การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์
มีการมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งได้เกิดขึ้นในโลกนี้ และได้เกิดขึ้นครั้งเดียว การมหัศจรรย์นี้เป็นหลักสำคัญในความเชื่อของศาสนาคริสต์ คือการที่พระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตายนี้เอง อัครสาวกเปาโลเป็นผู้ที่ยึดมั่นอยู่ในความเชื่อนี้จนตัวตาย ท่านได้กล่าวว่า "ถ้าพระคริสต์มิได้ทรงคืนพระชนม์ การเทศนาของเรานั้นก็ไม่มีหลัก ทั้งความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไม่มีหลักด้วย และก็จะปรากฏว่าเราอ้างพยานเท็จในกิจของพระเจ้า เพราะเราอ้างพยานว่าพระองค์ได้ทรงบันดาลให้พระคริสต์คืนพระชนม์ แต่ถ้าการเป็นขึ้นมาจากตายไม่มีแล้ว พระองค์ก็หาได้ทรงบันดาลให้พระคริสต์คืนพระชนม์ไม่" (1โกรินโธ 15.14-15)
อัครสาวกเปโตรเป็นคนแรกที่ได้ยืนขึ้นเทศนาหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นจากตายและเสด็จไปสวรรค์แล้วห้าสิบวัน เขาได้ยืนขึ้นเทศนาที่ยะรูซาเล็ม ตรงกับเทศกาลเพ็นเทศเต เมื่อ ค.ศ. 33 การเทศนาของเปโตรในวันนั้นเป็นการเทศนาเรื่องการที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย ปรากฏในหนังสือกิจการ 2.14-42 นอกจากอัครสาวกเปโตรแล้ว อัครสาวกคนอื่นและสานุศิษย์ของพระเยซูทุกคนในสมัยแรก ๆ ได้ประกาศเรื่องนี้ด้วย เรื่องราวการตายของพวกคริสเตียนในสมัยอาณาจักรโรมันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าแต่เป็นเรื่องที่หนุนน้ำใจแก่ผู้ที่ยึดมั่นในความจริงแท้ (กิจการ 3.13-15, 4.33, 17.30, 1โยฮัน 1.1-2, วิวรณ์ 1.9-10)
การทรงเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์เจ้า มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องความตายของมนุษย์ทั้งหลายอย่างมาก เพราะการตายเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ มนุษย์ตั้งแต่ในสมัยโบราณและจนถึงปัจจุบันนี้หลีกเลี่ยงจากความตายไม่ได้
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้มีอำนาจเหนือความตาย พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตายได้ทรงเอาชนะความตาย การเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ อุโมงค์ที่พระเยซูได้ทรงถูกฝังไว้ ก็ยังคงว่างเปล่าอยู่ แสดงว่าประวัติศาสตร์ได้ยืนยันการทรงเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูคริสต์เจ้า
ในบทเรียนบทที่ 5 และบทที่ 6 จะนำหลักฐานเกี่ยวกับการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูมาให้ท่านพิจารณา
เหตุการณ์ก่อนและหลังการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู
