บทที่ 2

 

บทที่2

 
 
มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ THE EXISTENCE OF GOD
มีต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุ CAUSE & EFFECT
    คำถามขั้นพื้นฐานที่สุดซึ่งจิตใจของมนุษย์อยากจะถามก็คือ "มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่จริงหรือ?" มีทางเลือก ทาง มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์หรือไม่ก็ไม่มีพระเจ้า ไม่มีคำตอบตรงกลาง  คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าพูดอย่างองอาจว่า ไม่มีพระเจ้า  คนที่เชื่อพระเจ้าพูดอย่างองอาจว่า มีพระเจ้าจริง  พวกอวิชชาพูดว่าไม่มีหลักฐานพอที่จะตัดสินเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้  และพวกนักสงสัยมีความสงสัยการเชื่อพระเจ้า  พวกเขาบอกว่าไม่สามารถพิสูจน์เป็นที่แน่ชัดได้ว่าใครถูก? มีพระเจ้าจริงหรือเปล่า?  แน่ละวิธีเดียวที่จะหาคำตอบที่ถูกต้องก็คือการค้นหาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าใครถูก?  น่าสนใจที่จะแนะว่าถ้ามีพระเจ้าจริง  พระองค์ก็คงจะประทานหลักฐานมากเพียงพอในการพิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่จริง คำถามคือมีหลักฐานหรือไม่?
    คนที่เชื่อว่ามีพระเจ้ายืนยันว่า มีหลักฐานมากพอที่พิสูจน์ได้อย่างแน่นอนว่า มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่จริง  อย่างไรก็ตามเมื่อเราใช้คำว่า "พิสูจน์" เราไม่ต้องการให้ท่านเข้าใจว่า การที่พระเจ้าทรงพระชนม์สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการของวิทยาศาสตร์เหมือนกับการที่เราชั่งมันฝรั่ง 10 กิโลกรัม  หรือพิสูจน์ว่าหัวใจของมนุษย์มีสี่ห้อง  การนำผักหนึ่งถุงไปชั่ง หรือการแบ่งกล้ามเนื้อเป็นส่วนต่าง ๆ  สิ่งเหล่านี้สามารถพิสูจน์ได้โดยใช้องค์สัมผัสทั้งห้า  เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เป็นประโยชน์ในการค้นหาความจริงบางอย่างในการพิสูจน์ความจริง แต่มิใช่เป็นวิธีเดียวเท่านั้น  ตัวอย่างเช่น ผู้รักษากฎหมายใช้วิธีค้นหาความจริงเป็นวิธีที่เรียกว่า พรีมาฟาซี (prima facie)  คือการหาข้อมูลหลักฐานเพื่อหาข้อสรุปว่าการที่จะหาตัวผู้กระทำผิดได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานมากพอเพื่อยืนยันว่าหลักฐานเหล่านั้นเป็นความจริง เว้นไว้แต่ว่าความจริงดังกล่าวนั้นสามารถมีหลักฐานอื่นมาหักล้างได้  วิธีนี้เป็นวิธีที่พิสูจน์ความจริงโดยไม่มีข้อสงสัย  เป็นสิ่งซึ่งพวกที่เชื่อว่ามีพระเจ้ายึดถือในหลักของพรีมาฟาซี  โดยเชื่อว่ามีหลักฐานข้อมูลที่มีอานุภาพอย่างล้นหลามในการยืนยันว่า มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่จริง  เป็นข้อพิสูจน์ที่ไม่สามารถหักล้างได้  เราต้องการเสนอหลักฐานส่วนหนึ่ง  โดยใช้หลักพรีมาฟาซี  คือการรวบรวมหลักฐานข้อมูลเพื่อนำไปสู่การสรุป  โดยวิธีนี้เราสามารถยืนยันได้ว่ามีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่จริง

ต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุ CAUSE AND EFFECT
หลักฐานเกี่ยวกับจักรวาล THE COSMOLOGICAL ARGUMENT
    ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์  หลักฐานประการหนึ่งที่ดีที่สุดในการพิสูจน์ให้เห็นว่ามีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ก็คือ  หลักฐานเกี่ยวกับจักรวาล (ต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุ)  ซึ่งมีใจความว่า จักรวาล (Cosmos) ได้อยู่ที่นี่แล้วเพราะฉะนั้นจะต้องมีที่มาและต้องมีคำอธิบายซึ่งแสดงว่าจะต้องมีต้นเหตุที่มา  จักรวาลได้เกิดขึ้นจริง ๆ ผู้ที่เป็นคนมีเหตุผลทุก ๆ คน รวมทั้งผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าและพวกอวิชชา จะต้องยอมรับความจริงนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  คำถามเกิดขึ้น "จักรวาลอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?"  ถ้าสสารหรือสิ่งไม่มีชีวิตไม่สามารถสร้างตัวเองได้  ถ้าเช่นนั้นสสารจะต้องเป็นสิ่งที่ "Contingent" (ไม่แน่นอน)  เพราะว่าต้องพึ่งอยู่กับสิ่งที่มาจากภายนอก ไม่ใช่ตัวมันเองในการที่จะอธิบายว่าจักรวาลเกิดขึ้นได้อย่างไร  เพราะฉะนั้นจักรวาลเป็นสิ่งที่เกิดเองไม่ได้ (Contingent)  ในเมื่อจักรวาลไม่ใช่เป็นต้นเหตุให้เกิด หรือจักรวาลก็ไม่สามารถอธิบายตัวมันเองว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร  ถ้าจักรวาลไม่ได้สร้างตัวมันเองขึ้นมา มันจะต้องมีต้นเหตุที่มาของมัน  มันมาจากไหนล่ะ?  ถ้าไม่มีผู้สร้าง?  ตรงนี้แหละ กฎของต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุ ผูกพันอย่างแน่นแฟ้นกับหลักฐานเกี่ยวกับจักรวาล  เมื่อกล่าวถึงความรู้วิทยาศาสตร์  กฎธรรมชาติต่าง ๆ ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน  เป็นความจริงด้วยเหมือนกันกับกฎของต้นและผลที่เกิดจากต้นเหตุ ซึ่งเป็นกฎของจักรวาลทั้งสิ้น  และเป็นกฎที่แน่นอนในบรรดากฎอื่น ๆ ทั้งสิ้น
    กล่าวเป็นข้อความง่าย ๆ ว่า กฎของต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุมีใจความว่า  สสารต่าง ๆ ที่เห็นเป็น ผลของบางอย่าง  จะต้องมีต้นเหตุของการเกิดก่อน (หมายความว่าก่อนที่จะมีสสารเกิดขึ้นจะต้องมีต้นเหตุก่อน แล้วผลของต้นเหตุจึงเกิดตามมาทีหลัง)  สสารจะไม่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีต้นเหตุ  และต้นจะไม่เกิดหลังผล  ที่จะพูดว่าต้นเหตุมาหลังผลหรือผลมาก่อนต้นเหตุไม่มีความหมายเลย ยิ่งไปกว่านั้นผลจะยิ่งใหญ่เหนือกว่าต้นเหตุก็ไม่ได้  เพราะเหตุนี้เองนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า สสารทุกชนิดที่เกิดจะต้องมี ความสมบูรณ์ ของต้นเหตุ  แม่น้ำจะไม่ขุ่นเพียงเพราะมีกบกระโดดลงไป  หรือไม่ใช่หนังสือตกจากโต๊ะเพราะมีแมลงบินมาเกาะ คำอธิบายทำนองนี้ไม่มีความสมบูรณ์ของต้นเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นเพราะอะไรที่เราเห็นเป็นผลของที่มาแสดงว่าจะต้องมีต้นเหตุที่สมบูรณ์อย่างมากซึ่งนำเรามาถึงคำถามตั้งแต่ต้น 
ต้นเหตุที่มาของจักรวาลคืออะไร?  คำตอบที่เป็นไปได้มีอยู่สามประการเท่านั้น
    (1) จักรวาลมีสภาพนิรันดร์ มันได้เกิดขึ้นแล้ว และจะอยู่อย่างนี้เสมอตลอดไป
    (2) จักรวาลไม่มีสภาพนิรันดร์ แต่ได้สร้างตัวมันเองขึ้นมาจากสิ่งที่ไม่อะไรเลย  หรือ
    (3) จักรวาลนี้ไม่มีสภาพนิรันดร์ และไม่ได้สร้างตัวมันเองขึ้นมาจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลยแต่จักรวาลถูกสร้างขึ้นโดยบางสิ่ง (หรือผู้มีฤทธานุภาพ)  ที่มีอานุภาพมากกว่าตัวมันเอง  ทางเลือกสามประการควรแก่การพิจารณาอย่างจริงจังดังต่อไปนี้

จักรวาลมีอยู่ชั่วนิรันดร์หรือ?  IS THE UNIVERSE ENTERNAL?
