิกิริยากับไฮโดรควีโนเนสให้เป็น p-benzozuinones-compounds เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน ปฏิกิริยาของสารเคมีเป็นผลทำให้ขับออกซิเจนอิสระกับความร้อนออกไป เจ้าด้วงเมื่อถูกศัตรูรบกวนมันจะพ่นสารพิษออกจากป้อมปืนที่หมุนได้ อยู่ที่หน้าท้องของมัน มันสามารถพ่นเอาสารพิษออกด้วยความร้อน 212 องศาฟาเรนไฮต์ กลไกที่พ่นออกไปสามารถพ่นเข้าใส่คู่ต่อสู้ 500 ครั้งต่อหนึ่งวินาที ท่านจินตนาการดูซิว่า พยายามจะอธิบายการออกแบบอันน่าทึ่งที่มีกลไกอันละเอียดและสลับซับซ้อนว่าสิ่งเหล่านี้ "เกิดขึ้นโดยบังเอิญตามกระบวนของการวิวัฒนาการ" ที่เกิดขึ้นได้ต้องอาศัยเวลานับล้านปีในการที่ธรรมชาติจะวิวัฒนาการมาได้ถึงแค่นี้ ข้อเท็จจริงก็คือ สติปัญญาเท่านั้นที่สามารถออกแบบได้ สามารถอธิบายว่าตัวด้วงสามารถผลิตสารเคมีกักตุนเอาไว้ในห้องเก็บ เมื่อต้องการใช้มันจึงผลิต enzymes ที่เป็นพิษพ่นเข้าใส่หน้าศัตรูของมันทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนได้
สรุป
คนที่มีปัญหายุ่งยากในการเข้าใจเรื่องวิจิตรพิสดารของการออกแบบเหล่านี้คือ "ผู้เหล่านั้นที่ปฏิเสธว่าไม่มีพระเจ้า" (โรม 1:28) คนเช่นนั้นแหละองอาจกล่าวว่า "ไม่มีผู้ออกแบบ" แต่ข้อโต้แย้งของพวกเขาไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้ ไม่มีบทประพันธ์โดยไม่มีนักประพันธ์ ไม่มีกฎหมายโดยไม่มีผู้บัญญัติกฎหมาย ไม่มีภาพอันวิจิตรงดงามโดยไม่มีจิตกร ไม่มีดนตรีที่ไพเราะโดยไม่มีนักแต่งเพลง ที่แน่มากยิ่งกว่าแน่ก็คือว่า แบบอันวิจิตรพิสดารที่เห็นรอบตัวเรานี้ต้องมีผู้ออกแบบแน่นอน นับตั้งแต่แบบของจักรวาลที่ใหญ่ที่สุดจนถึงเซลล์ที่เล็กที่สุด เป็นการถูกต้องและมีเหตุผลที่สามารถสรุปได้โดยอาศัยกฎของการหาเหตุผลว่า (Law of Rationality) มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
นิวเคลียส (nucleus) เป็นศูนย์กลางควบคุมเซลล์ซึ่งแยกส่วนจากไซโตปลาสซึม โดยเยื่อหุ้มนิวเคลียสเมมเบรน ภายในนิวเคลียสมีกลไกทางพันธุกรรมของเซลล์ (chromosomes และยีนประกอบด้วย deoxyribonucleic acid เขียนคำย่อว่า DNA) DNA เป็นซุปเปอร์โมเลกุลพิเศษมีรายละเอียดของรหัสในการถ่ายทอดแบบของเซลล์ ถ้า DNA จากเซลล์มนุษย์หนึ่งเซลล์ถูกย้ายออกไปจากนิวเคลียส และถ้าคลาย DNA ออก (ในเซลล์จะขดเป็นเกลียว) จะมีความยาวประมาณสามฟุต และประกอบด้วยชีวะเคมี 3 พันล้านขั้นตอน พร้อมที่จะทำปฏิกิริยาเคมี (รู้จักกันว่า "base pairs") มีการคำนวณว่าถ้า DNA ทั้งหมดในร่างกายของบุรุษคนหนึ่งนำมาต่อเรียงกันจะมีความยาวไปถึงดวงอาทิตย์ไปและกลับ (186ล้านไมล์) ได้ 400 ครั้ง
