คริสเตียนที่ถูกต้อง
ท่านอาจเป็นเพียงคริสเตียนเท่านั้นได้
นับเป็นเวลามากกว่า 2000 ปีแล้วที่พระเยซูได้สถาปนาคริสตจักรของพระองค์ ณ กรุงยะรูซาเล็ม ในปี ค.ศ. 33 แม้กระนั้นความงดงาม, ความบริสุทธิ์ ก็ยังส่องแสงเจิดจ้าตลอดทุกกาลสมัยไม่มืดมัวและไม่เปลี่ยนแปลง เราได้ศึกษาบทเรียนหลายบทก่อน ๆ ถึงลักษณะอันแท้ของคริสตจักรตามที่ได้สำแดงไว้ในพระคัมภีร์ ตัวอย่างตามที่เราได้เรียนในบทที่ 7 คือว่า การที่บุคคลจะเป็นสมาชิกคริสตจักรที่พระเยซูทรงสร้างได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่พระเยซูได้นับเข้าสู่คริสตจักรโดยพระองค์เอง และในการที่เราจะเข้าไปได้ก็คือ ในการที่เราจะปฏิบัติตามเงื่อนไข เกี่ยวกับการยกโทษบาป (กิจการ 2.47) และในบทอื่นเราได้เรียนรู้ว่า "...เราได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระเยซูคริสต์..." (ฆะลาเตีย 3.27) บัพติศมาที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ คือการฝังลงไปในน้ำเพื่อความผิดบาปจะทรงยกเสีย (โรม 6.3-5, กิจการ 2.38, 1เปโตร 3.21) ในบทที่ 6 เราได้เรียนรู้ว่าคริสตจักรที่พระเยซูสร้างมีการกระทำพิธีระลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกวันต้นสัปดาห์ และในการนมัสการของเขานั้นไม่มีเครื่องดนตรีเกี่ยวข้องเลย (กิจการ 20.7, เอเฟโซ 5.19, วิวรณ์ 22.18-19) นอกจากนั้นเรายังได้พบว่า พระเยซูสัญญาที่จะสร้างคริสตจักรเดียวเท่านั้น และในศตวรรษแรกนั้นบรรดาคริสเตียนที่ซื่อสัตย์สนิทสนมเป็นกายเดียวกัน (มัดธาย 16.18, เอเฟโซ 1.22-23, 4.4-5)
บางทีท่านอาจจะรู้สึกแปลกใจ เมื่อตรวจดูคำสอนของพระคัมภีร์ ท่านอาจจะสงสัยว่ามีนิกายที่แตกต่างกันมากมายทุกวันนี้ พวกเหล่านี้เกิดขึ้นมาอย่างไร ใครเป็นผู้ให้อำนาจ ความประสงค์ของบทเรียนนี้ไม่มีเจตจำนงที่ปรักปรำว่าร้ายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด แต่เพื่อจะค้นคว้าและศึกษาพระคัมภีร์ดูเพื่อแก้ปัญหาข้อสงสัยอันสำคัญ ตามที่เราได้พิจารณาแล้วในตอนต้น เราเห็นว่ามนุษย์มักเป็นผู้บังอาจล่วงเกินในการ "เปลี่ยนแปลง" แผนการของพระเจ้าโดยการกระทำเช่นนี้ มนุษย์จึงได้เหินห่างออกไปจากทางของพระเจ้า
กษัตริย์ซะโลโม ได้กล่าวไว้ในหนังสือสุภาษิต "มีทางหนึ่งซึ่งมีบางคนเห็นว่าเป็นทางถูก แต่ปลายทางนั้นเป็นทางแห่งความตาย" (สุภาษิต 14.12) การล่วงละเมิดนี้ก็จริงด้วยในสมัยของกษัตริย์ซาอูล (1ซามูเอล 15.1-24) เป็นความจริงในสมัยของนามานด้วย (2กษัตริย์ 5.1-14) และยังคงเป็นความจริงตลอดทั่วทุกยุคทุกสมัย ประวัติศาสตร์ได้สำแดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนถึงการที่คนได้เหินห่างออกจากความจริงหลังจากสมัยของอัครสาวก ในตอนแรก ๆ ก็มีการเริ่มถอยออกไปจากแบบของพระคริสตธรรมใหม่ทีละเล็กละน้อย มนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงระบบการปกครองของคริสตจักร แล้วก็เริ่มเปลี่ยนแปลงหลักการปฏิบัติและการนมัสการของคริสตจักร การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้บังเกิดขึ้นชั่วเวลาคืนเดียว และการที่เหินห่างออกไปจากความจริงในตอนแรก ก็มิใช่เป็นความตั้งใจที่จะให้บังเกิดเป็นผลร้าย แต่การเสื่อมโทรมในการเหินห่างออกจากความจริงตามพระคริสตธรรมใหม่ได้เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นคำสั่งสอนของมนุษย์ในที่สุด ได้ทำให้ลักษณะอันแท้จริงของคริสตจักรของพระคริสต์ได้เปลี่ยนแปลงไปในชั่วไม่กี่ศตวรรษ บรรดานิกายศาสนาต่าง ๆ ในโลกไม่ได้มีความละม้ายคล้ายคลึงกับคริสตจักรตามที่เราอ่านในพระคริสตธรรมใหม่เลย
พระคัมภีร์ได้บอกล่วงหน้าถึงการละทิ้งความจริง
พระเยซูและบรรดาอัครสาวกทั้งหลายทราบแน่ว่า ภายหลังจะมีการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะบังเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจึงได้เตือนไว้อย่างแข็งแรงต่อต้านกับผู้ที่จะทำให้มีการแตกแยกเกิดขึ้นใน มัดธาย 24.11-13 พระเยซูได้บอกกับบรรดาอัครสาวกของพระองค์ว่า "จะเกิดมีผู้ทำนายเท็จหลายคนเที่ยวล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป เพราะความชั่วทวีขึ้น ความรักของคนเป็นอันมากจะเยือกเย็นลง แต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด" (มัดธาย 24.10-11) อัครสาวกเปาโลได้บอกผู้ปกครองที่คริสตจักรเอเฟโซถึงเรื่องนี้ว่า "ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่า เมื่อข้าพเจ้าไปแล้วจะมีสุนัขป่าอันร้ายเข้ามาในท่ามกลางท่าน และจะไม่ละเว้นฝูงแกะไว้เลย จะเกิดมีบางคนในท่ามกลางพวกท่านเองกล่าวเลี่ยงความจริงเพื่อจะชักชวนเหล่าสาวกให้หลงตามเขาไป" (กิจการ 20.29-30 และ มัดธาย 7.15) และใน 1ติโมเธียว 4.1 "ฝ่ายพระวิญญาณได้ตรัสไว้โดยแจ่มแจ้งว่า ภายหลังจะมีบางคนทิ้งความเชื่อเสีย" เปโตรได้บรรยายถึงผู้ละทิ้งความจริง ซึ่งจะมาภายหลังไว้ดังนี้ "แต่ว่าได้มีผู้พยากรณ์เท็จเกิดขึ้นท่ามกลางพวกพลไพร่นั้น เช่นกับจะมีผู้สอนผิดในท่ามกลางท่านทั้งหลาย ที่จะแอบอ้างเอามิจฉาลัทธิอันจะให้ถึงความพินาศเข้ามาเสี้ยมสอน และจะปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ได้ทรงไถ่เขาไว้ และจะพลันนำความพินาศมาถึงตนเอง จะมีหลายคนประพฤติตามความชั่วช้าลามกของเขา และเพราะเหตุคนเหล่านั้นทางของความจริงจะถูกกล่าวร้าย" (2เปโตร 2.1-2)