    คำตอบที่ค่อนข้างสบาย ๆ สำหรับคนที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าก็คือความคิดที่ว่าจักรวาลมีมาก่อนแล้ว  และจะมีอยู่เสมอตลอดไป  เพราะความคิดดังกล่าวหลีกเลี่ยงไม่เฉพาะต้นกำเนิดของจักรวาลเท่านั้นแต่รวมทั้งที่สุดปลายด้วยและยิ่งกว่านั้นยังหลีกเลี่ยงเกี่ยวกับ "มูลเหตุเบื้องต้น" (มีพระเจ้าผู้ทรงสร้าง) อย่างไรก็ตามวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ยอมรับว่า จักรวาลไม่มีอยู่ชั่วนิรันดร์  มันมูลเหตุเริ่มต้นและมีที่สุดปลายในบรรดากฎวิทยาศาสตร์ที่สำคัญที่สุด ซึ่งเป็นที่ยอมรับก็คือกฎความร้อน (First law of thermodynamics)  บ่อยครั้งเรียกว่า Law of the Conservation of Energy and / or Matter (ภาษาไทย กฎของการอนุรักษ์พลังงาน และ/หรือ สสาร)  กฎนี้มีใจความว่า ทั้งสสารหรือพลังงานไม่สามารถถูกสร้างขึ้นหรือถูกทำลายได้ Second Laws of thermodynamics ข้อที่สอง (บ่อยครั้งเรียกว่า Law of Increasing Entropy ภาษาไทย กฎเพิ่มอัตราการเสื่อมโทรม)  กฎนี้มีใจความว่า ทุกสิ่งกำลังเสื่อมสลายพลังงานที่ใช้กำลังเหลือน้อยลงไปทุกที  การเสื่อมโทรม (การเสื่อมสลาย การไม่มีระเบียบ หรือการไม่มีโครงสร้าง)  มีอัตราเพิ่มขึ้นสูง นั้นหมายความว่าในที่สุด "จักรวาล" จะ "ถดถอยลง" กฎ Thermodynamics ข้อสองชี้ว่า (1) ตั้งแต่จุดเริ่มต้นตอนแรก  จักรวาลอยู่ในสภาพที่มีพลังงานใช้อย่างเต็มบริบูรณ์  (2) จุดจบในอนาคตเมื่อไม่มีพลังงานเหลือไว้ (นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า "ความร้อนตาย")  ซึ่งจะเป็นเหตุให้จักรวาล "ตาย"  หรือพูดให้เข้าใจใหม่ว่า  จักรวาลเป็นเหมือนนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ได้ถูกไขลานเต็มอัตราตั้งแต่ต้น  แต่ขณะนี้ลานกำลังอ่อนตัวลง  ข้อสรุปที่ได้มาจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า จักรวาลไม่ใช่มีอยู่ชั่วนิรันดร์  สภาพนิรันดร์จะไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดปลาย  และจะไม่มีวัน "ถดถอยลง"  นักวิทยาศาสตร์ผู้เรืองนามชื่อ โรเบอร์ต จาสโตรว์ แห่ง NASA  (ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า)  เขาเรียกว่า "วิทยาศาสตร์ยุคใหม่ปฏิเสธว่าจักรวาลไม่มีอยู่ชั่วนิรันดร์"  เขาพูดถูก  เดี๋ยวนี้เรารู้แน่นอนโดยหลักวิทยาศาสตร์ว่า จักรวาลไม่มีอยู่ชั่วนิรันดร์

จักรวาลสร้างตัวมันเองจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลยหรือ?
DID THE UNIVERSE CREATE ITSELF OUT OF NOTHING?

