บทที่ 5

บทที่5

 การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์

    มีการมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งได้เกิดขึ้นในโลกนี้  และได้เกิดขึ้นครั้งเดียว  การมหัศจรรย์นี้เป็นหลักสำคัญในความเชื่อของศาสนาคริสต์ คือการที่พระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตายนี้เอง  อัครสาวกเปาโลเป็นผู้ที่ยึดมั่นอยู่ในความเชื่อนี้จนตัวตาย  ท่านได้กล่าวว่า "ถ้าพระคริสต์มิได้ทรงคืนพระชนม์ การเทศนาของเรานั้นก็ไม่มีหลัก ทั้งความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไม่มีหลักด้วย  และก็จะปรากฏว่าเราอ้างพยานเท็จในกิจของพระเจ้า เพราะเราอ้างพยานว่าพระองค์ได้ทรงบันดาลให้พระคริสต์คืนพระชนม์ แต่ถ้าการเป็นขึ้นมาจากตายไม่มีแล้ว พระองค์ก็หาได้ทรงบันดาลให้พระคริสต์คืนพระชนม์ไม่" (1โกรินโธ 15.14-15)

    อัครสาวกเปโตรเป็นคนแรกที่ได้ยืนขึ้นเทศนาหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นจากตายและเสด็จไปสวรรค์แล้วห้าสิบวัน  เขาได้ยืนขึ้นเทศนาที่ยะรูซาเล็ม  ตรงกับเทศกาลเพ็นเทศเต  เมื่อ ค.ศ. 33  การเทศนาของเปโตรในวันนั้นเป็นการเทศนาเรื่องการที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย  ปรากฏในหนังสือกิจการ 2.14-42  นอกจากอัครสาวกเปโตรแล้ว  อัครสาวกคนอื่นและสานุศิษย์ของพระเยซูทุกคนในสมัยแรก ๆ ได้ประกาศเรื่องนี้ด้วย  เรื่องราวการตายของพวกคริสเตียนในสมัยอาณาจักรโรมันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าแต่เป็นเรื่องที่หนุนน้ำใจแก่ผู้ที่ยึดมั่นในความจริงแท้  (กิจการ 3.13-15, 4.33, 17.30,  1โยฮัน 1.1-2,  วิวรณ์ 1.9-10)
    การทรงเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์เจ้า  มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องความตายของมนุษย์ทั้งหลายอย่างมาก  เพราะการตายเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ  มนุษย์ตั้งแต่ในสมัยโบราณและจนถึงปัจจุบันนี้หลีกเลี่ยงจากความตายไม่ได้
    พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้มีอำนาจเหนือความตาย  พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตายได้ทรงเอาชนะความตาย  การเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์  อุโมงค์ที่พระเยซูได้ทรงถูกฝังไว้ ก็ยังคงว่างเปล่าอยู่  แสดงว่าประวัติศาสตร์ได้ยืนยันการทรงเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูคริสต์เจ้า
    ในบทเรียนบทที่ 5 และบทที่ 6  จะนำหลักฐานเกี่ยวกับการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูมาให้ท่านพิจารณา

