จงดำเนินเหมือนคนมีปัญญาและจงซื้อโอกาสมาใช้
1. จงดำเนินเหมือนคนมีปัญญา
"เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงระวังให้ดีในการประพฤติ อย่าให้เหมือนคนอปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา" (เอเฟโซ 5.15) คำว่า "การประพฤติ" ในที่นี้ภาษาเดิมใช้คำว่า "เพริพาเทหิ" ซึ่งแปลว่า "เดิน" คำถามคือว่า เดินเหมือนคนมีปัญญาอย่างไร?
(1) ดำเนินตามชีวิตใหม่ "เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายถูกฝังไว้กับพระองค์แล้วโดยบัพติศมาเข้าส่วนในความตายนั้น, เพื่อพระคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายโดยเดชพระรัศมีของพระบิดาเจ้าอย่างไร เราทั้งหลายจะได้ประพฤติตามชีวิตใหม่อย่างนั้น" (โรม 6.4) "ด้วยว่าเราดำเนินด้วยความเชื่อ, มิใช่ตามที่เราได้เห็น" (2โกรินโธ 5.7) คริสเตียนควรละทิ้งชีวิตแบบเก่า ๆ ซึ่งเป็นวิธีที่อยู่ในความบาปครั้งเมื่อก่อนที่จะเข้ามาเป็นบุตรของพระเจ้า "ผู้ใดที่บังเกิดจากพระเจ้าผู้นั้นไม่ได้กระทำบาป เพราะเชื้อของพระองค์ทรงมีอยู่ในผู้นั้นจึงกระทำบาปไม่ได้ เพราะบังเกิดจากพระเจ้า" (1โยฮัน 3.9) ทั้งนี้มิได้หมายความว่า เป็นบุตรของพระเจ้าจะไม่ล้มลงกระทำบาป แต่หมายความว่าบุตรของพระเจ้าไม่มีสันดานที่จะทำบาป หรือทำบาปเป็นอาจิณเหมือนเมื่อสมัยก่อนที่จะมาเป็นคริสเตียน ถ้าเขาล้มลงเขาก็ควรพยายามจนสุดกำลังที่จะเอาชนะให้จงได้ และพยายามที่จะก้าวไปสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ ถ้าทำผิดก็ต้องกลับใจเสียใหม่ (เฮ็บราย 6.1)
(2) ดำเนินตามพระวิญญาณมิใช่ตามเนื้อหนัง "จงดำเนินตามพระวิญญาณ และท่านจะไม่ได้ประพฤติตามราคะตัณหาของเนื้อหนัง" (ฆะลาเตีย 5.16) "ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณก็ให้เราดำเนินตามพระวิญญาณด้วย" (ฆะลาเตีย 5.25) ความสำคัญของการดำเนินตามพระวิญญาณตามคำสั่งใน โรม 8.4-8 "เพื่อความชอบธรรมของพระบัญญัติจะได้สำเร็จในพวกเรา, ผู้ไม่ดำเนินตามเนื้อหนัง แต่ตามพระวิญญาณ เพราะว่าคนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังก็สนใจในสิ่งซึ่งเป็นของ ๆ เนื้อหนัง, แต่คนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายพระวิญญาณก็สนใจในสิ่งซึ่งเป็นของ ๆ พระวิญญาณ ด้วยว่าซึ่งมีใจสมกับเนื้อหนังก็คือความตาย, และซึ่งมีใจสมกับพระวิญญาณก็คือชีวิตและความสุข เหตุว่าใจสมกับเนื้อหนังนั้นก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า เพราะว่าหาได้อยู่ใต้บังคับพระบัญญัติของพระเจ้าไม่ และจะอยู่ใต้บังคับพระบัญญัตินั้นไม่ได้ และคนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง จะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าก็หามิได้" การดำเนินตามพระวิญญาณและการดำเนินตามเนื้อหนังได้ชี้แจงไว้ชัดเจนใน ฆะลาเตีย 5.19-23 "ฝ่ายการของเนื้อหนังก็ปรากฏแล้ว