    ในอดีตแทบจะเป็นไปไม่ได้ในการหานักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเต็มใจที่จะประกาศว่าจักรวาลสร้างตัวมันเอง  นักวิทยาศาสตร์ทุกคน รวมทั้งเด็กนักเรียนในโรงเรียนเข้าใจว่าไม่มีสสารอะไรสามารถ "สร้างตัวมันเอง"  จักรวาลเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น  จักรวาล ไม่ใช่ผู้สร้าง จนกระทั่งไม่นานดูเหมือนว่าไม่มีใครกล้าคัดค้านจุดนี้  อย่างไรก็ตามหลักฐานแน่นหนาบอกว่าจักรวาลมีจุดเริ่มต้น  (ดังนั้นต้นเหตุที่มาเหนือกว่าตัวมันเอง)  นักวิทยาศาสตร์บางคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าได้แนะว่าจักรวาลสร้างตัวมันเองจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลย  แน่นอนข้อเสนอแนะดังกล่าวไร้สาระเพราะหลักของฟิสิกส์กำหนดไว้ว่าการสร้างบางสิ่งบางอย่างจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลยนั้นเป็นไปไม่ได้  แม้กระนั้นก็ตามพวกที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็ยังออกมาปกป้องตัวเอง  ข้อเสนอแนะดังกล่าวขัดกับกฎ First Las of Thermodynamics ซึ่งกล่าวไว้ว่าทั้งสสารหรือพลังงานไม่สามารถูกสร้างขึ้นหรือถูกทำลายได้ในธรรมชาติ  เช่น นักดาราศาสตร์ โรเบอร์ต จาสโตรว์  กล่าวไว้ว่า "การที่สสารจะสร้างสสารจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลยเป็นการละเมิดกฎของวิทยาศาสตร์ที่เรายกย่องนักหนา  เป็นการละเมิดหลักของวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการอนุรักษ์สสารและพลังงานซึ่งมีใจความว่า สสารและพลังงานไม่สามารถถูกสร้างหรือถูกทำลายได้  สสารสามารถเปลี่ยนพลังงานได้หรือในทางกลับกันพลังงานเปลี่ยนเป็นสสารได้  แต่สสารและพลังงานทั้งสิ้นในจักรวาลจะต้องอยู่คงที่  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดกาล  เป็นการยากที่จะยอมรับทฤษฎีที่ขัดแย้งต่อวิทยาศาสตร์อันเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นหลักแน่นอน"  ยิ่งกว่านั้นวิทยาศาสตร์ยึดหลักในการวิจัย สามารถผลิตได้ รวมทั้งยึดข้อมูลเป็นหลัก  ครั้นเมื่อเรียกร้องข้อมูลเพื่อเป็นเอกสารยืนยันว่าจักรวาลสามารถสร้างตัวมันเองจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลย  ผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าจำใจต้องยอมรับว่า ไม่มีหลักฐานยืนยันทฤษฎีดังกล่าว  จักรวาลไม่สามารถสร้างตัวมันเองได้  ความคิดดังกล่าวไร้สาระทั้งหลักปรัชญาและหลักวิทยาศาสตร์

จักรวาลสร้างขึ้นหรือ?  Was the Universe Created?
    จักรวาลจะต้องมีจุดเริ่มต้นหรือไม่ก็ไม่มีจุดเริ่มต้น  แต่หลักฐานที่มีทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าจักรวาลมีจุดเริ่มต้น  ถ้าจักรวาลมีจุดเริ่มต้นจะต้องมีต้นเหตุทำให้เกิดขึ้นหรือไม่มีต้นเหตุให้มันเกิดขึ้น  สิ่งหนึ่งที่เรารู้แน่นอนซึ่งถูกต้องตามหลักตรรกวิทยา  ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ เป็นที่ยอมรับว่าจักรวาลมีต้นเหตุเพราะจักรวาลเป็นผลที่เกิดขึ้นจากต้นเหตุ  เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องมีต้นเหตุที่มาของจักรวาล  กฎของต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุมีใจความว่า  สสารต่าง ๆ ที่เห็นเป็นผลของบางอย่างจะต้องมีต้นเหตุของการเกิดก่อน  