ชีวประวัติของพระเยซูในตอนบั้นปลายบรรจุด้วยสาระควรแก่การที่มนุษย์ทั้งหลายจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ แท้ที่จริงแล้วชีวประวัติของพระเยซูน่าสนใจทั้งหมด แต่ที่น่าสนใจมากที่สุดเรื่อง การที่พระเยซูคริสต์ขึ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้และเป็นขึ้นมาจากตาย เรื่องนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ในพระกิตติคุณทั้ง 4 คือ หนังสือมัดธาย บทที่ 27 มาระโก บทที่ 14 ลูกาบทที่ 22 และโยฮัน บทที่ 18 พระเยซูได้ออกกระทำพระราชกิจของพระองค์ในที่สาธารณะเมื่อพระองค์มีพระชนม์มายุได้ 30 พรรษา เสด็จออกสั่งสอนประชาชนทั้งหลายอยู่เป็นเวลา 3 ปีครึ่งแล้วก็ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน
พระเยซูได้ทรงกระทำการดีแก่คนทั่ว ๆ ไป โดยการรักษาคนเจ็บไข้ต่าง ๆ ทรงสั่งสอนประชาชนทั้งหลายด้วยความรัก มีอัครสาวกของพระองค์ที่อยู่ใกล้ชิดและติดตามพระองค์ไปทุกแห่งเสมอ ประชาชนเป็นจำนวนมากได้พากันติดตามเป็นสาวกของพระเยซู แต่พระเยซูก็มีผู้ที่ขัดขวางด้วย คนที่ขัดขวางเหล่านั้นส่วนมากเป็นคนชั้นนำฝ่ายศาสนาของยูดาย ฝูงชนเป็นจำนวนมากได้พากันติดตามพระเยซู พวกผู้นำในทางศาสนาของยูดายจึงเกิดความอิจฉา เกรงว่าประชาชนเหล่านั้นจะเป็นศิษย์ของพระเยซูกันหมด จึงได้พยายามขัดขวางพระเยซู จนในที่สุดพระเยซูต้องสิ้นพระชนม์โดยไม่มีความผิด
พวกผู้นำในทางศาสนายูดาย ได้ทำการขัดขวางพระเยซู เพราะความเข้าใจผิดในคำพยากรณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับพระคริสต์หรือพระมาซีฮาซึ่งจะเสด็จมาภายหน้านั้น พวกเหล่านั้นเข้าใจว่าพระคริสต์หรือพระมาซีฮาจะเสด็จมากู้เอกราชของชนชาติยิว เมื่อพระเยซูเสด็จมาสั่งสอนพระองค์ไม่ได้สั่งสอนเรื่องการกู้เอกราชหรือการตั้งอาณาจักรฝ่ายโลกนี้ พระองค์จะตั้งอาณาจักรจริง แต่อาณาจักรของพระองค์ไม่ใช่เป็นอาณาจักรฝ่ายโลกนี้ อาณาจักรของพระองค์เป็นอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจิต
พระเยซูได้ทรงเลือกอัครสาวก 12 คน คนหนึ่งชื่อยูดา อิศการิโอด ได้ไปเจรจาตกลงกับผู้นำศาสนาเพื่อมอบพระเยซูให้แก่เขาทั้งหลายทำการฆ่าเสีย พวกปุโรหิตได้ตอบรับคำของยูดา เหตุการณ์เหล่านี้พระเยซูทรงทราบล่วงหน้าแล้ว ทรงตระเตรียมต้อนรับเหตุการณ์โดยเสด็จเข้าไปอธิษฐานอยู่ในสวนเฆ็ธเซมาเนพร้อมด้วยเหล่าอัครสาวกของพระองค์ ในสวนเฆ็ธเซมาเนนั้นเองยูดาได้พาสมัครพรรคพวกมาจับพระเยซู พระเยซูคริสต์ทรงยอมให้เขาจับโดยดี
หลังจากที่พวกปุโรหิตได้จับพระเยซูไปแล้วได้นำไปไต่สวน เขาพยายามจะหาพยานปรักปรำพระเยซู แต่ก็ไม่มีใครสามารถจะจับผิดทำให้มีโทษถึงตายได้ ปีลาตเจ้าเมืองได้ทำการไต่สวนแล้วเห็นว่าพระเยซูไม่มีความผิด จึงได้ทำพิธีล้างมือเป็นการแสดงว่าตนไม่มีความผิดในการตัดสินพระเยซูครั้งนี้
ปีลาตไม่กล้าหาญที่จะปล่อยพระเยซู เพราะเกรงว่าตนเองจะเสื่อมเสียความนับถือจากประชาชน ท่านจึงยอมให้พวกยิวจัดการกับพระเยซูเอง พวกยิวได้เสนอให้ปล่อยบาระบาโจรผู้ร้าย แต่ให้ตรึงพระเยซูบนไม้กางเขน ปีลาตก็ยอมตามข้อเสนอของประชาชน
ทหารโรมได้คุมตัวพระเยซูไปเฆี่ยน หมิ่นประมาทพระองค์ บางคนได้ถ่มน้ำลายรด เอาผ้าสีม่วงมาทำเสื้อคลุมสวมให้เป็นการเยาะเย้ยว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ของพวกยูดาย พวกทหารได้เอาหนามสานเป็นมงกุฏสวมให้พระเยซู หลังจากนั้นเขาได้เกณฑ์ให้พระเยซูแบกไม้กางเขนไปยังเนินเขาแห่งหนึ่งนอกกรุงยะรูซาเล็ม ชื่อว่ากะโหลกศีรษะ บนเนินเขานี้เองเขาได้ตรึงพระเยซูบนไม้กางเขน ด้านซ้ายและด้านขวาพระเยซูมีโจรผู้ร้ายสองคนถูกตรึง มีป้ายเขียนไว้เหนือพระเศียรของพระองค์สามภาษามีใจความว่า "เยซูกษัตริย์ของพวกยูดาย" ศัตรูของพระองค์ได้เยาะเย้ยพูดจาดูหมิ่นพระองค์หลายประการ