คือการล่วงประเวณี, การโสโครก, การอุลามก, การไหว้รูปเคารพ, การดูดวงชะตาราศี, การเป็นศัตรูกัน, การวิวาทกัน, การริษยากัน, การโกรธกัน, การทุ่มเถียงกัน, การเล่นเป็นพาลเกเรต่าง ๆ และการอื่น ๆ เช่นนั้นอีก เหมือนข้าพเจ้าได้ว่าแก่ท่านทั้งหลายแต่ก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าจึงว่าแก่ท่านอีกเหมือนกันว่า คนเหล่านั้นที่กระทำการเช่นนั้นจะรับส่วนในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้, ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้นคือความรัก, ความยินดี, สันติสุข, ความอดกลั้นไว้นาน, ความปราณี, ความดี, ความสัตยซื่อ, ความอ่อนสุภาพ, การรู้จักบังคับตน การเช่นนั้นไม่มีพระบัญญัติห้ามเลย"
(3) ดำเนินให้สมกับที่ท่านถูกเรียกนั้น เอเฟโซ 4.1 "เหตุฉะนั้นข้าพเจ้า ผู้ที่ถูกจำจองเพราะเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า จึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ประพฤติสมกับที่ท่านทั้งหลายทรงถูกเรียกแล้วนั้น" อาชีพของคริสเตียนก็คือการดำเนินชีวิตตามแบบคริสเตียน อาชีพของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ชีวิตของเขาก็อยู่ที่นั่น
มัดธาย 6.33 "แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้" ในการดำเนินชีวิตให้สมกับผู้ที่ถูกเรียกนั้นก็เท่ากับการที่บุคคลประคับประคองชีวิตของตนให้คนอื่นเห็นพระคริสต์ในชีวิตของเรา ฆะลาเตีย 2.20 "ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว และไม่ใช่ข้าพเจ้าเองที่ยังมีชีวิตเป็นอยู่ แต่พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตเป็นอยู่ในข้าพเจ้า และชีวิตซึ่งข้าพเจ้ามีอยู่ในเนื้อหนังเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้ามีอยู่โดยศรัทธา คือศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ประทานพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า"
(4) ดำเนินในความสว่าง 1โยฮัน 1.6-8 "ถ้าเราจะว่าเรามีใจร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์, และยังประพฤติอยู่ในความมืด, เราก็พูดมุสา, และไม่ได้ประพฤติตามความจริง แต่ถ้าเราดำเนินอยู่ในความสว่าง, เหมือนอย่างพระองค์สถิตอยู่ในความสว่าง, เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน, และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ได้ทรงชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น ถ้าเราทั้งหลายจะว่าเราไม่มีบาป, เราก็ล่อลวงตนเอง, และความจริงไม่ได้อยู่ในเราเลย"
