บทที่ 3

บทที่3

 ความสำคัญของพระคริสตธรรมคัมภีร์
    มนุษย์ได้เดินทางไปไกลแสนไกลทั่วทุกแห่งทั้งในสมัยโบราณและปัจจุบัน  แต่ยังมีหนังสือเล่มหนึ่งคือพระคริสตธรรมคัมภีร์  หนังสือเล่มนี้ได้เดินทางไปไกลแสนไกลทั่วทุกมุมเมืองทุกภาษา  ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนก็จะพบหนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้โดยไม่ยากนัก  โปรดพิจารณาดูความสำคัญของพระคริสตธรรมคัมภีร์ดังต่อไปนี้
1. หนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดในโลก  ไม่มีหนังสือเล่มไหนในโลกที่สามารถทำลายสถิติการขายแทนพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้
2. หนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์  เป็นหนังสือที่แปลออกเป็นภาษาและสำเนียงต่าง ๆ ในโลกประมาณ 1,300 ภาษา
3. การพิมพ์ด้วยแท่นพิมพ์ได้ประดิษฐานขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก  โดยโจอันเนส กูเตนเบอร์ก แห่งประเทศเยอรมัน  กูเตนเบอร์กได้พิมพ์พระคริสตธรรมคัมภีร์ขึ้นเป็นครั้งแรกเป็นภาษาละติน  เรียกกันโดยทั่วไปว่า "พระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับโดยกูเตนเบอร์ก"  พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้พิมพ์ครบเมื่อประมาณวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1456  ครั้งแรกได้พิมพ์ขึ้น 200 ฉบับ  ปัจจุบันนี้ยังคงมีอยู่ประมาณ 40 ถึง 50 เล่ม  ในจำนวนมี 14 เล่มอยู่ที่ประเทศอเมริกา
4. การพิมพ์ด้วยแท่นพิมพ์สำเร็จขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย  โดยร้อยเอกเจมส์โรห์  ท่านผู้นี้ได้พิมพ์พระคริสตธรรมคัมภีร์ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
5. คำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์ยกระดับมาตรฐานศีลธรรมของมนุษย์  คนจำนวนมากได้เปลี่ยนชีวิตของเขา  เพราะอิทธิพลซึ่งได้รับจากพระคริสตธรรมคัมภีร์  
6. สถานะของสตรีได้รับการเทิดทูน  ในสมัยโบราณสตรีเกือบทุกประเทศถูกประณามว่าเป็นเพศที่ต่ำต้อย  ยกเว้นพวกเฮ็บรายเท่านั้น  พวกโรมจะฆ่าภรรยาของตนเองโดยไม่ต้องถูกตัดสินความ  คำสั่งสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์  มิใช่สัตว์เดรัจฉาน ทำให้หญิงและชายอยู่ในฐานะเท่าเทียมกัน
7. ยกระดับมาตรฐานในการทำงาน  คนทั่วโลกคิดว่างานกรรมกรเป็นงานหยาบ ๆ เป็นงานต่ำ  แต่พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนให้คนทุกคนประกอบอาชีพโดยไม่เกียจคร้าน  ทำงานอาชีพอะไรก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมและมีสิทธิเท่าเทียมกันทั้งนั้น
8. ยกระดับมาตรฐานการศึกษา คำสั่งสอนที่เป็นพื้นฐานแห่งความจริงในโลกอยู่ในพระคริสตธรรมคัมภีร์  คนที่เชื่อถือในพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นผู้ที่ก่อให้เกิดโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่สำคัญในโลก  และพระคริสตธรรมคัมภ์ประกอบด้วยหลักความจริงเกือบทุกวิชา
    สุภาพสตรีได้รับการเทิดทูน  พวกทาสได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ  กรรมกรได้รับความเป็นธรรม  การศึกษาและมาตรฐานศีลธรรมถูกยกระดับ  ไม่มีหนังสือเล่มไหนในโลกที่มีความสำคัญเท่ากับพระคริสตธรรมคัมภีร์  อิทธิพลของพระคริสตธรรมคัมภีร์ทำให้การศึกษาของโลกสูงขึ้น  มีโรงเรียนที่สำคัญ ๆ เกิดขึ้นในโลกหลายแห่ง เช่นมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด, โรงเรียนมิชชั่นนารีในประเทศต่าง ๆ   โรงพยาบาลหลายแห่งได้เกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ เพราะอิทธิพลของพระคริสตธรรมคัมภีร์  สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ขาดพ่อแม่  แม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ ๆ ปัจจุบันนี้ก็ได้รับอิทธิพลจากพระคริสตธรรมคัมภีร์เช่นกัน  ดร.โรเบอร์ต เอ. มิลลิแกน  ได้กล่าวว่า "ข้าพเจ้าคิดว่าความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์โลกขึ้นอยู่กับอิทธิพลแห่งคำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์"  นักบินอวกาศอพอลโล11  ไมเคิล คอลลินร์, เอ็ดวิน แอนดริน และนีล อาร์มสตรอง  เมื่อได้ลงไปเหยียบบนดวงจันทร์  เขาได้อธิษฐาน และได้กล่าวถึงข้อพระคริสตธรรมคัมภร์ เยเนซิศ 1.1 มีใจความว่า "เมื่อเดิมนั้นพระเจ้าได้ทรงนฤมิตสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก"

