การที่บุคคลจุ่มลงในน้ำมีจุดประสงค์ มีเหตุผลอะไร มีความหมายและความสำคัญอย่างไร ถ้าจะเป็นคริสเตียนไม่ต้องจุ่มในน้ำไม่ได้หรือ การรับบัพติศมานี้มีความสำคัญมาก ถ้าเราปฏิเสธการรับบัพติศมาก็เท่ากับว่าเราปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธพระเยซูและคำสั่งสอนของพระเยซู และปฏิเสธโครงการแห่งความรอดที่พระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้ก่อนสร้างโลก การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูเป็นการไร้ประโยชน์ พระโลหิตของพระเยซูที่หลั่งไหลเพื่อคนเป็นอันมากก็ไม่มีความหมาย โปรดพิจารณาดูข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์ซึ่งชี้แจงจุดประสงค์การรับบัพติศมา ดังต่อไปนี้
ข. เพื่อความผิดบาปจะยกเสีย กิจการ 2.38
ค. เพื่อลบล้างความผิดบาป กิจการ 22.16
ง. เพื่อรอด 1เปโตร 3.21
จ. เพื่อความชื่นชมยินดี กิจการ 8.39
ฉ. เพื่อเข้าส่วนในความตายของพระเยซู โรม 6.3-5 "ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระเยซูคริสต์ ได้รับบัพติศมานั้นเข้าส่วนในความตายของพระองค์ เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายก็ถูกฝังไว้กับพระองค์แล้วโดยบัพติศมาเข้าส่วนในความตายนั้น เพื่อพระคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายโดยเดชพระรัศมีของพระบิดาเจ้าอย่างไร เราทั้งหลายจะได้ประพฤติตามชีวิตใหม่อย่างนั้น เพราะว่าถ้าเราร่วมสนิทกับพระองค์แล้วโดยได้ตายเหมือนอย่างพระองค์ เราคงจะร่วมสนิทกับพระองค์โดยได้เป็นขึ้นมา เหมือนอย่างพระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายนั้นด้วย"
ช. เพื่อตกแต่งตัวด้วยพระคริสต์ ฆะลาเตีย 3.24 "เหตุว่าคนทั้งหลายที่รับบัพติศมาเข้าสนิทกับพระคริสต์แล้ว ก็ได้ตกแต่งตัวด้วยพระคริสต์" ข้อความนี้ชี้แจงว่าเมื่อเรารับบัพติศมาแล้วเราก็ตกแต่งตัวเราเสียใหม่เป็นเหมือนพระเยซู ทำไมต้องเป็นเหมือนกับพระเยซู เพราะพระเยซูทรงเป็นตัวอย่างอันดีแก่เราทั้งหลาย ชีวิตของพระเยซูเป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ เราก็คงรจะตกแต่งตัวของเราเหมือนกับพระเยซู
ตัวอย่างการับบัพติศมาซึ่งเราอ่านพบได้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์
หนังสือกิจการเป็นหนังสือที่น่ายแพทย์ลูกาได้เขียนขึ้นเพื่อจะชี้แจงว่าบรรดากิจการของคริสตจักรกระทำกันอย่างไรบ้าง รวมทั้งสอนว่าเมื่อบุคคลจะเป็นคริสเตียนเขากระทำกันอย่างไร
(1) ประชาชนทั้งหลายในวันเพ็นเทศเต เมื่อ ค.ศ. 33 รับบัพิตศมา 3,00 คน ในวันเดียว กิจการ 2.41
(2) ชาวซะมาเรียนได้รับบัพิตศมา กิจการ 8.13
(3) ขันทีรับบัพติศมา กิจการ 8.36-39
(4) เซาโลแห่งเมื่อตาระโซรับบัพติศมา กิจการ 9.18
(5) โกระเนเลียว นายร้อยประจำอยู่ที่กายซาไรอา รับบัพติศมา กิจการ 10.47-48
(6) นางลุเดีย ได้รับบัพิตศมา กิจการ 16.15
(7) นายคุกที่เมืองฟิลิปปอยรับบัพิตศมา กิจการ 16.33
(8) ชาวโกรินโธรับบัพิตศมา กิจการ 18.8
(9) ชาวเอเฟโซรับบัพติศมา กิจการ 19.5