เอเฟโซ 5.8 " เพราะว่าเมื่อก่อนท่านทั้งหลายเป็นความมืด, แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้วในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงประพฤติอย่างลูกของความสว่าง" ถ้าเราดำเนินอยู่ในความสว่าง พระโลหิตของพระเยซูชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น นี่แหละเป็นวิธีที่คริสเตียนจะมีการร่วมสามัคคีธรรม การดำเนินในความสว่าง หมายถึงการดำเนินชีวิตตามที่พระคำของพระเจ้าแนะนำ บทเพลงสรรเสริญ 119.105 "พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพเจ้า, และเป็นแสงสว่างตามทางของข้าพเจ้า" บทเพลงสรรเสริญ 119.11 " พระดำรัสของพระองค์นั้นข้าพเจ้าได้จดจำไว้ในใจ, เพื่อข้าพเจ้าจะไม่กระทำผิดต่อพระองค์"
(5) ดำเนินเหมือนองค์พระผู้เป็นเจ้า 1โยฮัน 2.6 "คือผู้ใดว่าตนอยู่ในพระองค์, ผู้นั้นก็ควรประพฤติตามที่พระองค์ทรงประพฤตินั้น" ดูฟิลิปปอย 2.5-6 "ท่านทั้งหลายจงมีน้ำใจอย่างนี้, เหมือนอย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงมีด้วย พระองค์นั้นทรงสภาพของพระเจ้า, แต่มิได้ทรงถือว่าการที่เท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นการที่ต้องสงวนไว้" และ 1เปโตร 2.21-22
1) องค์พระผู้เป็นเจ้าดำเนินชีวิตโดยการให้อภัย ลูกา 23.34 "ฝ่ายพระเยซูจึงทรงอธิษฐานว่า “โอพระบิดาเจ้าข้า. ขอโปรดยกโทษเขา เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร” เขาก็เอาฉลองพระองค์จับสลากแบ่งปันกัน"
2) โดยการปรนนิบัติผู้อื่น โยฮัน 13.1-17, มาระโก 10.45 "เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อจะให้เขาปรนนิบัติ, แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา, และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมากด้วย"
3) โดยการเชื่อฟัง เฮ็บราย 5.8-9 "ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรแล้ว, พระองค์ยังได้ทรงเรียนรู้จักที่จะนอบน้อมยอมฟังนั้นโดยความยากลำบากที่พระองค์ได้ทนเอา. และเมื่อถึงที่สำเร็จแล้ว, พระองค์ก็เลยทรงเป็นผู้เริ่มจัดความรอดนิรันดร์ ให้แก่คนทั้งปวงที่เชื่อฟังพระองค์"
4) โดยความกล้าหาญ มัดธาย 21.12-13 "พระเยซูจึงเสด็จเข้าในโบสถ์ของพระเจ้า, ทรงขับไล่บรรดาผู้ซื้อขาย และคว่ำโต๊ะผู้แลกเงินกับคว่ำร้านขายนกพิลาปที่นั่นเสีย แล้วตรัสแก่เขาว่า, “มีคำเขียนไว้ว่า โบสถ์ของเราเรียกว่าเป็นที่อธิษฐานอ้อนวอน. แต่เจ้าทั้งหลายมากระทำไห้เป็นถ้ำของพวกโจร"
5) โดยการอธิษฐาน ลูกา 6.12 "คราวนั้นพระองค์เสด็จขึ้นภูเขาเพื่อจะอธิษฐาน, และได้อธิษฐานต่อพระเจ้าตลอดคืนยังรุ่ง" มาระโก 1.35 "ครั้นเวลาเช้ามืดพระองค์ได้ทรงตื่นขึ้นเสด็จออกไปยังที่สงัด, และทรงอธิษฐานที่นั่น"
6) โดยไม่เห็นแก่ตัว 2โกรินโธ 8.9
บทที่ 11
บทที่11
(6) ในการศึกษาเรื่องการดำเนินชีวิต ขอให้เราทราบว่า
1) เราควรดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมสุภาพ มีคา 6.8 "โอบรรดาชน, พระองค์ได้ทรงแจ้งให้ทราบแล้วว่าอะไรน่ะดี: พระยะโฮวาทรงพระประสงค์อะไรจากท่านเล่านอกจากทำการยุตติธรรม,และรักความเมตตากรุณา, และดำเนินชีวิตอย่างสุภาพเคียงคู่กันไปกับพระเจ้าของท่าน?"