คำประกาศของพระคริสตธรรมคัมภีร์
    ผู้ที่เขียนหนังสือปรัชญา หรือหลักคำสอนต่าง ๆ ของศาสนาส่วนมากเขาจะต้องสดุดีตนเองว่าเป็นผู้เขียน  ยิ่งไปกว่านั้นผู้เขียนเหล่านั้นเพียงแต่กล่าวสรรเสริญเยินยอส่วนดีของชีวประวัติของบุคคลบางคน  แต่ผู้ที่เขียนพระคริสตธรรมคัมภีร์ทุก ๆ คน ไม่มีความเกรงกลัวผู้หนึ่งผู้ใด จะเป็นกษัตริย์หรือผู้มีอำนาจก็ตาม  คนของพระเจ้าบันทึกข้อความที่เป็นความจริงทั้งดีและชั่วไว้อย่างพร้อมมูล  เพื่อเป็นตัวอย่างและสอนมนุษย์ให้เอาตัวอย่างดีและเว้นจากตัวอย่างเลว  ยิ่งกว่านั้นผู้เขียนเหล่านั้นมิได้ยกย่องตนเองว่าเป็นผู้เขียน  แต่ได้ประกาศว่าพระเจ้าเป็นผู้ประทานความจริง  โปรดพิจารณาดูคำประกาศของพระคริสตธรรมคัมภีร์ ดังต่อไปนี้
1. พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้า  หมายความว่าเป็นคำตรัสของพระเจ้าผู้มีอำนาจ  (เฮ็บราย 4.12,  1เปโตร 4.11,  โรม 3.2)   พระคริสตธรรมคัมภีร์คือพระดำรัสของพระเจ้า  มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะแก้ไขเพิ่มหรือลด  (วิวรณ์ 22.18-19)
2. มีอานุภาพ  คืออานุภาพเหนือจิตใจของมนุษย์  สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ที่เปิดใจออกศึกษาพระดำรัสของพระเจ้า  ตัวอย่างจากหนังสือ โรม 1.16 "ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องกิตติคุณของพระคริสต์  เพราะว่กิตติคุณนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า คนที่เชื่อถือนั้นได้ถึงที่รอดทุกคน  พวกยูดายก่อนทั้งพวกเฮเลนด้วย (ยิวประชาชาติทั่วโลก)"
3. สั่งสอนทุกสิ่ง  พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นหนังสือที่ติดตามเราไปทั่วทุกแห่งหน  ช่วยสั่งสอนคนให้เป็นคนที่มีศีลธรรมอันดี  เป็นหัวใจของคนทุกชั้นในครอบครัวสามีภรรยาและบุตร  ที่ทำงานนายจ้างและลูกจ้าง  ข้าราชการ  พลเมืองทุกชั้น  ทำให้โลกเรามีสันติสุขทั้งผู้ครอบครองประเทศและพลเมือง (2ติโมเธียว 3.16-17)
4. เป็นแสงสว่าง  นำทางชีวิตมนุษย์ทุกคนมิให้หลงไปในทางอบายมุข  มีสติปัญญาในการตัดสินใจเลือกทางที่ถูกต้องเสมอ (บทเพลงสรรเสริญ 119.105)
5. เป็นอำนาจเด็ดขาด  พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นอำนาจเด็ดขาดเป็นหลักปฏิบัติทุกอย่างในการนมัสการพระเจ้า,  ความรอด,  การดำรงชีวิตประจำวัน  เป็นมาตรฐานอันเดียวที่นำมนุษย์ไปถึงสวรรค์ได  เราต้องฟังเสียงพระดำรัสของพระเจ้า คือพระคริสตธรรมคัมภีร์ (วิวรณ์ 22.18-19,  มัดธาย 7.21, 29,  โยฮัน 12.48-50,  2เธซะโลนิเก 1.7, 9)

