พระเยซูเป็นผู้ใด
พระเยซูเป็นผู้ใด? มีความสำคัญอย่างไร? คนส่วนมากได้ยินแต่ชื่อ แต่ยังไม่สนใจที่จะเรียนรู้ให้แน่ชัดมากขึ้น การไม่รู้ซึ้งนั้นทำให้คนเข้าใจผิด ๆ พระเยซูไม่ใช่บุคคลที่สมมุติขึ้น พระองค์ทรงมีตัวตนจริง ๆ ในประวัติศาสตร์
ชีวิตและพระราชกิจของพระเยซูน่าสนใจมาก จุดเด่นที่สำคัญคือว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์สามวันแล้วจึงทรงเป็นขึ้นมาจากตาย นี่แสดงว่พระองค์ไม่ใช่เป็นเพียงศาสดาเอกของโลก ไม่ใช่มนุษย์ที่ดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่นักปราชญ์ แต่ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งได้ถ่อมพระองค์ลงมาบังเกอดในโลกอุบัติมีรูปกายเหมือนมนุษย์ และในที่สุดได้ยอมพลีพระชนม์เพื่อลบล้างบาปของมนุษยื
เปาโลผู้เป็นอัครสาวกคนหนึ่งของพระเยซูได้กล่าวไว้ก่อนถูกตัดศีรษะว่า "แต่เมื่อครบกำหนดแล้ว พระเจ้าจึงทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาให้ประสูติ แต่สตรีและบังเกิดใต้พระบัญญัติ เพื่อจะทรงไถ่คนเหล่านั้นซึ่งอยู่ใต้พระบัญญัติ เพื่อเราจะได้กลับคืนเข้าตำแหน่งเป็นบุตร" (ฆะลาเตีย 4.4-5, ดูมัดธาย 1.21, 2.1)
พระเยซูก่อนเสด็จมาบังเกิดในโลกนี้
ผู้เขียนพระคริสตธรรมคัมภีร์มีประมาณ 40 คน ซึ่งผู้เขียนทุกคนเป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์ได้สถิตอยู่แล้วก่อนสิ่งสารพัดในจักรวาลและโลกนี้จะเกิดขึ้น "เพระว่าพระองค์ได้ทรงสร้างสรรพสิ่ง ในท้องฟ้าก็ดี ที่แผ่นดินโลกก็ดี สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา "(โกโลซาย 1.16) ดูข้อพระคัมภีร์อื่น ๆ ประกอบ โยฮัน 1.1, 17.5-24, เยเนซิศ 1.26, โรม 11.33, วิวรณ์ 4.8-11, เฮ็บราย 1.2
การกำเนิดของพระเยซูคริสต์เจ้าในโลกนี้
พระเจ้าทรงมีพระดำริแต่เดิมแล้วที่จะให้พระเยซูพระบุตรของพระองค์มาบังเกิดในโลกนี้ จุดประสงค์เพื่อจะไถ่บาปของมนุษย์ทุกคน มนุษย์เป็นคนบาปไม่มีอะไรในโลกนี้จะช่วยให้มนุษย์พ้นจากบาปได้ ในสมัยโบราณพระเจ้าได้ทรงเปิดเผยโครงการไถ่มนุษย์ให้รอดพ้นจากบาปเป็นครั้งคราว เช่น ทรงสัญญาว่าจะมีพระมหากษัตริย์มาบังเกิด, จะมีพระผู้ช่วยให้รอด, จะมีอาณาจักรบังเกิดขึ้น เป็นต้น ยะซายา 7.14 ได้พยากรณ์ไว้เมื่อ 726 ก.ค.ศ. "เพราะฉะนั้น พระยะโฮวาพระองค์เองจะให้เจ้ามีหมายสำคัญ นี่แน่ะหญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรเป็นชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกชื่อบุตรนั้นว่า อีมานูเอล"
การกำเนิดของพระเยซูที่หมู่บ้านเบ็ธเลเฮ็ม
การกำเนิดของพระเยซูมิใช่เป็นเยี่ยงสามัญชนธรรมดา แต่เป็นไปโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ ไม่ได้มีการร่วมรู้กับชายใด ทูตสวรรค์ฆับรีเอลได้บอกกับนางมาเรียว่า พระเจ้าได้ทรงเลือกนางเพื่อให้พระกุมารเยซูกำเนิด และในที่สุดเธอก็ได้ตั้งครรภ์ ในขณะที่เธอตั้งครรภ์, กายะซาออฆูซะโตแห่งอาณาจักรโรมมีรับสั่งให้พลเมืองเสียภาษีทุกคนต้องกลับไปถิ่นกำเนิดของตน โยเซฟซึ่งเป็นคู่หมั้นของนางมาเรียอาศัยอยู่ตำบลนาซาเร็ธ แต่บ้านเกิดเดิมอยู่ที่เบ็ธเลเฮ็ม เมื่อมีรับสั่งทั้งสองจึงเดินทางไปหมู่บ้านเบ็ธเลเฮ็ม ณ ที่นั่นเอง พระกุมารเยซูได้กำเนิดในรางหญ้าเพราะไม่มีที่ว่างในโรงแรม