2) ดำเนินตามความเชื่อเหมือนอับราฮาม โรม 4.12 "และเพื่อท่านจะเป็นบิดาของคนเหล่านั้นที่รับพิธีสุนัด, ที่มิได้รับพิธีสุนัดเท่านั้น แต่ได้ประพฤติตามความเชื่อของอับราฮามบิดาของเราทั้งหลาย ซึ่งท่านได้มีอยู่เมื่อท่านยังไม่ได้รับพิธีสุนัด"
3) ดำเนินโดยความเชื่อ 2โกรินโธ 5.7 "ด้วยว่าเราดำเนินโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่เราได้เห็น"
4) ดำเนินโดยการทำการดี เอเฟโซ 2.10 "เพราะว่าเราทั้งหลายเป็นกิจการของพระองค์, ที่ทรงสร้างขึ้นใหม่ในพระเยซูคริสต์เพื่อจะให้กระทำการดี, ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ก่อนให้เราประพฤติตามนั้น"
5) ดำเนินชีวิตสมควรแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า โกโลซาย 1.10 "เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ประพฤติอย่างที่สมควรแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า, ตามบรรดาความชอบ, ให้เกิดผลในการดีทุกอย่าง, และจำเริญในความรู้ถึงพระเจ้า" (1เธซะโลนิเก 2.12)
6) ดำเนินชีวิตอย่างสัตย์ซื่อ ฆะลาเตีย 5.22-23 "ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้นคือความรัก, ความยินดี, สันติสุข, ความอดกลั้นไว้นาน, ความปราณี, ความดี, ความสัตย์ซื่อ, ความอ่อนสุภาพ, การรู้จักบังคับตน, การเช่นนั้นไม่มีพระบัญญัติห้ามเลย"
7) ดำเนินชีวิตโดยใช้ปัญญา โกโลซาย 4.5 "จงดำเนินการกับคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญา, ซึ่งเป็นการซื้อโอกาสไว้ใช้"
8) ดำเนินในความรัก เอเฟโซ 5.2 "และจงประพฤติในความรักเหมือนพระคริสต์ได้ทรงรักท่าน, และทรงประทานพระองค์เองเพื่อท่าน, เป็นเครื่องบรรณาการและเป็นเครื่องบูชาถวายแก่พระเจ้าเป็นสุคนธรสอันหอมหวาน"
(7) คำว่า "ดำเนิน" เป็นคำที่ใช้บวกกับคำอื่นเพื่อใช้เน้นถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างพระเจ้ากับบุตรของพระองค์
1) เราควรดำเนินอยู่ตรงพระพักตร์ของพระเจ้า เยเนซิศ 17.1 "เมื่ออายุอับรามได้เก้าสิบเก้าปี, พระยะโฮวาได้สำแดงพระองค์ให้ปรากฏแก่อับรามตรัสว่า, “เราเป็นพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ยิ่งที่สุด; เจ้าจงเดินอยู่ตรงหน้าเราให้เป็นคนดีรอบคอบ" หมายความว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า