ตลอดทั้งพระคริสตธรรมใหม่เราจะอ่านพบคำพยากรณ์ถึง "ผู้ละทิ้งความจริง" จะเกิดขึ้นหลังจากสมัยของอัครสาวก คำพยากรณ์เหล่านั้นมิได้อ้างถึงการที่มนุษย์จะหลีกจากการติดตามพระเยซูหรือเลิกเชื่อในศาสนา แต่คำพยากรณ์เหล่านี้ได้บอกล่วงหน้าให้ทราบถึงการที่เขาจะละทิ้งจากแบบฉบับอันแท้จริงที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ และด้วยเหตุนี้เองการนมัสการของเขาจึงเปล่าประโยชน์ พระเยซูเองยังได้กล่าวถึงบุคคลเหล่านี้ว่า พวกเหล่านี้เป็นพวกที่อ้างว่าเป็นผู้ติดตามพระเยซูอย่างแข็งขัน และเขาได้กระทำการในนามของพรเยซูยิ่งใหญ่ (มัดธาย 7.22) ไม่ช้าไม่นานหลังจากนี้ พระเยซูได้กล่าวไว้ในหนังสือมัดธาย 15.9 ว่า การสั่งสอนชนิดที่เอาคำสั่งของมนุษย์มาเกี่ยวพันด้วย พระองค์บอกว่า การนมัสการทั้งหมดของเราก็เปล่าประโยชน์ เปาโลยังคงกล่าวถึงผู้เหล่านั้นที่จะละทิ้งความจริงออกไปจากแบบแผนพระคริสตธรรมใหม่ไว้อย่างชัดเจน เมื่อเปาโลได้บรรยายถึงการสิ้นสุดของโลกดังนี้คือ "อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดล่อลวงท่านโดยทางหนึ่งทางใดเลย เพราะวันนั้นจะไม่มาถึงจนกว่าจะมีการทรยศเสียก่อน" (2เธซะโลนิเก 2.3)
คำพยากรณ์เริ่มคลี่คลายความจริง
เป็นเวลาไม่นานหลังจากสมัยของจำพวกอัครสาวก คำพยากรณ์เหล่านี้ก็เริ่มเห็นจริง ตอนแรกก็เปลี่ยนแปลงทีละนิด ๆ ต่อไปก็เปลี่ยนอีกหน่อย ผู้เปลี่ยนคิดขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับสมัย การเปลี่ยนแปลงจากแบบแผนของพระคริสตธรรมใหม่นี้ได้ยังเกิดทีละเล็กทีละน้อย การเปลี่ยนแปลงนี้แม้แต่สักชั่วอายุคนหนึ่งก็มิได้สนใจหรือวิตกอะไรเลย แต่ในที่สุดพวกเหล่านั้นก็ได้จัดตั้งองค์การศาสนาขึ้นซึ่งมีความแตกต่างกับแบบฉบับของพระคริสตธรรมใหม่ราวฟ้ากับดินทีเดียว ตอนนี้ให้เราหันไปดูประวัติศาสตร์ในวงการศาสนาและพิจารณาดูการที่มนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงไว้อย่างไรบ้าง? และการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเมื่อไร? เกิดขึ้นที่ไหน?
สิ่งที่มนุษย์ได้เปลี่ยนแปลง (เวลาและสถานที่เกิด)
การใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์ เกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 120 การปฏิบัติเช่นนี้ได้ยืมมาจากพิธีในทางศาสนาของพวกยิว
บัพติศมาทารก ครั้งแรกเป็นที่ตำหนิอย่างแรงในศตวรรษที่สาม โดยเตอร์ตุเลียน (ดูกิจการ 8.36-39, มัดธาย 28.19)
คำสอนของมนุษย์ที่เกิดขึ้นครั้งแรก เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 325 ที่ไนเซีย ในบิธิเนีย ภายใต้การนำของบุคคล 318 คน ที่ไม่ได้รับการดลใจ คำสอนนี้เรียกว่า "คำสอนแห่งไนเซีย" (Nicean Creed) หรือเรียกว่า "คำสอนของอัครสาวก" เป็นที่น่าสังเกตว่า "คำสอนของอัครสาวก" มิได้เขียนขึ้นโดยอัครสาวกของพระเยซูจริง ๆ
ลาตินแมส (Latin Mass) เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 394
สถานที่ทรมานชั่วคราว (Purgatory) คำสอนที่ว่ามนุษย์อาจจะได้รับโทษแทนภายหลังตายได้, แล้วจะได้ไปสวรรค์ เกิดในปี ค.ศ. 593 (ดูลูกา 16.19-26)