ข้อสังเกตเพิ่มเติมอีกประการก็คือ  ผลที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถยิ่งใหญ่กว่าต้นเหตุแน่นอนเพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าจักรวาลไม่มีอยู่ชั่วนิรันดร์   และเพราะเป็นที่แน่ชัดอีกด้วยว่าจักรวาลไม่สามารถสร้างตัวมันเอง  ทางเลือกที่เหลืออยู่มีทางเดียวเท่านั้นก็คือจักรวาลถูกสร้างขึ้นโดยบางสิ่งหรือถูกสร้างขึ้นโดยผู้ใดผู้หนึ่งซึ่ง  (ก) ผู้นั้นอยู่ก่อนจักรวาลนั่นก็คือสิ่งที่นิรันดร์เป็นต้นเหตุแรก  (ข) ผู้นั้นที่สร้างจักวาลจะต้องยิ่งใหญ่เหนือกว่าจักรวาล  เพราะสิ่งที่ถูกสร้างย่อมไม่ยิ่งใหญ่กว่าผู้สร้าง  และ (ค) ผู้นั้นมีสภาพไม่เหมือนจักรวาล เพราะจักรวาลเป็นสสารพึ่งตัวเองในการอธิบายตัวเองไม่ได้  ที่สัมพันธ์กับสิ่งที่กล่าวข้างต้น  มีข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งที่ควรพิจารณา  ถ้าเคยมีเวลาเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย  ดังนั้นก็หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเวลานี้  เพราะเป็นความจริงเสมอที่ว่า ถ้าไม่มีอะไรจะสร้างอะไรไม่ได้ในทัศนะนี้  เพราะมีบางสิ่งอยู่เดี๋ยวนี้ เหตุผลที่ตามมาก็คือแสดงว่าสิ่งนั้นมีอยู่ชั่ว
นิรันดร์แล้ว  ทุกสิ่งที่มนุษย์รู้ว่าเกิดขึ้นสามารถจัดเข้าเป็นสองพวกคือ สสาร หรือ จิตต์  ไม่มีทางเลือกที่สาม เหตุผลก็จะเป็นดังนี้คือ
1. ทุกสิ่งเกิดขึ้นจะเป็นสสารหรือไม่ก็เป็นจิตต์
2. มีบางสิ่งเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นมีบางสิ่งอยู่ชั่วนิรันดร์แน่นอน
3. เพราะฉะนั้น สสารหรือไม่ก็จิตต์ต้องมีสภาพนิรันดร์แน่อน
    ก. สสารหรือไม่ก็จิตต์ต้องมีสภาพนิรันดร์
    ข. แต่สสารไม่มีสภาพนิรันดร์ตามหลักฐานที่ยกมากล่าวเบื้องต้น
    ค. ดังนั้นสรุปว่า จิตต์มีสภาพนิรันดร์

หรือใช้เหตุผลที่แตกต่างกัน
1. ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาเองหรือไม่เกิดขึ้นมาเองโดยอิสระ (ไม่มีความแน่นอน)
2. ถ้าจักรวาลไม่มีอยู่ชั่วนิรันดร์แสดงว่าไม่แน่นอน
3. จักรวาลไม่มีอยู่ชั่วนิรันดร์
4. เพราะฉะนั้นจักรวาลเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนไม่เกิดขึ้นโดยอิสระ
    ก. ถ้าจักรวาลไม่แน่นอนจะต้องมีต้นเหตุโดยบางสิ่งที่แน่นอนกว่า
    ข. แต่จักรวาลเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน
    ค. เพราะฉะนั้นจักรวาลเป็นผลผลิตโดยสิ่งที่ถาวร เป็นพลานุภาพที่มีอยู่ในตัวเองซึ่งไม่ได้มาจากที่อื่น
    ในอดีตพวกไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า แต่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการอธิบายว่าจิตต์ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทำงานของสมอง  ซึ่งเป็นสสาร ดังนั้นจิตต์กับสมองคือสิ่งเดียวกันและสสารอย่างเดียวเท่านั้นที่เกิดขึ้นอย่างไรก็ตามทัศนะดังกล่าวไม่เป็นที่ชื่นชมของวิทยาศาสตร์ต่อไปแล้ว  ทั้งนี้เพราะการทดลองอันมีชื่อเสียงโด่งดังของนัก Physiologist ชาวออสเตรเลียชื่อ ดร.