2) เราควรดำเนินตามพระยะโฮวา พระบัญญัติ 13.4 "เจ้าทั้งหลายจงดำเนินตามพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า, เกรงกลัวพระองค์, รักษาข้อบัญญัติทั้งหลายของพระองค์, และเชื่อฟังถ้อยคำ ปฏิบัติและนับถือพระองค์" เราควรปฏิบัติตามการทรงนำของพระเจ้าโดยการสำแดงของพระบุตรของพระองค์ 1เปโตร 2.21-22 "ด้วยว่าท่านทั้งหลายถูกทรงเรียกไว้สำหรับเหตุการณ์นั้น, เพราะว่าพระคริสต์ได้ทรงรับทนทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลายให้เป็นแบบอย่างแก่ท่าน, เพื่อท่านจะได้ตามรอยพระบาทของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงกระทำบาปประการใด, และอุบายในพระโอษฐ์ของพระองค์ก็ไม่มี"
3) เราควรดำเนินตามพระเยซู โกโลซาย 2.6 "เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายได้รับพระเยซูคริสต์เจ้าแล้วฉันใด จงดำเนินตามพระองค์ฉันนั้น" เราควรดำเนินชีวิตอยู่ในบรรยากาศของคริสตจักร
4) เราควรดำเนินกับพระเจ้า เยเนซิศ 5.24 "ฮะโนคได้ดำเนินกับพระเจ้า, แล้วก็หายหน้าไป: เพราะพระเจ้าทรงรับเขาไป" การดำเนินกับพระเจ้าหมายถึงการดำเนินโดยความเชื่อ 2โกรินโธ 5.7 "ด้วยว่าเราดำเนินโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่เราได้เห็น" ตกลงกันได้โดยไม่ขัดแย้งกัน อาโมศ 3.3 "ทั้งสองจะดำเนินด้วยกัน ถ้าเขาทั้งหลายไม่พร้อมใจกันจะได้หรือ?" เป็นเช่นอย่างมิตรที่ดีและรักษาย่างเท้าตามรอยพระบาทของพระเจ้า
2. จงซื้อโอกาสมาใช้
"จงซื้อโอกาสมาใช้ เพราะว่าบัดนี้เป็นกาลที่ชั่ว" (เอเฟโซ 5.16)
(1) เวลาอันสั้น โยบ 9.25-26 "บัดนี้วันคืนทั้งหลายของข้าฯ ละล่วงไปเร็วกว่าม้าเร็ว. มันผ่านพ้นไป, และไม่เห็นของดีอะไรเลย มันผ่านพ้นไปโดยเร็วดุจเรือกำปั่นฝีเท้าเร็ว, และดุจนกอินทรีย์ที่โฉบลงมาเฉี่ยวอาหาร" (โยบ 7.6, 14.1, บทเพลงสรรเสริญ 39.5, 2โกรินโธ 4.17, 1เปโตร 1.24) ยาโกโบ 4.14 "แต่ว่าท่านทั้งหลายไม่รู้ว่า จะมีเหตุอะไรเกิดขึ้นในพรุ่งนี้ ชีวิตของท่านเป็นอะไรเล่า? ก็เป็นเหมือนหมอกที่ปรากฏอยู่แต่ประเดี๋ยวหนึ่งแล้วก็หายไป" คนมีชีวิตโดยเฉลี่ยอย่างมากก็แค่ 60 ปี ลองคิดดูซิว่าท่านมีเวลาเหลืออีกเท่าไร? ถ้าจะคิดตัวเลขออกมาเป็นวัน ดูซิว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่วัน? เพราะว่าชีวิตของเราสั้น ดังนั้นท่าทีของเราต่อชีวิตควรเป็นอย่างไร? มีกล่าวไว้ในบทเพลงสรรเสริญ 39.4 "ข้าแต่พระยะโฮวา, ขอโปรดให้ข้าพเจ้ารู้ที่สุดปลายอายุของข้าพเจ้า, วันปีของข้าพเจ้าจะนานสักเท่าใด; ขอให้รู้ว่ากำลังของข้าพเจ้าอ่อนเพลียเพียงไร"
(2) เวลาที่สูญเสียไป โธมัส เอดิสัน กล่าวว่า "Time is the most important thing in the world" (เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในโลก) มีคนจำนวนมากทำให้เวลาเสียไป บ่อยครั้งเรามักได้ยินคนพูดว่า "กำหนดเวลา" "เวลาผ่านไปแล้ว" "ฆ่าเวลา" เบ็นจามิน แฟรงคลิน กล่าวว่า "ถ้าท่านรักชีวิต อย่าทำให้เวลาสูญไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเวลาคือชีวิตของเรา"
(ก) หนทางที่ทำให้เสียเวลา เราเสียเวลาไปโดย
1) การเกียจคร้าน (สุภาษิต 19.15, 23.21) 1ติโมเธียว 5.13 "และเขามักเป็นคนเกียจคร้านด้วย, คือเที่ยวไปขึ้นบ้านนี้ขึ้นบ้านโน้น และไม่ใช่เป็นคนเกียจคร้านอย่างเดียว, แต่มักเป็นคนปากบอนด้วย, และเที่ยวยุ่งกับธุระของผู้อื่น, และพูดซึ่งไม่ควรจะพูด" โรม 12.11 "อย่าเกียจคร้าน, จงรุ่งโรจน์ในพระคริสต์, จงปฏิบัติพระเจ้า" 2เธซะโลนิเก 3.10 "ด้วยว่าถึงคราวเมื่อเรายังอยู่กับท่านทั้งหลาย, เราก็ได้กำชับอย่างนี้ว่า, ถ้าผู้หนึ่งผ้ใดไม่คิดจะทำการก็อย่าให้เขากิน"
2) โดยการผลัดวันประกันพรุ่ง สุภาษิต 27.1 "อย่าอ้างว่าจะกระทำสิ่งใดในวันพรุ่งนี้, เพราะเจ้าไม่ผู้ว่าจะมีเหตุอะไรเกิดขึ้นในวันหนึ่งวันใด" 2โกรินโธ 6.2 " เพราะว่าพระองค์ตรัสแล้วว่า, เราได้ฟังท่านในเวลาอันชอบ, และเราได้สงเคราะห์ท่านในวันแห่งความรอด นี่แน่ะ บัดนี้เป็นเวลาอันชอบ นี่แน่ะ บัดนี้เป็นวันแห่งความรอด"
3) โดยการนอนเกินความจำเป็น สุภาษิต 20.13 "อย่าชอบนอนหลับจนเหลือเกิน, เกรงว่าจะถึงแก่ความยาก; จงลืมตาขึ้นเถิดจึงจะมีอาหารกินอิ่ม"
4) การสนุกสนานที่ไม่บริสุทธิ์ การเล่นที่เลยขอบเขต การกระทำที่เสี่ยงอันตราย 1เธซะโลนิเก 4.12 "เพื่อท่านจะได้ประพฤติตามอย่างที่สมควรต่อหน้าคนเหล่านั้นที่อยู่ภายนอก, และเพื่อท่านจะเป็นอิสสระเลี้ยงตัวได้"
5) หมกมุ่นพัวพันกับความผิดพลาดในอดีต ฟิลิปปอย 3.13-14 "ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย, ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่มีอย่างเดียว คือว่าสิ่งเหล่านั้นที่ผ่านพ้นมาแล้วข้าพเจ้าก็ลืมเสีย, และโน้มตัวออกไปหาสิ่งเหล่านั้นที่อยู่ข้างหน้า, คือข้าพเจ้ากำลังบากมั่นมุ่งไปกว่าจะถึงธงชัย, และได้รางวัล ซึ่งพระเจ้าได้ทรงเรียกเราให้ตะเกียกตะกายไปรับโดยพระเยซูคริสต์"
6) กระวนกระวายใจ ฟิลิปปอย 4.6-7 "อย่ากะวนกะวายด้วยสิ่งใดเลย, แต่จงเสนอความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า โดยการอธิษฐาน กับการขอบพระคุณ และสันติสุขแห่งพระเจ้า, ซึ่งเหลือที่จะเข้าใจได้, จะคุ้มครองใจและความคิดของท่านทั้งหลายไว้ในพระเยซูคริสต์"
(ข) แทนที่เราจะเสียเวลาไปเปล่า ๆ เราควรซื้อเวลามาใช้และใช้เวลาโดยอาศัยปัญญา
โกโลซาย 4.5 "จงดำเนินการกับคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญา ซึ่งเป็นการซื้อโอกาสไว้ใช้" เราควรฝึกนิสัยบังคับมิให้เสียเวลาโดยไม่คิดอะไร เพราะ