เฮโรดกษัตริย์ในมณฑลยูดาทราบจึงได้รับสั่งให้ฆ่าทาราอายุตั้งแต่ 2 ขวบลงมา แต่ทูตสวรรค์ได้บอกโยเซฟและนางมาเรียนให้หนีไปอียิปต์เสียก่อน หลักจากเฮโรดสิ้นชีวิตแล้วโยเซฟกับนางมาเรียนก็ได้พาพระกุมารเยซูกลับไปอาศัยอยู่ที่นาซาเร็ธ พระกุมารเยซูได้ทรงเจริญวัยตามแบบมนุษย์ทั่วไป ทั้งฝ่ายร่างกาย, สติปัญญา, เป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้าและต่อสังคม (ลูกา 2.52)
พระราชกิจของพระเยซูคริสต์เจ้า
เมื่อพระเยซูมีพระชนม์มายุได้ 30 พรรษาพระองค์ได้ทรงรับบัพติศมา (จุ่มลงในน้ำ) จากโยฮัน บัพติศโต หลังจากที่พระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้วมารได้ทดลองพระเยซูให้ละทิ้งโครงการของพระเจ้าเสีย ภายหลังที่พระองค์ทรงอดพระกะยาหารมาแล้ว 40 วัน มารทดลองพระองค์ด้วยเรื่องอาหารการกิน เรื่องอำนาจในโลก และการอวดอ้างต่าง ๆ แต่ที่สุดพระเยซูทรงเอาชนะมารได้โดยใช้พรดำรัสของพระเจ้า (มัดธาย 3.13-17, 4.4-11)
การเลือกอัครสาวก
ต่อจากนั้นพระองค์ได้ทรงเริ่มทำการสั่งสอนในที่สาธารณะ และได้ทรงเลือกอัครสาวก 12 คน มีรานามดังต่อไปนี้ คือ 1.ซีโมน หรือ เปโตร แปลว่า หินก้อนเล็ก ๆ 2.อันดะเรอา น้องชาย 3.ยาโกโบ บุตรเซเบดาย 4.โยฮัน น้องชาย 5.ฟิลิป 6.นะธันเอล หรือ บาร์โธโลมาย 7.มัดธาย คนเก็บภาษี 8.โธมา 9.ยาโกโบ บุตรของอาละฟาย 10.ยูดาบุตรยาโกโบ 11.ซีโมน ซีโลเต 12.ยูดา อิศการิโอด ผู้มอบพระเยซูให้ศัตรูในที่สุด
อัครสาวกเหล่านี้มีชีวิตใกล้ชิดกับพระเยซูเป็นเวลาสามปีครึ่ง ภายในระยะเวลาสามปีครึ่งนี้พวกเขาได้รับอิทธิพลอย่างซาบซึ้งจากชีวิตของพระเยซู คนพวกนี้ได้เห็นพระเยซูสำแดงความรัก ความเมตตา เห็นอิทธิฤทธิ์ของพระเยซูในการรักษาโรค ในการปลุกคนที่ตายให้เป็นขึ้นมา ทรงมีอำนาจเหนือธรรมชาติ ได้ฟังคำสอนอย่างลึกซึ้งของพระเยซูแก่ฝูงชนนับเป็นหมื่น ๆ ความจริงที่อัครสาวกได้เห็นกับตา ทำให้เขาทั้งหลายยอมสละชีวิตเพื่อประกาศความจริงนี้ ไม่ใช่เฉพาะอัครสาวกเท่านั้น มีคนจำนวนมากที่เชื่อถือในพระเยซูได้ยอมสละชีวิตของเขาเพื่อพระองค์ด้วย
ชีวิตฝ่ายสังคมโลกนี้
พระเยซูคริสต์เจ้าทรงมีชีวิตครบถ้วนในสังคมเยี่ยงสามัญชนที่ดีคนหนึ่ง พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของพลเมืองที่ดีในประเทศ เช่น การเสียภาษีโดยไม่หลีกเลี่ยง แม้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์ก็มิได้ทรงทอดทิ้งความต้องการของสังคม พระองค์ได้เสด็จออกกระทำคุณ, ได้เยี่ยมเยียน, สั่งสอน, ให้กำลังใจแก่ผู้ที่ท้อแท้ในชีวิต, ช่วยรักษาคนเจ็บป่วยและคนพิการให้หาย พระเยซูตรัสว่า "บรรดาผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข" (มัดธาย 11.28) บางครั้งพระองค์เปรียบมนุษย์เหมือนลูกแกะ ซึ่งพระองค์เองทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะ "แต่เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงพระกรุณาเขา ด้วยเขาอิดโรยกระจัดกระจายไปดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง" (มัดธาย 9.36)