เครื่องดนตรี เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 666
นักบวช (Celibacy) ปุโรหิต หรือ นักบวชไม่อนุญาตให้แต่งงาน เกิดในปี ค.ศ. 1015 (ดู 1ติโมเธียว 4.1-3)
สารภาพความบาปที่เป็นความลับแก่นักบวช เกิดปี ค.ศ. 1215
บัพติศมาด้วยการพรม ออกโดยที่ปรึกษาแห่งราเวนา ในปี ค.ศ. 1311 คนแรกที่ปฏิบัตินอกรีต คือ โนเวเจียน ในปี ค.ศ. 251
การเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ อีก เช่น ขายตั๋วล้างบาป, ลูกประคำ, พิธีระลึกเดือนละครั้ง, ผู้หญิงเป็นผู้เทศนา, อธิษฐานต่อนางมาเรีย (พระบัญญัติ 4.2, วิวรณ์ 25.18-19)
การเกิดนิกายต่าง ๆ
ตลอดศตวรรษความคิดของมนุษย์เกี่ยวกับศาสนาก็ได้แทรกซึมแทนแผนการของพระเจ้า พระคัมภีร์ได้กล่าวต่อต้านคนจำพวกนี้ว่า "เพราะความคิดของเราไม่เหมือนความคิดของเจ้า และทางของเราก็ไม่เหมือนทางของเจ้า พระยะโฮวาตรัสไว้ดังนี้" (ยะซายา 55.8-9)
เพราะข้อคิดเห็นและหลังปฏิบัติของมนุษย์ได้ก่อตัวขึ้น บรรดาพรรคหรือกลุ่มหลายกลุ่มก็ได้บังเกิดขึ้น แต่ละกลุ่มก็เหมือนกับคริสตจักรในพระคริสตธรรมใหม่บ้างในบางกรณี แต่ที่แตกต่างกันเพราะแต่ละกลุ่มยังยึดเอาคำสอนของมนุษย์เป็นหลักปฏิบัติ ซึ่งทำให้ต่างกับคริสตจักรของพระคริสตธรรมใหม่และต่างกับกลุ่มอื่น ๆ ตามความคิดที่แตกต่างกัน ปัจจุบันนี้เฉพาะที่อเมริกาเองมีนิกายมากกว่า 250 นิกาย โดยผิวเผินแล้วนิกายเหล่านี้ก็คล้ายคลึงกัน แต่ว่ากลุ่มหนึ่ง ๆ ก็ยังยึดถือความคิดเห็นและคำสอนของมนุษย์ และแตกต่างกับกลุ่มอื่น ๆ ถ้าความแตกต่างมิได้เกิดขึ้นแล้ว บรรดากลุ่มแตกแยกก็คงจะไม่ก่อร่างขึ้น การแตกแยกของกลุ่มศาสนาต่าง ๆ ไม่ใช่เป็นเพราะคำสอนของพระคัมภีร์ แต่สิ่งที่ทำให้แตกแยกกันคือความคิดเห็น และคำสอนของมนุษย์ ซึ่งได้เริ่มเกิดขึ้นในสมัยของอัครสาวก (1ติโมเธียว 1.3, มัดธาย 15.9) เพราะฉะนั้นรากฐานแห่งการที่จะทำให้คริสเตียนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันยืนหยัดโดยการหันกลับไปสู่แบบฉบับของพระคริสตธรรมใหม่โดยสิ้นเชิง (มัดธาย 28.20)
คริสเตียนไม่ใช่นิกาย
หลายปีมาแล้วนักเทศน์สองคนได้สนทนากันถึงเรื่องผู้เหล่านั้นที่ละทิ้งความจริงจากพระคัมภีร์ซึ่งทำให้เขาทั้งสองวุ่นวายมาก ในขณะที่ทั้งสองกำลังอภิปรายอยู่นั้น เขาได้อ่านข้อความใน มัดธาย 16.18 "...บนศิลานี้เราจะตั้งคริสตจักรของเราไว้ และประตูแห่งความตายจะมีชัยชนะต่อคริสตจักรนั้นก็หามิได้" และอ่านข้อความคล้ายกันใน กิจการ 2.47 "และพระองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลายซึ่งกำลังจะพ้นจากความผิดบาปของตนมาเข้ากับจำพวกสาวกทวีขึ้นทุกวัน" นักเทศน์คนหนึ่งถามว่า "ในเมื่อพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงการที่พระเยซูได้สร้างคริสตจักรเดียว และบรรดาผู้ที่รอดทั้งหลายได้ถูกนับเข้าสู่คริสตจักร ...