1) ถ้าเราไม่ใช้เวลาอย่างมีสติปัญญา เราจะทำการไม่สำเร็จ
2) เราผ่านเส้นทางนี้เพียงครั้งเดียว เฮ็บราย 9.27 "และมนุษย์ทั้งหลายมีกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องตายหนหนึ่ง และภายหลังนั้นจะถึงการพิพากษา"
3) เราสูญเสียเวลาไปมากแล้ว 1เปโตร 4.3 " ด้วยว่าเวลาซึ่งล่วงพ้นไปนั้น ที่ได้ประพฤติตามชอบใจคนต่างประเทศก็พออยู่แล้ว, คราวเมื่อเราทั้งหลายได้ประพฤติตามราคะตัณหา, ตามใจปรารถนาอันชั่ว เมาน้ำองุ่น กินเหล้าวุ่นวายกัน, กินละโมภ, และหลงไหว้รูปเคารพอันเป็นที่น่าเกลียด"
4) เราไม่ทราบว่าเราจะมีเวลาเหลืออีกเท่าไร ยาโกโบ 4.14 "แต่ว่าท่านทั้งหลายไม่รู้ว่า จะมีเหตุอะไรเกิดขึ้นในพรุ่งนี้. ชีวิตของท่านเป็นอะไรเล่า? ก็เป็นเหมือนหมอกที่ปรากฏอยู่แต่ประเดี๋ยวหนึ่งแล้วก็หายไป"
5) เราจะต้องให้การเรื่องการรับใช้เวลาและโอกาส มัดธาย 25.40 "แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่เขาว่า ‘เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่ผู้เล็กน้อยที่สุดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนท่านได้กระทำแก่เราด้วย"
6) เราไม่รู้แน่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับมาเมื่อใด มาระโก 13.32 "แต่วันนั้นโมงนั้นไม่มีผู้ใดรู้, ถึงทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้, รู้แต่พระบิดาองค์เดียว" 1เธซะโลนิเก 5.2 " เพราะว่าท่านเองก็รู้ละเอียดละออแล้วว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาเหมือนอย่างขโมยที่มาในเวลากลางคืน"
เราสามารถซื้อเวลาและใช้เวลาอย่างผู้มีปัญญา โดยวิธีดังต่อไปนี้
1) โดยการเพิ่มเติมความรู้ในการศึกษา 2ติโมเธียว 2.14 "จงอุสส่าห์สำแดงตนให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า, เป็นคนงานที่ไม่ต้องอาย, เพราะเป็นคนที่ซื่อตรงในการที่ใช้คำแห่งความจริงนั้น"
2) ฉวยโอกาสที่จะกระทำการดีแก่ผู้อื่น ฆะลาเตีย 6.10 " เหตุฉะนั้น, ตามที่เรามีโอกาสอยู่, ให้เรากระทำการดีแก่คนทั้งปวง, และที่สำคัญนั้นจงกระทำแก่ครอบครัวของความเชื่อ"
3) ในการเลี้ยงชีพด้วยความสัตย์ซื่อเพื่อตัวเราเองและครอบครัว 1ติโมเธียว 5.8 "ถ้าแม้ผู้ใดไม่เลี้ยงดูวงศ์ญาติของตน, และคนในบ้านเรือนของตนยิ่งกว่าผู้อื่น, ผู้นั้นก็ปฏิเสธความเชื่อเสียแล้ว, และซ้ำชั่วยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้เชื่อเลย"
4) ในการอธิษฐาน 1เธซะโลนิเก 5.17 "จงอธิษฐานเสมออย่าเว้น จงขอบพระคุณสำหรับทุกสิ่ง"