เซอร์จอห์น เอดเคิลส์  ซึ่งได้รับรางวัลโนเบล จากการค้นพบของท่านเกี่ยวกับการทำงานของสมอง (รู้จักกันว่า "neural synapses")  ในเอกสารสำคัญได้ระบุว่าจิตต์ไม่ใช่เป็นแค่เนื้อหนังเท่านั้น ท่านได้ชี้ให้เห็นว่า ส่วนที่เป็นพลังขับเคลื่อนของสมองอาจจะถูกกระตุ้นโดยความตั้งใจ  ในการทำบางสิ่งบางอย่างโดยไม่มีตัวพลังขับเคลื่อน (ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมความเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ) ถ้าจะเปรียบจิตต์กับสมองก็เปรียบเหมือนบรรณารักษ์กับห้องสมุด จิตต์เปรียบเหมือนบรรณารักษ์ไม่ด้อยกว่าห้องสมุดคือสมอง  ดร.เอดเคิลส์ ได้อธิบายวิธีการในเชิงวิทยาศาสตร์ โดยสรุปไว้ในหนังสือของท่านชื่อ The Self and Its Brain (ตัวเองกับสมอง) หนังสือที่เขียนขึ้นโดยประพันธ์ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ผู้เรืองนามของอังกฤษชื่อ เซอร์คาร์ล ป๊อปเปอร์
    โดยวิทยาศาสตร์ทางเลือกระหว่างสสารเท่านั้นหรือต้องเลือกมากยิ่งกว่าสสาร เพื่อจะอธิบายปรากฏการณ์ความมีระเบียบของจักรวาล ทางเลือกมีเหลืออยู่แค่สองทางคือ (ก) เวลาบวกกับความบังเอิญและบวกกับสสารตามธรรมชาติ หรือ  (ข) แบบ, การสร้างและที่เราปฏิเสธไม่ได้ถึงความมีระบบและระเบียบและจิตต์ที่อยู่เบื้องหลัง ที่จริงถ้าเราต้องการคำตอบ มีทางเลือกสองทาง เป็นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์สองประการเท่านั้นที่เกี่ยวกับต้นกำเนิดของระเบียบในจักรวาลและชีวิตในจักรวาล คือจะต้องมีผู้จัดสสารให้มีระเบียบ หรือระเบียบเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
    แด่ผู้ที่เสนอว่าความมีระเบียบเกิดขึ้นในตัวมันเองโดยธรรมชาติ เราขอตอบว่าเราไม่เคยเห็นหลักฐานว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้  ยิ่งกว่านั้นทั้งปรัชญาและวิทยาศาสตร์กล่าวเป็นเสียงเดียวที่ดังอย่างชัดถ้อยชัดคำว่าการเกิดของสิ่งสารพัดไม่ได้เกิดขึ้นเองแต่เกิดขึ้นโดยจิตต์ที่มีสภาพนิรันดร์ที่สร้างจักรวาล และสร้างทุกสิ่งในจักรวาล
    ต่อให้พวกนักสงสัยใช้ความพยายามให้มากที่สุดเขาก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงข้อเท็จจริงของกฎต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุได้ แม้กระนั้นก็ตามนั่นไม่สามารถยับยั้งความพยายามของพวกเขา ดังนั้นเขาจึงหาหลักฐานมากมายเพื่อโค่นล้มความจริงดังกล่าว ตัวอย่างเช่นพวกเขาโต้แย้งโดยยืนยันว่าความจริงของเหตุและผล (Cause and Effect) ขัดแย้งในตัวเอง ข้อโต้แย้งมีใจความดังนี้ว่าหลักของ Cause และ Effect (มีต้นเหตุก็ต้องมีผลหรือผลมาจากต้นเหตุ) ทุกสิ่งจะต้องมีต้นเหตุ ความคิดนี้ทำให้สารพัดทุกสิ่งที่อยู่ในจักรวาลย้อนหลังไปถึงต้นเหตุแรก  เมื่อย้อนหลังไปถึงจุดเริ่มต้นแรกทุกอย่างก็หยุดตรงนั้นทันที  แต่ข้อเท็จจริงนั้นจะยังคงยืนยันอย่างเสมอต้นเสมอปลายได้อย่างไรทำไมหลักการที่ว่า "ทุกสิ่งจะต้องมีต้นเหตุแรก" กลายเป็นสิ่งไม่จริงทันที?  ถ้าทุกสิ่งต้องการคำอธิบาย หรือต้องการค้นหาสาเหตุเบื้องต้นทำไมสิ่งที่เป็นมูลเหตุเบื้องต้น ไม่ต้องการคำอธิบายหรือไม่ต้องการค้นหาว่าอะไรเป็นสาเหตุ?  และถ้าสิ่งที่เป็นมูลเหตุเบื้องต้นไม่ต้องการคำอธิบายทำไมสิ่งอื่น ๆ ต้องการคำอธิบายด้วยล่ะ? เราขอเสนอคำตอบสองประการแก่ผู้คัดค้านหลักการเกี่ยวกับสาเหตุของการทำให้ทุกสิ่งเกิดขึ้น