เวลานั้นก็บังเกิดความมืดคลึ้มทั่วแผ่นดินตั้งแต่เวลาเที่ยงจนถึงบ่ายสามโมงเย็น ขณะที่พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ได้ตรัสหลายอย่าง ครั้งหนึ่งพระองค์ได้อธิษฐานเผื่อศัตรูของพระองค์ว่า "โอพระบิดาเจ้า ขอโปรดยกโทษเขา เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร" (ลูกา 23.34) ครั้งสุดท้ายพระองค์ได้ตรัสว่า "พระเจ้าข้า ๆ เหตุไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเสีย" แล้วพระองค์ก็ทรงสิ้นพระชนม์ ขณะนั้นก็เกิดมีแผ่นดินไหว มีความมืดปกคลุมทั่วไป ศิลาก็แตกออกจากกัน ส่วนนายร้อยและคนที่เฝ้าพระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขนนั้น เมื่อได้เห็นแผ่นดินไหวและการทั้งปวงซึ่งเกิดขึ้น ก็พากันกลัวยิ่งนัก จึงพูดกันว่า "แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระราชบุตรของพระเจ้า" ม่านซึ่งอยู่ในวิหารก็ขาดออกตั้งแต่ข้างบนถึงข้างล่าง (มัดธาย 27.54)
พระเยซูได้ทำนายล่วงหน้าไว้แล้วว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้วสามวัน พระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ปุโรหิตได้ขอร้องให้ปีลาตนำทหารไปเฝ้าที่อุโมงค์ของพระเยซูอย่างแข็งแรง เศรษฐีคนหนึ่งชื่อโยเซฟเป็นศิษย์ของพระเยซู ได้เชิญพระศพของพระเยซูไปฝังไว้ในอุโมงค์ของตนเอง ปีลาตได้ขออนุญาตให้ทหารยามไปเฝ้าไว้ที่ปากอุโมงค์ มีตราของโรมประทับไว้ที่หินเพื่อให้เป็นที่แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดจะลักลอบเอาพระศพของพระเยซูไปได้ หลังจากที่พระเยซูได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์สามวันแล้ว พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย พวกทหารที่เฝ้าอยู่ที่ปากอุโมงค์ของพระเยซูต่างก็พากันแตกตื่นตกใจกลัว วิ่งเข้าไปในเมืองเล่าเหตุการณ์ซึ่งได้เกิดขึ้นให้พวกปุโรหิตใหญ่ฟัง พวกปุโรหิตใหญ่ก็ได้แจกเงินเป็นอันมากปิดปากทหารเพื่อมิให้แพร่งพรายความจริงนี้แก่ผู้ใด หลังจากนั้นพระเยซูได้ปรากฏแก่อัครสาวกและสานุศิษย์ของพระองค์ในโลกนี้อีก 40 วัน แล้วพระองค์ได้ทรงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์พระองค์ได้ทรงสั่งให้บรรดาอัครสาวกของพระองค์ออกไปประกาศข่าวประเสริฐเรื่องการที่พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตายนี้แก่ชนทุกประเทศ (มัดธาย 28.19-20, มาระโก 16.16, ลูกา 24.45-47)
คำพยากรณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับการที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตาย
การเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูคริสต์มิใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นโครงการของพระเจ้าตั้งแต่แรก ตั้งแต่สมัยโบราณ มนุษย์เฝ้ารอคอยความหวังที่จะไม่ต้องตาย แต่ไม่มีสักคนเดียวที่สามารถเอาชนะความตายได้ เพราะพระเยซูคริสต์เป็นผู้เดียวเท่านั้นซึ่งได้ฟื้นคืนพระชนม์เป็นขึ้นมาจากตาย มีคำพยากรณ์เกี่ยวกับการที่พระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตายไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์เดิม ขอยกมาให้เห็นบ้างพอประมาณดังต่อไปนี้
(1) บทเพลงสรรเสริญ 16.10 กษัตริย์ดาวิดเป็นผู้ทำนายไว้ว่า "เพราะพระองค์จะไม่ทรงทิ้งจิตวิญญาณของข้าพเจ้าไว้ในเมืองผี ทั้งจะไม่ยอมให้ผู้บริสุทธิ์ของพระองค์ถึงซึ่งเปื่อยเน่า"
(2) ยะซายา 53.10-11 ยะซายาได้ทำนายไว้ว่า พระเยซูจะทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน จะทรงถูกฝังไว้และจะเป็นขึ้นมาจากความตาย
(3) บทเพลงสรรเสริญ 110.1-2 กษัตริย์ดาวิดได้ทำนายว่า เมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พระองค์จะทรงนั่งบนบัลลังก์ชั่วนิรันดร์
(4) พระเยซูเองก็ทรงทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับการที่พระองค์จะต้องถูกตรึงบนไม้กางเขน ได้ทรงทำนายว่าหลังจากเขาฝังพระองค์แล้วสามวัน พระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ดูหนังสือมัดธาย 17.23, 20.19, 26.2, ลูกา 17.25, มาระโก 10.32-34, ลูกา 18.31-34
(5) โฮเซอา 6.2 "ต่อไปอีกสองสามวันพระองค์ก็ทรงโปรดให้เราฟื้นขึ้นอีก และจะทรงโปรดให้เราลุกขึ้นเพื่อจะได้มีชีวิตอยู่พระพักตร์พระองค์"
พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตายจริงหรือ?
เรื่องการทรงเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดในโลก ศาสนาคริสต์ยึดหลักอันนี้เองเพราะฉะนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่คริสเตียนจะต้องมีพยานพร้อมเพื่อยืนยันให้โลกทราบว่า พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากตายจริง โปรดพิจารณาดูหลักฐานที่จะนำมาชี้แจงดังต่อไปนี้
พยานจากศัตรูของพระเยซู
ในสมัยที่พระเยซูยังทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ได้ทำการสั่งสอนแก่ฝูงชนเป็นจำนวนมาก คำสั่งสอนของพระเยซูเป็นคำสั่งสอนที่ถูกต้อง พระเยซูเป็นผู้ที่พูดความจริงเสมอ เพราะเนื่องจากคำสั่งสอนของพระองค์มีคนเป็นจำนวนมากเชื่อฟังและติดตามพระองค์ แต่มีคนบางจำพวกที่ไม่เชื่อฟังพระองค์ คอยจับผิดและหาช่องทางที่จะห่าพระองค์เสีย ศัตรูของพระเยซูส่วนมากเป็นพวกปุโรหิต พวกอาลักษณ์ พวกยูดายบางคน ทหารโรม ในสมัยที่พระองค์ถูกจับและนำไปตรึงบนไม้กางเขน พวกเขาคอยดูว่าคำที่พระเยซูอ้างไว้ว่า จะทรงเป็นขึ้นมาจากความตายภายในสามวันนั้นจะจริงหรือไม่ (มัดธาย 27.62-66) พวกศัตรูของพระเยซูเหล่านี้เองเป็นตัวตั้งตัวตีที่ได้นำเอาทหารไปเฝ้าที่ปากอุโมงค์ของพระองค์ เพื่อให้เป็นที่แน่ใจว่าคำกล่าวอ้างของพระเยซูเป็นความจริง เขาได้ประทับตราของโรมอีกด้วย ใครผู้ใดจะขโมยเอาพระศพหรือเปิดอุโมงค์ไม่ได้เด็ดขาด