5) ในการตรวจตราดูตนเอง 2โกรินโธ 13.5 "ท่านทั้งหลายจงพิจารณาดูตัวของท่านว่า ท่านตั้งอยู่ในความเชื่อหรือไม่ จงชันสูตรดูตัวของท่านเองเถิด ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในท่านทั้งหลายเว้นไว้ท่านจะทานการชันสูตรไม่ได้"
6) ในการแสวงหาผู้หลงหาย มัดธาย 18.11 "เพราะว่าบุตรมนุษย์ได้เสด็จมาเพื่อช่วยซึ่งหลงหายไปนั้นให้รอด"
7) ในการใช้เวลากับครอบครัว ฝึกอบรมลูกในองค์พระผู้เป็นเจ้า เอเฟโซ 6.4 "ฝ่ายท่านทั้งหลายผู้เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของตนให้ขัดเคืองใจ แต่จงอบรมด้วยการตีสอนและการเตือนสติขององค์พระผู้เป็นเจ้า" (สุภาษิต 22.6)
(ค) ถ้าเราเลิกจากการเป็นผู้เสียเวลา เราไม่ควรเป็นผู้แก้ตัวว่า "ฉันไม่มีเวลา" เราไม่มีเวลาสำหรับสิ่งอื่นหรือ? พระเยซูมิใช่กำชับให้เราแสวงหาแผ่นดินขององค์พระผู้เป็นเจ้าก่อนหรือ? ท่านเคยร้องเพลง "จงตั้งเวลาไว้ก่อน?" ถ้าหมอสั่งให้เรานอนพักฟื้นวันละ 1 ชั่วโมง ถ้าไม่ทำเช่นนั้นเราจะตายภายในสามเดือน ท่านคิดว่าท่านจะหาเวลานอนวันละ 1 ชั่วโมงไหม? ถ้าหมอบอกเราว่า เราควรอ่านหนังสืออย่างน้อยเพื่อออกกำลังสายตา ไม่เช่นนั้นตาจะบอด แน่นอนท่านคงจะหาเวลาทำเช่นนั้น สมมุติว่าลูกเรากลับบ้าน พร้อมกับจดหมายจากโรงเรียนกำชับว่า ผู้ปกครองไม่ใช้เวลากับลูกมากขึ้นลูกจะสอบตกแน่นอน ท่านจะหาเวลาไหม? แล้วเรื่องวิญญาณจิตของเรา ของท่านล่ะ? ท่านจะไม่ยอมใช้เวลาสนใจบ้างหรือ? ให้เราเลิกพูดว่า "ฉันไม่มีเวลา" หรือ "ถ้าฉันมีเวลา..." (ซึ่งคงจะหมายความว่าฉันคงจะไม่มีเวลา)
3. เราจะต้องให้การเรื่องเวลาของเรา
ท่านอาจถามว่า "ธุระของใครกันแน่เรื่องการใช้เวลา?" เรื่องเวลาเป็นธุระของพระเจ้า เวลาของท่านเป็นของพระเจ้า ท่านเป็นลูกจ้าง พระเจ้าเป็นนายของเรา เราเป็นผู้อารักขาเวลาและเงินของเรา และที่สุดเราจะต้องให้การเรื่องการใช้เวลาของเราต่อพระเจ้า มนุษย์โกงพระเจ้าได้หรือ? คิดดูเถิด ถ้าคนจะมีชีวิตในโลกประมาณ 70 ปีโดยเฉลี่ย เราจะใช้เวลาไปในการทำสิ่งดังต่อไปนี้ ใช้เวลาในการศึกษา 3 ปี ใช้เวลาในการสนุก 8 ปี ใช้เวลาที่โต๊ะอาหาร 6 ปี ใช้เวลาในการเดินทา 5 ปี ใช้เวลาในการพูดคุย 4 ปี ใช้เวลาในการทำงาน 14 ปี ใช้เวลาในการอ่าน 3 ปี ใช้เวลาในการนอน 24 ปี ใช้เวลาในการเจ็บไข้และพักฟื้น 3 ปี แต่มนุษย์ใช้เวลาเพื่อพระเจ้าจริง ๆ เท่าใด สมมุติว่าเขาไปนมัสการพระเจ้าทุกวันอาทิตย์ และอธิษฐานประมาณ 5 นาที ตอนเช้าและตอนเย็น เขาใช้เวลาให้พระเจ้าเพียงห้าเดือนภายใน 70 ปี ให้เวลาแก่พระเจ้าห้าเดือนเท่านั้นเองหรือ