    ประการแรก : เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดด้วยเหตุผลของตรรกวิทยา ที่จะป้องกันทัศนะเรื่อง "Infinite regress" การถดถอยไม่สิ้นสุด ซึ่งมีผลที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีสาเหตุเบื้องต้นที่ทำให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นก่อนพวกปรัชญาทั้งหลายได้ถกเถียงเรื่องนี้อย่างถูกต้องมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุ อะไรก็ตามที่เกิดแสดงว่าจะต้องมีสาเหตุเบื้องต้นที่ทำให้มันเกิดขึ้นก่อนแน่นอน
    ประการที่สอง ข้อคัดค้านที่เสนอโดยพวกที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าได้เสนอว่ากฎของมูลเหตุที่ทำให้เกิดเบื้องต้นมีความขัดแย้งในตัวเองนั้นไม่ขัดแย้งต่อกฎนั้นแต่ค้านต่อ คำกล่าวที่ผิด ที่เกี่ยวข้องกับกฎ สมมุติว่ามีผู้หนึ่งกล่าวว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีมูลเหตุเบื้องต้น" ถ้าเช่นนั้นคำคัดค้านนั้นสมเหตุสมผลแต่นี่ไม่ใช่กฎของการที่ทำให้ทุกสิ่งเบื้องต้นกล่าวดังนั้นกฎเบื้องต้นมีใจความว่า ผลที่เกิดสสาร ทุกอย่างต้องมีมูลเหตุเบื้องต้น  ก่อนที่จะเกิดมีสสาร ถ้าเราย้อนถอยหลังไปเมื่อมาถึงจุดเริ่มต้นขั้นสุดในอดีตจะต้องมีผู้ที่เป็นมูลเหตุแรกอันบริสุทธิ์ที่ทำให้สิ่งสารพัดเกิดขั้นมาสิ่งที่เป็นต้นเหตุให้เกิดไม่ใช่เป็นสสารแน่นอน

สรุป
    กฎของต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุและข้อโต้แย้งเกี่ยวกับจักรวาลตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎดังกล่าวนั้นเป็นคำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับการเกิดของชีวิตมนุษย์  จักรวาลได้มีอยู่ที่นี่แล้ว  เพราะฉะนั้นแสดงว่าจะต้องมีสาเหตุเบื้องต้นที่ทำให้มันเกิดขึ้นไม่ใช่มันเกิดเอง  อุทาหรณ์ที่สนับสนุนกฎของต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุได้เป็นอย่างดีคือ นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งชื่อ อาร์ แอล ไวซอง  ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ตอนหนึ่ง  เมื่อไม่นานนี้นักวิทยาศาสตร์หลายท่านได้ถูกเรียกไปที่ประเทศอังกฤษเพื่อศึกษาเกี่ยวกับก้อนหินที่เรียงรายอยู่ในลักษณะต่าง ๆ  นักโบราณคดีเรียกว่า Stonehenge (สโตนเฮนจ์) การศึกษายิ่งลึกมากเท่าใดก็ยิ่งเห็นชัดว่าก้อนหินที่ตั้งเรียงรายตามแบบต่าง ๆ นั้นออกแบบไว้สำหรับการพยากรณ์ปรากฏการณ์ของดาราศาสตร์  คำถามมากมายเกิดขึ้นตามมา (ตัวอย่างเช่น คนสมัยโบราณสามารถสร้างเครื่องมือดาราศาสตร์ได้อย่างไรและข้อมูลอันเป็นผลจากการศึกษาพวกเขานำไปใช้อย่างไร ฯลฯ) ยังไม่สามารถหาคำตอบได้จนถึงปัจจุบัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เรารู้อย่างแน่นอนว่า มูลเหตุเบื้องต้น ที่ทำให้เกิดสโตนเฮนจ์ ได้ถูกออกแบบโดยผู้ที่มีสติปัญญาไม่ใช่เกิดขึ้นมาเองแน่นอน
    คราวนี้ขอให้ท่านเอา สโตนเฮนจ์ เปรียบเทียบกับการเกิดของจักรวาลและชีวิตในจักรวาล เราได้ศึกษาชีวิต วิเคราะห์ดูการทำงานของมัน ชีวิตเหล่านี้สลับซับซ้อน (แม้แต่สติปัญญาของมนุษย์ไม่สามารถเลียนแบบได้ แม้จะใช้กลไกวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าและเทคโนโลยีที่ล้ำยุคก็ไม่อาจทำได้) แล้วเราจะสรุปอย่างไรล่ะ? จริง สโตนเฮนจ์ อาจจะเกิดขึ้นจากแรกกดดันของภูเขาหรืออาจจะเกิดขึ้นโดยปรากฏการณ์ตามธรรมชาติอย่างรุนแรง  ทำให้กลายเป็นหินมีลักษณะต่าง ๆ โดยบังเอิญอย่างนั้นหรือ?  