เหตุการณ์ก่อนและหลังการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู
    ชีวประวัติของพระเยซูในตอนบั้นปลายบรรจุด้วยสาระควรแก่การที่มนุษย์ทั้งหลายจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ  แท้ที่จริงแล้วชีวประวัติของพระเยซูน่าสนใจทั้งหมด แต่ที่น่าสนใจมากที่สุดเรื่อง  การที่พระเยซูคริสต์ขึ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้และเป็นขึ้นมาจากตาย  เรื่องนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์  ในพระกิตติคุณทั้ง 4 คือ หนังสือมัดธาย บทที่ 27  มาระโก บทที่ 14  ลูกาบทที่ 22  และโยฮัน บทที่ 18  พระเยซูได้ออกกระทำพระราชกิจของพระองค์ในที่สาธารณะเมื่อพระองค์มีพระชนม์มายุได้ 30 พรรษา  เสด็จออกสั่งสอนประชาชนทั้งหลายอยู่เป็นเวลา 3 ปีครึ่งแล้วก็ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน
    พระเยซูได้ทรงกระทำการดีแก่คนทั่ว ๆ ไป โดยการรักษาคนเจ็บไข้ต่าง ๆ  ทรงสั่งสอนประชาชนทั้งหลายด้วยความรัก  มีอัครสาวกของพระองค์ที่อยู่ใกล้ชิดและติดตามพระองค์ไปทุกแห่งเสมอ  ประชาชนเป็นจำนวนมากได้พากันติดตามเป็นสาวกของพระเยซู  แต่พระเยซูก็มีผู้ที่ขัดขวางด้วย  คนที่ขัดขวางเหล่านั้นส่วนมากเป็นคนชั้นนำฝ่ายศาสนาของยูดาย  ฝูงชนเป็นจำนวนมากได้พากันติดตามพระเยซู  พวกผู้นำในทางศาสนาของยูดายจึงเกิดความอิจฉา  เกรงว่าประชาชนเหล่านั้นจะเป็นศิษย์ของพระเยซูกันหมด  จึงได้พยายามขัดขวางพระเยซู  จนในที่สุดพระเยซูต้องสิ้นพระชนม์โดยไม่มีความผิด
    พวกผู้นำในทางศาสนายูดาย  ได้ทำการขัดขวางพระเยซู  เพราะความเข้าใจผิดในคำพยากรณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับพระคริสต์หรือพระมาซีฮาซึ่งจะเสด็จมาภายหน้านั้น  พวกเหล่านั้นเข้าใจว่าพระคริสต์หรือพระมาซีฮาจะเสด็จมากู้เอกราชของชนชาติยิว  เมื่อพระเยซูเสด็จมาสั่งสอนพระองค์ไม่ได้สั่งสอนเรื่องการกู้เอกราชหรือการตั้งอาณาจักรฝ่ายโลกนี้  พระองค์จะตั้งอาณาจักรจริง  แต่อาณาจักรของพระองค์ไม่ใช่เป็นอาณาจักรฝ่ายโลกนี้  อาณาจักรของพระองค์เป็นอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจิต
    พระเยซูได้ทรงเลือกอัครสาวก 12 คน คนหนึ่งชื่อยูดา อิศการิโอด ได้ไปเจรจาตกลงกับผู้นำศาสนาเพื่อมอบพระเยซูให้แก่เขาทั้งหลายทำการฆ่าเสีย  พวกปุโรหิตได้ตอบรับคำของยูดา  เหตุการณ์เหล่านี้พระเยซูทรงทราบล่วงหน้าแล้ว  ทรงตระเตรียมต้อนรับเหตุการณ์โดยเสด็จเข้าไปอธิษฐานอยู่ในสวนเฆ็ธเซมาเนพร้อมด้วยเหล่าอัครสาวกของพระองค์  ในสวนเฆ็ธเซมาเนนั้นเองยูดาได้พาสมัครพรรคพวกมาจับพระเยซู  พระเยซูคริสต์ทรงยอมให้เขาจับโดยดี
    หลังจากที่พวกปุโรหิตได้จับพระเยซูไปแล้วได้นำไปไต่สวน  เขาพยายามจะหาพยานปรักปรำพระเยซู  แต่ก็ไม่มีใครสามารถจะจับผิดทำให้มีโทษถึงตายได้  ปีลาตเจ้าเมืองได้ทำการไต่สวนแล้วเห็นว่าพระเยซูไม่มีความผิด  จึงได้ทำพิธีล้างมือเป็นการแสดงว่าตนไม่มีความผิดในการตัดสินพระเยซูครั้งนี้
    ปีลาตไม่กล้าหาญที่จะปล่อยพระเยซู  เพราะเกรงว่าตนเองจะเสื่อมเสียความนับถือจากประชาชน  ท่านจึงยอมให้พวกยิวจัดการกับพระเยซูเอง  พวกยิวได้เสนอให้ปล่อยบาระบาโจรผู้ร้าย  แต่ให้ตรึงพระเยซูบนไม้กางเขน  ปีลาตก็ยอมตามข้อเสนอของประชาชน