ข้อที่ควรสังเกตก็คือว่าโมเลกุลของ DNA ทำสิ่งที่มนุษย์เองยังไม่ประสบความสำเร็จ DNA เก็บรหัสข้อมูลต่าง ๆ ในรูปแบบทางเคมีและใช้กลไกทางชีวะ biologic agent (RNA) ในการถอดรหัสและทำปฏิกิริยา เทคโนโลยีที่ล้ำยุคของมนุษย์ไม่สามารถที่จะคิดค้นวิธีที่จะถอดรหัสในทางเคมีได้ ถ้ารหัสทางเคมีเขียนเป็นตัวอักษรในภาษาอังกฤษ DNA ของมนุษย์เพียงแค่หนึ่งเซลล์รหัสทางเคมีจะสามารถบรรจุเป็นหนังสือสารานุกรมประมาณได้ 2,000 เล่ม เล่มละ 300 หน้า สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือรายะเอียดเกี่ยวกับยีนหรือพันธุกรรมทั้งหมดสามารถผลิตมนุษย์ที่อยู่ในโลกทั้งหมดได้ (ประมาณหกพันล้านคน) รหัสทางเคมีของ DNA ดังกล่าวนั้นสามารถนำมารวมกันและบรรจุที่มีปริมาตรแค่หนึ่งในแปดของหนึ่งนิ้วเท่านั้น คาร์ล ซาแกน (Carl Sagan) ผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการยุคนี้แห่งมหาวิทยาลัย Cornell University ได้เขียนไว้ในหนังสือสารานุกรรม Encyclopaedia Britannica เมื่อไม่นานมานี้เขากล่าวว่า เซลล์แบคทีเรียหนึ่งเซลล์ประกอบด้วยข้อมูลถึงหนึ่ง trillion bits (1ตามด้วยเลขศูนย์ 19 ตัว) เพื่อเน้นให้เห็นว่าเซลล์แบคทีเรียเพียงหนึ่งเซลล์สามารถบรรจุข้อมูลมากมาย Dr. Sagan ได้ชี้ให้เห็นว่า ถ้าคนหนึ่งจะนับตัวอักษรทุกคำของหนังสือทุกเล่มในห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก (มากกว่า 10 ล้านเล่ม) เมื่อนับได้ทั้งหมดนำมารวมกันจะได้ตัวอักษรหนึ่ง Trillion (1ตามด้วยเลขศูนย์ 19 ตัว) ในเมื่อเซลล์แค่หนึ่งเซลล์มีข้อมูลเท่ากับจำนวนหนังสือในห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึงสิบล้านเล่ม คนที่มีเหตุผลยอมรับว่าไม่มีหนังสือในห้องสมุดสักเล่มเดียว "เกิดขึ้นมาเองโดยบังเอิญ" แต่หนังสือทุก ๆ เล่มเป็นผลของผู้มีสติปัญญาในการออกแบบด้วยความประณีต
ถ้าเช่นนั้นเราจะสรุปว่าอย่างไรกันรหัสของยีนหรือพันธุกรรมซึ่งพบใน DNA ที่มีอยู่ในทุก ๆ เซลล์ความสลับซับซ้อนของโมเลกุล DNA รวมทั้งจำนวนของรหัสข้อมูลทางเคมีอันน่าทึ่งเหล่านี้พิสูจน์ว่า "ซุปเปอร์โมเลกุล" ดังกล่าวไม่สามารถเกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ หลักฐานข้อมูลเหล่านี้ทำให้สรุปว่าต้องมีผู้ที่มีสติปัญญาซึ่งอยู่เบื้องหลังในการออกแบบอย่างแน่นอน
แบบในอาณาจักรของสัตว์ DESIGN IN THE ANIMAL KINGDOM