ถูกนับเข้าสู่คริสตจักรอันไหนกันแน่?" นักเทศน์คนนั้นก็ได้จารนัยถึงบรรดานิกายต่าง ๆ และถามว่า ผู้ที่รอดถูกนับเข้าสู่คริสตจักรไหน แม้ว่านักเทศน์เป็นสมาชิกคนหนึ่งในจำพวกนิกายต่าง ๆ ตามแบบที่ได้กล่าว นักเทศน์คนนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า เขาจะเป็นสมาชิกนิกายหนึ่งนิกายใดไม่ได้ เพราะประวัติศาสตร์ย่อมยืนยันความจริงข้อนี้ คนส่วนมากก็ยอมรับแล้วว่า บรรดานิกายต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นหลายร้อยปีหลังสมัยของอัครสาวก นักเทศน์ผู้นี้ยังระบุต่อไปว่า บรรดาสานุศิษย์เริ่มแรกได้ถูกเรียกว่า "คริสเตียน" เท่านั้น และไม่ใช่สมาชิกของกลุ่มนิกายใด ๆ
นักเทศน์คนแรกก็เห็นคล้องต้องกันทุกประการ นี่ต้องเป็นความจริงแน่ เพราะชื่อของคณะคาธอลิค หรือโปรเตสแตนท์ มิได้ถูกบรรยายไว้ในพระคัมภีร์ว่าได้บังเกิดขึ้นในสมัยของอัครสาวก นักเทศน์คนหนึ่งจึงได้ถามว่า "จะเป็นไปได้ไหม ถ้าคนเหล่านั้นที่อยู่ในพระคัมภีร์จะเป็นสมาชิกคริสเตียนในคริสตจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้าโดยไม่ต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิกในนิกายคาธอลิคหรือโปรเตสแตนท์ ทำไมปัจจุบันนี้ เราจึงปฏิบัติไม่เหมือนกัน นักเทศน์จึงให้เหตุผลต่อไปว่า เพราะเวลากับพระเจ้านั้นไม่กีดกั้นกัน และในเมื่อเรามีพระกิตติคุณอันเดียว พวกคริสเตียนเริ่มแรกก็ไม่เห็นเป็นการแปลกอะไรที่จะทำให้เราเป็นเหมือนกับคริสเตียนสมัยเริ่มแรก ไม่เป็นอะไรทั้งนั้นนอกจากเป็นคริสเตียน ไม่ต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิกหรือร่วมกับนิกายใด ๆ ทั้งสิ้น
การหันกลับไปสู่ทางที่ถูกต้องยังคงเป็นไปได้ไหม?
ในสมัยพระคริสตธรรมใหม่ศาสนาคริสเตียนอย่างที่ไม่ใช่นิกาย มิใช่เพียงแต่เป็นไปได้เท่านั้นแต่การที่จะไม่เป็นนิกายนั้นย่อมเป็นการถูกต้องทีเดียว พระคัมภีร์ได้สอนไว้ ตัวอย่างเช่น เปาโลเป็นสมาชิกที่ซื่อสัตย์ของคริสตจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้าหลายร้อยปีก่อนที่นิกายต่าง ๆ จะเกิดขึ้น ในตอนนั้นมีใครถามเปาโลหรือว่าเขาเป็นสมาชิกของคณะโรมันคาธอลิคหรือโปรเตสแตนท์ เปาโลคงจะไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะคณะคาธอลิคได้เกิดชึ้นเป็นเวลานานหลังจากอัครสาวกเปาโลสิ้นชีวิตไปแล้ว ปัญหาคือว่า การที่จะเป็นสมาชิกคริสตจักรเหมือนกับคริสตจักรเดียวที่เปาโลเป็นสมาชิก ซึ่งได้บรรยายไว้ในพระคริสตธรรมใหม่เกือบ 1600 ปี ย่อมเป็นไปได้หรือไม่ ในเมื่อการเป็นสมาชิกของคริสตจักรแท้ในสมัยกระโน้นยังไม่มีคริสตจักรพวกโปรเตสแตนท์สมัยใหม่เกิดขึ้นเลย ในการที่เราจะตอบปัญหานี้ให้เราดูคำตอบจาพระคัมภีร์ ในเยเนซิศ 1.12 ข้อความตอนนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า เมล็ดพันธุ์พืชทุกชนิดก็ย่อม "ผลิตดอกออกผลตามชนิดของมัน" หมายความว่า ถ้าเราเอาข้าวจ้าวไปปลูกเราก็จะได้ข้าวจ้าว เอามะม่วงไปปลูกก็จะได้มะม่วงเท่านั้น จะเป็นชนิดอื่นไม่ได้ เปาโลได้กล่าวข้อความในทำนองเดียวกันนี้ "...