อยากจะถามว่านักปราชญ์และนักวิทยาศาสตร์เห็นพ้องกับข้อสรุปดังกล่าวหรือไม่?  ไม่มีมนุษย์คนไหนที่มีสมองปกติจะยอมรับว่าสโตนเฮนจ์ "เกิดขึ้นมาเอง" โดยอุบัติเหตุ แม้กระนั้นก็ตามผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า พวกอวิชชา พวกนักสงสัย ต้องการให้เราเชื่อ สิ่งที่มีระเบียบอันสูงส่งด้วยการออกแบบที่น่าทึ่งของจักรวาล (และรวมทั้งชีวิตที่สลับซับซ้อน) "เกิดขึ้นมาเอง" โดยไม่มีใครออกแบบสร้างอย่างนั้นหรือ  การที่จะยอมรับความคิดว่า "มันเกิดขึ้นเอง" เป็นสิ่งที่ไร้เหตุผล เพราะว่าข้อสรุปไม่มีเหตุผล  ที่ยอมรับไม่ได้ และไม่มีหลักฐานยืนยัน  ต้นเหตุที่ทำให้มันเกิดไม่สมบูรณ์จะทำให้เกิดเองโดยบังเอิญไม่ได้  การหาเหตุผลแบบนี้สามารถใช้ได้กับการเกิดของจักรวาลรวมทั้งเราทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในโลก  มนุษย์มีคุณลักษณะพิเศษที่ปฏิเสธไม่ได้ มีความสามารถในการใช้เหตุผล มีความสามารถในการรับรู้ มีความสามารถในการแสดงปฏิกิริยาที่มีเหตุผล  แต่ต้นกำเนิดของคุณลักษณะอันวิเศษเหล่านี้คืออะไร?  ทฤษฎีวิวัฒนาการไม่มีคำตอบที่ชัดเจน
    นักปรัชญาคนหนึ่งชื่อ นอร์แมน ไกสเลอร์ ได้กล่าวถูกต้องว่า "มูลเหตุเบื้องต้นไม่สามารถให้ในสิ่งที่ตัวไม่มีจะให้  ถ้าจิตใจของข้าพเจ้าได้รับความสามารถในการรับรู้แสดงว่าจะต้องมีจิตต์หรือผู้รู้ที่ให้สิ่งนั้นแก่ข้าพเจ้า  สติปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นจากสิ่งที่ไม่มีสติปัญญา ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลย"  ดร.ไกสเลอร์ พูดถูกอย่างแม่นมั่น  ถ้ามนุษย์มีความสามารถในการใช้เหตุผล  เพราะฉะนั้นจะต้องมีมูลเหตุเบื้องต้นซึ่งอยู่เบื้องหลังทำให้เกิดความสามารถนั้น  มูลเหตุเบื้องต้นที่ให้ความสามารถในการใช้เหตุผล  ถ้ามนุษย์มีคุณลักษณะที่มีความสามารถในการรับรู้ (นั่นคือ มีสติปัญญา รวมทั้งด้านเนื้อหนังที่รวมกันเป็นคน)
    เพราะฉะนั้นก็ต้องมีมูลเหตุเบื้องต้นซึ่งอยู่เบื้องหลังความสามารถนี้  มูลเหตุเบื้องต้นที่ประกอบด้วยความสามารที่จะรับรู้ได้  ถ้ามนุษย์ประกอบด้วยความสามารถในการมีปฏิกิริยามีเหตุผล  เพราะฉะนั้นก็ต้องมีมูลเหตุเบื้องต้นซึ่งอยู่เบื้องหลังความสามารถนั้น  มูลเหตุนี้มีความสามารถในการมีปฏิกิริยาและมีปฏิกิริยาอย่างมีเหตุผลด้วย
    สรุปในเนื้อหาหลักฐานของต้นเหตุและผลที่เกิดจากต้นเหตุ และหลักฐานของจักรวาลเป็นใจความง่าย ๆ ว่า สสารทุกอย่างที่เป็นผลย่อมต้องมีต้นเหตุก่อนที่สสารเหล่านี้จะอุบัติขึ้น  จักรวาลมาอยู่ที่นี่แล้ว ชีวิตที่ประกอบด้วยสติปัญญามาอยู่ที่นี่แล้ว ศีลธรรมมาอยู่ที่นี่แล้ว สัจธรรมมาอยู่ที่นี่แล้ว  ความรักมาอยู่ที่นี่แล้ว  อะไรเป็นต้นเหตุเบื้องต้นที่ทำให้เกิดขึ้น?  เพราะผลย่อมไม่มาก่อนต้นเหตุเบื้องต้น  หรือผลจะยิ่งใหญ่กว่ามูลเหตุเบื้องต้นย่อมไม่ได้  ดังนั้น ข้อสรุปที่มีเหตุผลที่สุดก็คือ ต้นเหตุของชีวิตจะต้องเป็นผู้ที่มีชีวิตซึ่งมีสติปัญญาล้ำเลิศ มีศีลธรรม มีสัจธรรม และมีความรัก พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บันทึกว่า "เมื่อเดิมพระเจ้าได้เนรมิตสร้างฟ้าและดิน" พระคัมภีร์เปิดเผยให้เราทราบว่าพระเจ้าทรงเป็น มูลเหตุเบื้องต้น ของการเกิดสารพัดทุกสิ่ง ทั้งในจักรวาลและพิภพโลกนี้
 

ตอบคำถามแบบทดสอบ บทที่ 2  คลิกที่นี่

บทที่3