หลังจากที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตาย พระเยซูได้ปรากฏแก่พวกเหล่านั้นที่เป็นศัตรูของพระองค์ ยังผลทำให้เขาเหล่านั้นประหลาดใจและกลับใจมาเป็นผู้เชื่อพระองค์ พวกเขาได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู ขอนำพยานจากพวกที่ได้เห็นพระเยซูหลังจากที่พระองค์ได้เป็นขึ้นมาจากตายแล้ว
(1) พวกแรก เป็นพวกแรกที่ไม่รู้เห็นกับการตายของพระเยซูเลย คือพวกทหารโรม นายร้อยคนหนึ่งขณะที่พระเยซูถูกแขวนอยู่บนไม้กางเขนตอนที่เกิดแผ่นดินไหวได้สารภาพว่า "แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระราชบุตรของพระเจ้า" (มัดธาย 27.54) อีกพวกหนึ่งเป็นทหารยามเฝ้าอุโมงค์ของพระเยซู ในวันที่สามขณะเมื่อพระเยซูได้เสด็จออกจากอุโมงค์ ทหารเหล่านั้นได้วิ่งเข้าไปในเมืองเล่าเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นให้แก่พวกปุโรหิตทราบ ไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่าพวกทหารเหล่านี้มีความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าในเวลาต่อมา (มัดธาย 28.11-14)
(2) พวกที่สอง คือพวกยูดายและพวกปุโรหิตในสมัยที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ เราพบว่าพวกยูดายและพวกปุโรหิตพยายามหาช่องที่จะจับผิดและสังหารพระเยซู นายแพทย์ลูกาได้บันทึกให้เราทราบความจริงว่า "การประกาศพระคำของพระเจ้าจึงเจริญขึ้น และศิษย์ก็ได้ทวีขึ้นเป็นอันมาก ในกรุงยะรูซาเล็ม และพวกปุโรหิตเป็นอันมาก ก็ได้เชื่อฟังในศาสนา" (กิจการ 6.7) พวกยูดดายซึ่งเป็นสามัญชนธรรมดาอีกพวกหนึ่งได้เข้ามาเชื่อพระเยซู หลักจากที่พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตายแล้ว ฝูงชนเหล่านี้เมื่อทราบแน่ชัดว่าพวกเขาได้กระทำบาปที่ได้ฆ่าพระผู้ช่วยให้รอด เขาสำนึกในความผิดของเขา เมื่อทราบว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตายจริงสมกับคำที่พระองค์ได้ทรงกล่าวเอาไว้ และสมดังคำที่บรรดาศาสดาพยากรณ์ได้ทำนายล่วงหน้าไว้ ฝูงชนพวกเดียวกันกับที่ได้ตะโกนให้ตรึงพระเยซูเสีย บัดนี้ได้กลายเป็นผู้ที่ติดตามพระเยซู ฝูงชนเหล่านี้สามพันคนได้ร้องตะโกนพร้อม ๆ กันว่า "พวกข้าพเจ้าจะต้องทำประการใด" อัครสาวกเปโตรได้ชี้แจงให้ฝูงชนเหล่านั้นรับบัพติศมา (จิ่มลงในน้ำให้มิด) เพื่อความผิดบาปของเขาทั้งหลายจะยกเสีย เพราะฉะนั้นฝูงชนสามพันคนจึงได้เปลี่ยนชีวิตมาเป็นคริสเตียน จำนวนนี้ได้เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ (กิจการ 2.38-41, 4.4)
(3) พวกที่สาม ซึ่งเป็นศัตรูของพระเยซูคริสต์ แต่ในที่สุดได้มาเชื่อพระองค์ เพราะการที่พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย พวกเหล่านี้เป็นเชื้อพระวงศ์ของจักรพรรดิกายะซา (ซีเซอร์) แห่งอาณาจักรโรมในสมัยโบราณ เปาโลได้บันทึกประวัติศาสตร์การรับเชื่อของชนกลุ่มนี้ไว้ดังนี้ "สิทธิชนทั้งปวงฝากคำคำนับมายังท่านทั้งหลาย มีชาววังกษัตริย์กายะซา เป็นต้น" สรุปแล้วคนทุกชั้นซึ่งเคยเป็นศัตรูของพระเยซูมีทั้งทหาร, ข้าราชการ, พลเรือน, พวกยูดาย, เชื้อพระวงศ์ของกายะซา ได้หันเข้ามาเป็นสานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์