ผู้ใดหว่านพืชอย่างใดลงก็จะเก็บเกี่ยวผลอย่างนั้น" (ฆะลาเตีย 6.7) "เมื่อพูดถึงเมล็ดพืช" แห่งอาณาจักรซึ่งพระเยซูอธิบายว่า พืชนั้นคือพระคำของพระเจ้า (ลูกา 8.11) ก็เป็นหลักการอันเดียวกันกับที่ใช้ในฆะลาเตีย คือเมื่อพืชอันบริสุทธิ์ชนิดเดียวกันนี้ได้หว่านลงไปบนจิตใจของผู้ใด โดยไม่มีคำสอนของมนุษย์ปะปนอยู่ด้วย ข้อพระคำตอนนี้สอนว่าผลที่ได้รับจะเหมือนกับพืชที่หว่านในสมัยอัครสาวกเป็นพืชชนิดเดียวกัน
คริสตจักรของพระคริสต์กับนิกายของมนุษย์
แม้ว่านิกายต่าง ๆ ของมนุษย์นั้นอาจจะมีส่วนดีอยู่บ้าง ลักษณะอันหนึ่งที่เราอาจจะกล่าวได้ว่านิกายไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาอันถูกต้อง สถานที่อันถูกต้อง และผู้ที่ตั้งขึ้นคือผู้ใด สิ่งเหล่านี้เราอาจพบได้ในพระคริสตธรรมใหม่ กลุ่มศาสนาใด ๆ ที่ตั้งขึ้นนอกเหนือไปจากกรุงยะรูซาเล็มย่อมไม่ถูกต้อง ตั้งต้นเมื่อ ค.ศ. 33 พระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้นเป็นผู้ก่อตั้งคริสตจักร นอกเหนือจากพระเยซูแล้วย่อมไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ องค์การศาสนาทั้งหลายได้ตั้งขึ้นเองโดยพละการ ซึ่งพระเยซูไม่ได้ให้อำนาจในการจัดตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การศาสนาต่าง ๆ เป็นการขัดกับคำอธิษฐานของพระเยซูที่จะให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (โยฮัน 17.20-21) เพราะฉะนั้นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือในการที่จะเป็นสมาชิกคริสตจักตามแบบที่เราได้อ่านในพระคัมภีร์ โดยที่เราไม่ต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิกของคณะโรมันคาธอลิคหรือคณะโปรเตสแตนท์
ท่านอาจจะถามว่า "การที่จะเป็นสมาชิกอย่างที่ว่านี้ยังเป็นไปได้หรือ" คำตอบคือ ได้ คนหลายพันคนก็ได้ทำอยู่ทั่วโลกทั้งหญิงและชายก็ได้หันกลับติดตามแบบอันง่าย ๆ ที่พบในพระคัมภีร์ซึ่งพระเยซูเป็นผู้วางเงื่อนไขเอาไว้ เฉพาะในอเมริกามีสมาชิกประมาณ 2,000,000 คน เป็นคริสเตียนตามแบบอย่างของพระคริสตธรรมใหม่ วางใจให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ที่รับเราเข้าสู่คริสตจักรตามแบบพระคริสตธรรมใหม่ (กิจการ 2.47) พวกเหล่านี้ได้ "ฝังร่วมกับพระเยซูในบัพติศมา เพื่อความผิดบาปจะทรงโปรดยกเสีย" ตามคำตรัสสั่งของพระคัมภีร์ (โกโลซาย 2.12, กิจการ 2.38) ทุก ๆ วันต้นสัปดาห์พวกคริสเตียนเหล่านี้ได้กระทำพิธีระลึกถึงพระเยซูเหมือนกับพวกอัครสาวกได้กระทำกัน (กิจการ 20.7) พวกเหล่านี้ไม่ติดตามคำสอนของมนุษย์และไม่ได้เรียกชื่อตามชื่อของมนุษย์ ในโรม 16.16 พระคัมภีร์กล่าวว่า "บรรดาคริสตจักรของพระคริสต์ขอคำนับท่านทั้งหลาย" เพราะฉะนั้นพวกสานุศิษย์เหล่านั้นจึงได้ถูกนับว่าเป็นสมาชิกคริสตจักรของพระคริสต์ ชื่อของมนุษย์ย่อมไม่สามารถที่จะเปรียบกับชื่อที่พระเจ้าประทานให้ ชื่อนอกเหนือไปกว่านี้พลไพร่ของพระเจ้าไม่ต้องการ เกี่ยวกับการนมัสการ คำสั่งสอนและการปฏิบัติของคริสตจักรของพระคริสต์ทุกวันนี้ต้องตามแบบฉบับที่ได้บรรยายไว้ในพระคริสตธรรมใหม่ เพราะฉะนั้นคริสเตียนจึงไม่เป็นคาธอลิคหรือโปรเตสแตนท์อีกต่อไป นอกจากเป็นคริสตจักรของพระคริสต์ เช่นเดียวกับสมัยของอัครสาวก คริสตจักรของพระคริสต์ทุกวันนี้ประกอบด้วยผู้ที่ปรารถนาที่จะปฏิบัติในทางที่ถูกต้องปลอดภัยและแน่นอน ไม่มีทางอื่นใดที่ดีไปกว่าการหันกลับไปสู่วิธีของพระคริสตธรรมใหม่ซึ่งพระเยซูทรงเป็นผู้วางหลักการเอาไว้ โดยมีอัครสาวกของพระองค์เป็นผู้ปฏิบัติและเป็นที่ยอมรับโดยข้อพระธรรมต่าง ๆ วิธีนี้เป็นวิธีที่ถูกต้องและที่จะผิดนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
ขอเชิญท่านพิจารณาคริสตจักรของพระคริสต์ด้วยตัวของท่านเอง ประการแรก ดูว่าเป็นคริสตจักรที่ได้ปฏิรูปเหมือนกับคริสตจักรตามแบบพระคัมภีร์หรือไม่ ถ้าท่านพบว่าข้อปฏิบัติและคำสอนใด ๆ ของเราขัดแย้งกับพระคัมภีร์โปรดบอกเรา เรายินดีที่จะแก้ไขให้ถูกต้อง ถ้าเป็นคำสอนของนิกายมนุษย์ เรากล้าท้าท่านให้ปฏิเสธอย่าเชื่อ และถ้าเป็นคริสตจักรเที่ยงแท้ตามที่เราพบในพระคัมภีร์ เราใคร่หนุนน้ำใจให้ท่านยอมทำตามสิ่งที่ถูกต้อง โดยการ เชื่อ, กลับใจเสียใหม่, สารภาพความเชื่อ และรับบัพติศมาตามแบบพระคัมภีร์ และโปรดให้พระเยซูรับเราเข้าไปสู่คริสตจักรของพระองค์ ขอพระเจ้าอวยพรท่านในการศึกษาพระคำของพระองค์
บทที่ 8
ลงชื่อรับใบประกาศนียบัตร
โปรดปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
1. ก่อนลงชื่อรับใบประกาศนียบัตร ท่านต้องตอบคำถามหลักสูตรที่ 8 ให้ครบทั้ง 8 บทเสียก่อน
2. กรุณากรอกข้อมูลให้ถูกต้อง เพื่อจัดส่งใบประกาศนียบัตรให้ท่านทางไปรษณีย์
3. หลังจากลงชื่อรับใบประกาศนียบัตรแล้ว ท่านสามารถเลือกเรียนหลักสูตรอื่นได้ทันที
4. ลงชื่อขอรับประกาศนียบัตรหลักสูตรที่ 8 คลิกที่นี่
1. ก่อนลงชื่อรับใบประกาศนียบัตร ท่านต้องตอบคำถามหลักสูตรที่ 8 ให้ครบทั้ง 8 บทเสียก่อน
2. กรุณากรอกข้อมูลให้ถูกต้อง เพื่อจัดส่งใบประกาศนียบัตรให้ท่านทางไปรษณีย์
3. หลังจากลงชื่อรับใบประกาศนียบัตรแล้ว ท่านสามารถเลือกเรียนหลักสูตรอื่นได้ทันที
4. ลงชื่อขอรับประกาศนียบัตรหลักสูตรที่ 8 คลิกที่นี่