ตัวอย่างทั้งหมดที่นำมากล่าวในที่นี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้มีความประสงค์อยากจะเป็นคริสเตียนจำเป็นต้องรับบัพติศมาทุกราย ไม่มีรายไหนที่ยกเว้น เพราะฉะนั้นเราจึงสรุปได้ว่าการรับบัพติศมามีความสำคัญมากในการยอมรับบุคคลเข้าเป็นคริสเตียน พระเยซูตรัสว่า "เราบอกท่านตามจริงว่าถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดจากน้ำ และพระวิญญาณจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้" (โยฮัน 3.5) ข้อนี้สอนว่าการบังเกิดด้วยน้ำเป็นสิ่งจำเป็น และในกิจการ 2.47 "ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลาย ซึ่งกำลังจะพ้นความผิดบาปของตนมาเข้ากับจำพวกสาวกทวีขึ้นทุกวัน ๆ" ข้อนี้ชี้แจงว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดให้ผู้ที่รับบัพติศมาแล้วเข้าไปสู่พระราชอาณาจักรของพระองค์ บุคคลที่ได้รับบัพติศมาแล้วพระเจ้าได้ทรงโปรดย้ายเขาให้ออกจากอาณาจักรความมืดเข้าในอาณาจักรแห่งความสว่าง และในโกโลซาย 1.13-14 กล่าวว่า "ได้ทรงช่วยเราทั้งหลายให้พ้นจากอำนาจแห่งความมืด และได้ทรงย้ายเรามาตั้งไว้ในแผ่นดินแห่งพระบุตรที่รักของพระองค์ ในพระองค์นั้นเราทั้งหลายจึงได้รับการไถ่ คือทรงโปรดยกความผิดทั้งหลายของเรา"
หลังจากรับบัพติศมาต้องทำอะไรอีก
หลักจากที่บุคคลได้รับบัพติศมาแล้ว เขาก็ได้รับความรอด เขาถูกเรียกว่าเป็นคริสเตียน เป็นบุตรของพระเจ้า ฆะลาเตีย 4.7 "เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจึงไม่ได้เป็นทาสต่อไปแต่เป็นบุตร ถ้าเป็นบุตรแล้ว ท่านจึงเป็นทายาทโดยอาศัยพระเจ้า" การรับบัพติศมามิใช่เป็นการสิ้นสุด การรับบัพติศมาเป็นการเริ่มต้น คล้ายกลับทารกที่บังเกิดใหม่ในครอบครัวของพระเจ้า ทารกจะวัฒนาเป็นผู้ใหญ่ต้องใช้เวลานาน ต้องทานอาหาร ต้องออกกำลังกาย ด้วยความรักจากพ่อแม่ เด็กทารกก็จะวัฒนาขึ้นเป็นผู้ใหญ่ฉันใดก็ดีชีวิตคริสเตียนก็เหมือนกัน เมื่อบุคคลใดเป็นคริสเตียนแล้ว พระเจ้าปรารถนาที่จะให้บุคคลนั้นเจริญขึ้น มีความเชื่อ มีความรัก มีความเพียร และคุณสมบัติอื่น ๆ อีก พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนว่า "อันที่จริงเพราะเหตุนั้นเอง ท่านจงอุตส่าห์จนสุดกำลังที่จะเอาความเชื่อเพิ่มด้วยความดี เอาความดีเพิ่มด้วยความรู้ เอาความรู้เพิ่มด้วยความเหนี่ยวรั้งตน เอาความเหนี่ยวรั้งตนเพิ่มด้วยขันตี และเอาขันตีเพิ่มด้วยธรรม เอาธรรมเพิ่มด้วยความรักระหว่างพวกพี่น้อง และเอาความรักระหว่างพวกพี่น้องเพิ่มด้วยความรักระหว่างคนทั่วไป ถ้ามีใจอย่างนั้นอยู่ในท่านทั้งหลายพร้อมบริบูรณ์แล้ว ก็จะกระทำให้ท่านขวนขวายและเกิดผลในความรู้จักพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยว่าผู้ใดที่ขาดสิ่งเหล่านั้นเป็นคนตาบอดตาสั้น และลืมการซึ่งชำระความผิดของตนเมื่อก่อนนั้นเสียแล้ว เหตุฉะนั้นดูก่อนพวกพี่น้องทั้งหลาย จงยิ่งอุตส่าห์กระทำให้การที่พระเจ้าทรงเรียก และเลือกท่านไว้แล้วนั้นให้ถึงที่สำเร็จแน่นอน ด้วยว่าถ้าได้ประพฤติเช่นนั้นท่านจะไม่สะดุด ด้วยว่าอย่างนั้นแหละท่านทั้งหลายจะได้มีสิทธิสมบูรณ์ ที่จะเข้าในนิตยภูมิของพระเยซูคริสต์เจ้าผู้เป็นที่รอดของเรา" (1เปโตร 1.5-11) ข้อความนี้สอนว่าผู้ที่เป็นคริสเตียนจะต้องเพิ่มเติมคุณสมบัติทีละขั้น ๆ เมื่อมีคุณสมบัติครบก็หมายความว่าจะไม่เป็นคนตาบอดตาสั้นในฝ่ายวิญญาณจิต สิ่งสำคัญที่พระเยซูสอนคือว่า ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีอานุภาพมาก เป็นศาสนาที่เป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ ศาสนาคริสต์ไม่ใช่เป็นแต่เพียงพิธีรีตองเท่านั้น ฉะนั้นทุกสิ่งที่พระเยซูสอนไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ คริสเตียนทุกคนควรปฏิบัติตาม ผู้ที่รับบัพติศมาแล้วมีข้อแนะนำดังต่อไปนี้ ถ้าสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำนี้ก็จะช่วยให้บุคคลนั้น ๆ เป็นคริสเตียนที่สมบูรณ์ได้