คนที่มีอารมณ์สุนทรีในการส่องกล้องดูนกจะมีความรัก และชื่นชมกับนกนานาชนิดมีสีสันแต้มแต่งอย่างวิจิตรพิสดารอันเป็นหลักฐานของการมีแบบ ตัวอย่างสองประการในเนื้อความต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นการออกแบบที่วิจิตรสวยงามในอาณาจักรของสัตว์
THE BIRDS WITH A THERMOMETER IN ITS BEAK
พวกเราคงจำได้เมื่อเวลาเราป่วย เราวัดอุณหภูมิในร่างกายของเราบางทีเราต้องเอาเทอร์โมมิเตอร์ใส่ไว้ใต้ลิ้นนานถึง 60 วินาที ปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ได้ประดิษฐ์เทอร์โมมิเตอร์ชนิดใหม่ ที่สามารถวัดอุณหภูมิโดยใส่ในช่องหูเพียงไม่กี่วินาทีสามารถรู้ผลได้ แต่ยังมีนกท้องถิ่นออสเตรเลียเรียกว่านกมอลลี นกชนิดนี้มีเทอร์โมมิเตอร์อยู่ที่ลิ้นของมัน ซึ่งสามารถวัดอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำมากกว่าสิ่งที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์ขึ้น
เมื่อถึงเวลาที่นกมอลลีเพศเมียจะวางไข่ เจ้านกมอลลีเพศผู้จะขุดหลุมบนพื้นดินและจะเอากิ่งไม้ใบหญ้ามาวางไว้ที่ก้นหลุม แล้วก็ปกปิดกิ่งไม้ใบหญ้าในหลุมนี้ด้วยทราย บางครั้งนกใช้ทรายสุมเป็นกองสูงถึงสี่ฟุต ทรายที่ปิดด้านบนทำให้กิ่งไม้ใบหญ้าค่อย ๆ ผุเปื่อยลงซึ่งผลิตความร้อนขึ้นมา นกมอลลีเพศผู้จะใช้จะงอยปากทำช่องอากาศหนึ่งช่องด้านบนของรังแล้วนกมอลลีเพศเมียจะวางไข่หนึ่งฟอง อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมานกมอลลีเพศผู้ก็จะเจาะช่องอากาศเพิ่มอีกหนึ่งช่องแล้วนกมอลลีเพศเมียก็จะวางไข่อีกหนึ่งฟอง กระบวนการนี้จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในรังมีไข่ประมาณ 18 ฟอง ในเวลากลางวันนกมอลลีเพศผู้จะมาเยี่ยมรังหลายครั้ง มันจะใช้จะงอยปากยื่นเข้าไปในรังแล้วมันจะแลบลิ้นของมันเข้าไปในรูซึ่งเป็นเทอร์โมมิเตอร์ดีมาก สามารถวัดอุณหภูมิในรังที่มีการเปลี่ยนแปลงถึง 1/10 ของหนึ่งองศา ถ้าภายในรังนกที่เป็นมูลทรายร้อนเกินไป นกมอลลีเพศผู้ก็จะเอาทรายออกไปบ้าง ถ้าเย็นเกินไปมันก็จะเอาทรายมาเพิ่มอีก หลังจากเจ็ดสัปดาห์ในการทำภารกิจเหล่านี้ลูกนกก็โผล่ออกมาจากไข่ นกมอลลีรู้จักอุณหภูมิที่ควรจะเป็นเท่าไรในการรักษาไข่อย่างเที่ยงตรงได้อย่างไร? มันรู้ได้อย่างไรว่ากิ่งไม้ใบหญ้าที่ปกคลุมด้วยทรายจะผลิตความร้อนเพิ่มขึ้น? และลิ้นของมันสามารถวัดอุณหภูมิที่มีการเปลี่ยนแปลได้ 1/10 ของหนึ่งองศา? คำตอบง่ายมากนกมอลลีถูกออกแบบขึ้นมา ถ้ามีแบบแสดงว่าต้อง มีผู้ออกแบบ!!!