    ทหารโรมได้คุมตัวพระเยซูไปเฆี่ยน หมิ่นประมาทพระองค์  บางคนได้ถ่มน้ำลายรด  เอาผ้าสีม่วงมาทำเสื้อคลุมสวมให้เป็นการเยาะเย้ยว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ของพวกยูดาย  พวกทหารได้เอาหนามสานเป็นมงกุฏสวมให้พระเยซู  หลังจากนั้นเขาได้เกณฑ์ให้พระเยซูแบกไม้กางเขนไปยังเนินเขาแห่งหนึ่งนอกกรุงยะรูซาเล็ม  ชื่อว่ากะโหลกศีรษะ บนเนินเขานี้เองเขาได้ตรึงพระเยซูบนไม้กางเขน  ด้านซ้ายและด้านขวาพระเยซูมีโจรผู้ร้ายสองคนถูกตรึง  มีป้ายเขียนไว้เหนือพระเศียรของพระองค์สามภาษามีใจความว่า "เยซูกษัตริย์ของพวกยูดาย"  ศัตรูของพระองค์ได้เยาะเย้ยพูดจาดูหมิ่นพระองค์หลายประการ
    เวลานั้นก็บังเกิดความมืดคลึ้มทั่วแผ่นดินตั้งแต่เวลาเที่ยงจนถึงบ่ายสามโมงเย็น  ขณะที่พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน  พระองค์ได้ตรัสหลายอย่าง  ครั้งหนึ่งพระองค์ได้อธิษฐานเผื่อศัตรูของพระองค์ว่า "โอพระบิดาเจ้า ขอโปรดยกโทษเขา เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร"  (ลูกา 23.34)   ครั้งสุดท้ายพระองค์ได้ตรัสว่า "พระเจ้าข้า ๆ เหตุไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเสีย"  แล้วพระองค์ก็ทรงสิ้นพระชนม์  ขณะนั้นก็เกิดมีแผ่นดินไหว  มีความมืดปกคลุมทั่วไป  ศิลาก็แตกออกจากกัน  ส่วนนายร้อยและคนที่เฝ้าพระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขนนั้น  เมื่อได้เห็นแผ่นดินไหวและการทั้งปวงซึ่งเกิดขึ้น  ก็พากันกลัวยิ่งนัก  จึงพูดกันว่า  "แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระราชบุตรของพระเจ้า"  ม่านซึ่งอยู่ในวิหารก็ขาดออกตั้งแต่ข้างบนถึงข้างล่าง  (มัดธาย 27.54)
    พระเยซูได้ทำนายล่วงหน้าไว้แล้วว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้วสามวัน  พระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่  ปุโรหิตได้ขอร้องให้ปีลาตนำทหารไปเฝ้าที่อุโมงค์ของพระเยซูอย่างแข็งแรง  เศรษฐีคนหนึ่งชื่อโยเซฟเป็นศิษย์ของพระเยซู  ได้เชิญพระศพของพระเยซูไปฝังไว้ในอุโมงค์ของตนเอง  ปีลาตได้ขออนุญาตให้ทหารยามไปเฝ้าไว้ที่ปากอุโมงค์  มีตราของโรมประทับไว้ที่หินเพื่อให้เป็นที่แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดจะลักลอบเอาพระศพของพระเยซูไปได้  หลังจากที่พระเยซูได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์สามวันแล้ว  พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย  พวกทหารที่เฝ้าอยู่ที่ปากอุโมงค์ของพระเยซูต่างก็พากันแตกตื่นตกใจกลัว  วิ่งเข้าไปในเมืองเล่าเหตุการณ์ซึ่งได้เกิดขึ้นให้พวกปุโรหิตใหญ่ฟัง  พวกปุโรหิตใหญ่ก็ได้แจกเงินเป็นอันมากปิดปากทหารเพื่อมิให้แพร่งพรายความจริงนี้แก่ผู้ใด  หลังจากนั้นพระเยซูได้ปรากฏแก่อัครสาวกและสานุศิษย์ของพระองค์ในโลกนี้อีก 40 วัน  แล้วพระองค์ได้ทรงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์  ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์พระองค์ได้ทรงสั่งให้บรรดาอัครสาวกของพระองค์ออกไปประกาศข่าวประเสริฐเรื่องการที่พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตายนี้แก่ชนทุกประเทศ (มัดธาย 28.19-20,  มาระโก 16.16,  ลูกา 24.45-47)

คำพยากรณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับการที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตาย
    การเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูคริสต์มิใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ  แต่เป็นโครงการของพระเจ้าตั้งแต่แรก  ตั้งแต่สมัยโบราณ  มนุษย์เฝ้ารอคอยความหวังที่จะไม่ต้องตาย  แต่ไม่มีสักคนเดียวที่สามารถเอาชนะความตายได้  เพราะพระเยซูคริสต์เป็นผู้เดียวเท่านั้นซึ่งได้ฟื้นคืนพระชนม์เป็นขึ้นมาจากตาย  มีคำพยากรณ์เกี่ยวกับการที่พระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตายไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์เดิม  ขอยกมาให้เห็นบ้างพอประมาณดังต่อไปนี้
    (1) บทเพลงสรรเสริญ 16.10  กษัตริย์ดาวิดเป็นผู้ทำนายไว้ว่า  "เพราะพระองค์จะไม่ทรงทิ้งจิตวิญญาณของข้าพเจ้าไว้ในเมืองผี ทั้งจะไม่ยอมให้ผู้บริสุทธิ์ของพระองค์ถึงซึ่งเปื่อยเน่า"
    (2) ยะซายา 53.10-11  ยะซายาได้ทำนายไว้ว่า พระเยซูจะทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน จะทรงถูกฝังไว้และจะเป็นขึ้นมาจากความตาย
    (3) บทเพลงสรรเสริญ 110.1-2  กษัตริย์ดาวิดได้ทำนายว่า เมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว  พระองค์จะทรงนั่งบนบัลลังก์ชั่วนิรันดร์
    (4) พระเยซูเองก็ทรงทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับการที่พระองค์จะต้องถูกตรึงบนไม้กางเขน  ได้ทรงทำนายว่าหลังจากเขาฝังพระองค์แล้วสามวัน พระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่  ดูหนังสือมัดธาย 17.23, 20.19, 26.2,  ลูกา 17.25,  มาระโก 10.32-34,  ลูกา 18.31-34
    (5) โฮเซอา 6.2  "ต่อไปอีกสองสามวันพระองค์ก็ทรงโปรดให้เราฟื้นขึ้นอีก  และจะทรงโปรดให้เราลุกขึ้นเพื่อจะได้มีชีวิตอยู่พระพักตร์พระองค์"
   
พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตายจริงหรือ?
    เรื่องการทรงเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดในโลก  ศาสนาคริสต์ยึดหลักอันนี้เองเพราะฉะนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่คริสเตียนจะต้องมีพยานพร้อมเพื่อยืนยันให้โลกทราบว่า พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากตายจริง  โปรดพิจารณาดูหลักฐานที่จะนำมาชี้แจงดังต่อไปนี้

พยานจากศัตรูของพระเยซู
    ในสมัยที่พระเยซูยังทรงพระชนม์อยู่  พระองค์ได้ทำการสั่งสอนแก่ฝูงชนเป็นจำนวนมาก  คำสั่งสอนของพระเยซูเป็นคำสั่งสอนที่ถูกต้อง  พระเยซูเป็นผู้ที่พูดความจริงเสมอ  เพราะเนื่องจากคำสั่งสอนของพระองค์มีคนเป็นจำนวนมากเชื่อฟังและติดตามพระองค์  แต่มีคนบางจำพวกที่ไม่เชื่อฟังพระองค์  คอยจับผิดและหาช่องทางที่จะห่าพระองค์เสีย  ศัตรูของพระเยซูส่วนมากเป็นพวกปุโรหิต  พวกอาลักษณ์  พวกยูดายบางคน  ทหารโรม  ในสมัยที่พระองค์ถูกจับและนำไปตรึงบนไม้กางเขน  พวกเขาคอยดูว่าคำที่พระเยซูอ้างไว้ว่า จะทรงเป็นขึ้นมาจากความตายภายในสามวันนั้นจะจริงหรือไม่ (มัดธาย 27.62-66)  พวกศัตรูของพระเยซูเหล่านี้เองเป็นตัวตั้งตัวตีที่ได้นำเอาทหารไปเฝ้าที่ปากอุโมงค์ของพระองค์  เพื่อให้เป็นที่แน่ใจว่าคำกล่าวอ้างของพระเยซูเป็นความจริง เขาได้ประทับตราของโรมอีกด้วย  ใครผู้ใดจะขโมยเอาพระศพหรือเปิดอุโมงค์ไม่ได้เด็ดขาด
    หลังจากที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตาย  พระเยซูได้ปรากฏแก่พวกเหล่านั้นที่เป็นศัตรูของพระองค์  ยังผลทำให้เขาเหล่านั้นประหลาดใจและกลับใจมาเป็นผู้เชื่อพระองค์  พวกเขาได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู  ขอนำพยานจากพวกที่ได้เห็นพระเยซูหลังจากที่พระองค์ได้เป็นขึ้นมาจากตายแล้ว
    (1) พวกแรก เป็นพวกแรกที่ไม่รู้เห็นกับการตายของพระเยซูเลย  คือพวกทหารโรม  นายร้อยคนหนึ่งขณะที่พระเยซูถูกแขวนอยู่บนไม้กางเขนตอนที่เกิดแผ่นดินไหวได้สารภาพว่า  "แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระราชบุตรของพระเจ้า" (มัดธาย 27.54)  อีกพวกหนึ่งเป็นทหารยามเฝ้าอุโมงค์ของพระเยซู  ในวันที่สามขณะเมื่อพระเยซูได้เสด็จออกจากอุโมงค์  ทหารเหล่านั้นได้วิ่งเข้าไปในเมืองเล่าเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นให้แก่พวกปุโรหิตทราบ  ไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่าพวกทหารเหล่านี้มีความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าในเวลาต่อมา (มัดธาย 28.11-14)  
    (2) พวกที่สอง  คือพวกยูดายและพวกปุโรหิตในสมัยที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่  เราพบว่าพวกยูดายและพวกปุโรหิตพยายามหาช่องที่จะจับผิดและสังหารพระเยซู  นายแพทย์ลูกาได้บันทึกให้เราทราบความจริงว่า "การประกาศพระคำของพระเจ้าจึงเจริญขึ้น  และศิษย์ก็ได้ทวีขึ้นเป็นอันมาก ในกรุงยะรูซาเล็ม และพวกปุโรหิตเป็นอันมาก ก็ได้เชื่อฟังในศาสนา" (กิจการ 6.7)  พวกยูดดายซึ่งเป็นสามัญชนธรรมดาอีกพวกหนึ่งได้เข้ามาเชื่อพระเยซู  หลักจากที่พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตายแล้ว  ฝูงชนเหล่านี้เมื่อทราบแน่ชัดว่าพวกเขาได้กระทำบาปที่ได้ฆ่าพระผู้ช่วยให้รอด เขาสำนึกในความผิดของเขา  เมื่อทราบว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตายจริงสมกับคำที่พระองค์ได้ทรงกล่าวเอาไว้  และสมดังคำที่บรรดาศาสดาพยากรณ์ได้ทำนายล่วงหน้าไว้  ฝูงชนพวกเดียวกันกับที่ได้ตะโกนให้ตรึงพระเยซูเสีย  บัดนี้ได้กลายเป็นผู้ที่ติดตามพระเยซู  ฝูงชนเหล่านี้สามพันคนได้ร้องตะโกนพร้อม ๆ กันว่า "พวกข้าพเจ้าจะต้องทำประการใด"  อัครสาวกเปโตรได้ชี้แจงให้ฝูงชนเหล่านั้นรับบัพติศมา (จิ่มลงในน้ำให้มิด)  เพื่อความผิดบาปของเขาทั้งหลายจะยกเสีย  เพราะฉะนั้นฝูงชนสามพันคนจึงได้เปลี่ยนชีวิตมาเป็นคริสเตียน  จำนวนนี้ได้เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ (กิจการ 2.38-41, 4.4)
    (3) พวกที่สาม  ซึ่งเป็นศัตรูของพระเยซูคริสต์  แต่ในที่สุดได้มาเชื่อพระองค์  เพราะการที่พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย  พวกเหล่านี้เป็นเชื้อพระวงศ์ของจักรพรรดิกายะซา (ซีเซอร์) แห่งอาณาจักรโรมในสมัยโบราณ  เปาโลได้บันทึกประวัติศาสตร์การรับเชื่อของชนกลุ่มนี้ไว้ดังนี้  "สิทธิชนทั้งปวงฝากคำคำนับมายังท่านทั้งหลาย มีชาววังกษัตริย์กายะซา เป็นต้น"  สรุปแล้วคนทุกชั้นซึ่งเคยเป็นศัตรูของพระเยซูมีทั้งทหาร,  ข้าราชการ,  พลเรือน,  พวกยูดาย, เชื้อพระวงศ์ของกายะซา  ได้หันเข้ามาเป็นสานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์
 

ตอบคำถามแบบทดสอบ บทที่ 5  คลิกที่นี่