เราได้รับพระคริสตธรรมคัมภีร์อย่างไร
    พระเจ้าเป็นผู้ประทานพระคริสตธรรมคัมภีร์แก่มนุษย์   ในสมัยแรก ๆ พระเจ้าติดต่อกับมนุษย์โดยผ่านทางหัวหน้าครอบครัว  แต่สมัยต่อมาก็ติดต่อโดยผ่านทางผู้พยากรณ์  เมื่อพระเจ้าได้ติดต่อกับคนเหล่านั้นเพื่อชี้แจงพระประสงค์ของพระองค์  คนเหล่านั้นก็ได้บันทึกข้อความเอาไว้  เป็นข้อความที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า  ยุคแรก ๆ ข้อความที่คนสำคัญของพระเจ้า เช่น โมเซ,  ศาสดาพยากรณ์, กษัตริย์  คนเหล่านี้ได้บันทึกไว้เป็นม้วน ๆ แล้วในที่สุดก็ได้พัฒนากันมาเรื่อย ๆ จนถึงสมัยที่มีการพิมพ์เป็นเล่ม ๆ และได้มีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ในโลก  และแจกจ่ายไปทุกมุมโลกเป็นภาษาของคนทุกประเทศ  อ่านแล้วเข้าใจเป็นภาษาของตนเองได้  "เมื่อคราวก่อนพระเจ้าได้ตรัสทางพวกผู้พยากรณ์ทีละเล็กทีละน้อย ด้วยอาการหลายวิธีแก่บรรพบุรุษ  แต่ในคราวที่สุดนี้ได้ตรัสแก่เราทางพระบุตร" (เฮ็บราย 1.1-2)

การดลใจของพระคริสตธรรมคัมภีร์
    พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้รับการดลใจอย่างไร  คำว่า "ดลใจ" ความหมายที่เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ การที่พระเจ้าทรงนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการเขียน  "ท่านทั้งหลายจงรู้ข้อนี้ก่อนคือว่าคำพยากรณ์ทุกคำที่จารึกไว้ในพระคัมภีร์แล้ว พวกผู้พยากรณ์ไม่ได้คิดออกตามลำพังใจของตนเอง ด้วยว่าคำพยากรณ์นั้นเมื่อก่อนไม่ได้เป็นมาตามน้ำใจมนุษย์  แต่ว่ามนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้าตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจให้กล่าวนั้น" (2เปโตร 1.20-21)
    พระเจ้าได้ทรงนำให้ผู้เขียนบันทึกข้อความตามน้ำพระทัยของพระองค์  การทรงนำนี้มิได้หมายความว่าพระเจ้าจะควบคุมจิตสำนึกของผู้เขียน  แต่ละคนอาจจะเขียนไปตามแบบฉบับของตนเองตามแบบที่ตนถนัด โดยไม่ขัดกับหลักความจริงทั้งหมด  ผู้เขียนเหล่านี้แม้จะเขียนไปตามถนัด  แต่ข้อความเหล่านั้นสอดคล้องกับน้ำพระทัยพระเจ้าและไม่ขัดแย้งกัน เราจึงรู้ว่าข้อความทั้งสิ้นได้รับการดลใจจากพระเจ้า
 

ตอบคำถามแบบทดสอบ บทที่ 3  คลิกที่นี่