ด้วงมีระเบิดติดอยู่ที่หน้าท้องของมัน THE BEETLE WITH A BOMB IN ITS BELLY
ด้วงเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่มีระเบิดติดอยู่ที่หน้าท้องของมัน ซึ่งเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นความมหัศจรรย์ในการออกแบบ มันมีกลไกที่สามารถป้องกันตนเองได้อย่างเฉียบพลัน กลไกทำปฏิกิริยาดังต่อไปนี้ สารเคมีสองอย่างคือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และไฮโดรควีโนเนส (Hydrogen peroxide และ Hydroquinones) สารเคมีทั้งสองดังกล่าวผลิตขึ้นโดยต่อมในตัวด้วงแล้วมันเก็บสารเหล่านี้ไว้ตามบริเวณท้องของมัน เมื่อตัวด้วงถูกรังแก กล้ามเนื้อก็จะส่งสัญญาณไปที่กลไกให้สารเคมีทำปฏิกิริยาเกิดขึ้นมันจะขับเอาสารที่เรียกว่า peroxidases และ catalases (oxidative enzymes) พวก enzymes เหล่านี้ทำปฏิกิริยากับ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และทำปฏิกิริยากับไฮโดรควีโนเนสให้เป็น p-benzozuinones-compounds เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน ปฏิกิริยาของสารเคมีเป็นผลทำให้ขับออกซิเจนอิสระกับความร้อนออกไป เจ้าด้วงเมื่อถูกศัตรูรบกวนมันจะพ่นสารพิษออกจากป้อมปืนที่หมุนได้ อยู่ที่หน้าท้องของมัน มันสามารถพ่นเอาสารพิษออกด้วยความร้อน 212 องศาฟาเรนไฮต์ กลไกที่พ่นออกไปสามารถพ่นเข้าใส่คู่ต่อสู้ 500 ครั้งต่อหนึ่งวินาที ท่านจินตนาการดูซิว่า พยายามจะอธิบายการออกแบบอันน่าทึ่งที่มีกลไกอันละเอียดและสลับซับซ้อนว่าสิ่งเหล่านี้ "เกิดขึ้นโดยบังเอิญตามกระบวนของการวิวัฒนาการ" ที่เกิดขึ้นได้ต้องอาศัยเวลานับล้านปีในการที่ธรรมชาติจะวิวัฒนาการมาได้ถึงแค่นี้ ข้อเท็จจริงก็คือ สติปัญญาเท่านั้นที่สามารถออกแบบได้ สามารถอธิบายว่าตัวด้วงสามารถผลิตสารเคมีกักตุนเอาไว้ในห้องเก็บ เมื่อต้องการใช้มันจึงผลิต enzymes ที่เป็นพิษพ่นเข้าใส่หน้าศัตรูของมันทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนได้
สรุป
คนที่มีปัญหายุ่งยากในการเข้าใจเรื่องวิจิตรพิสดารของการออกแบบเหล่านี้คือ "ผู้เหล่านั้นที่ปฏิเสธว่าไม่มีพระเจ้า" (โรม 1:28) คนเช่นนั้นแหละองอาจกล่าวว่า "ไม่มีผู้ออกแบบ" แต่ข้อโต้แย้งของพวกเขาไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้ ไม่มีบทประพันธ์โดยไม่มีนักประพันธ์ ไม่มีกฎหมายโดยไม่มีผู้บัญญัติกฎหมาย ไม่มีภาพอันวิจิตรงดงามโดยไม่มีจิตกร ไม่มีดนตรีที่ไพเราะโดยไม่มีนักแต่งเพลง ที่แน่มากยิ่งกว่าแน่ก็คือว่า แบบอันวิจิตรพิสดารที่เห็นรอบตัวเรานี้ต้องมีผู้ออกแบบแน่นอน นับตั้งแต่แบบของจักรวาลที่ใหญ่ที่สุดจนถึงเซลล์ที่เล็กที่สุด เป็นการถูกต้องและมีเหตุผลที่สามารถสรุปได้โดยอาศัยกฎของการหาเหตุผลว่า (Law of Rationality) มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์