1. จะละประถมโอวาทตอนต้น ๆ เฮ็บราย 6.1-3 "เหตุฉะนั้นให้เราละประถมโอวาทของพระคริสต์ไว้ และให้เราก้าวหน้าไปถึงความบริบูรณ์ อย่าเอาสิ่งเหล่านี้มาวางเป็นรากอีกเลย คือการกลับใจเสียใหม่จากการประพฤติที่ตายแล้ว และความเชื่อในพระเจ้า และคำสอนว่าด้วยบัพติศมา และการวางมือ และการเป็นขึ้นมาจากตาย และการพิพากษาปรับโทษเป็นนิตย์นั้น ถ้าพระเจ้าจะทรงโปรดอนุญาต เราก็จะกระทำอย่างนี้ได้" จากข้อความนี้ชี้แจงว่าเมื่อบุคคลรับบัพติศมาแล้วเขาควรจะละประถมโอวาทเดิม ก้าวหน้าต่อไปถึงความบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์เจ้า บางคนเป็นคริสเตียนเป็นเวลาหลายปี แต่ความเชื่อยังไม่จำเริญขึ้น บางคนก็กลับไปกระทำผิดอีกเป็นที่อับอายขายหน้าแก่พระเยซูและแก่ผู้ที่เป็นพี่น้องคริสเตียน
2. ควรดำเนินอยู่ในความสว่าง 1โยฮัน 1.7 " แต่ถ้าเราดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์สถิตอยู่ในความสว่าง เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ได้ทรงชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น" ข้อความนี้ชี้แจงว่าผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้วจำเป็นต้องดำเนินอยู่ในความสว่าง ประพฤติตนเป็นคนชอบธรรม ไม่สนใจเรื่องราคะตัณหาฝ่ายโลกนี้ 1โยฮัน 2.15 "อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าคนใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย" ตราบใดที่บุคคลดำรงชีวิตอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ซาตานซึ่งเป็นอำนาจชั่วไม่สามารถต่อสู้กับเราได้ 1โยฮัน 5.18 "เราทั้งหลายรู้แล้วว่าคนใดที่บังเกิดจากพระเจ้าไม่ได้มีปกติกระทำบาป แต่ว่าคนที่บังเกิดจากพระเจ้าได้ระวังรักษาตัว และมารนั้นไม่ได้แตะต้องคนนั้นเลย"
3. ต้องศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์ทุกวัน พระเยซูตรัสว่า "ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า มีคำเขียนไว้ว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้แต่ด้วยบรรดาโอวาท ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า" (มัดธาย 4.4) การศึกษาหาความรู้จะทำให้เราเข่าใจถึงพระประสงค์พระเจ้าดีขึ้น ความรู้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์เพิ่มเติมความเชื่อของเรามากยิ่งขึ้น ศาสนาคิรสต์มิใช่เป็นศาสนาท่องบ่น แต่เป็นศาสนาที่สอนให้คนรู้จักก้าวหน้าค้นคว้าหาความรู้เสมอ เปาโลกล่าวว่า "ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องกิตติคุณของพระคริสต์ เพราะว่ากิตติคุณนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าให้คนทั้งปวงที่เชื่อนั้นได้ถึงที่รอดทุกคน พวกยูดายก่อน ทั้งพวกเฮเลนด้วย" (โรม 1.16) ข้อความนี้ชี้แจงว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพลังที่จะนำบุคคลไปถึงซึ่งความรอดได้ และเมื่อได้รับความรอดแล้วพระคริสตธรรมคัมภีร์ก็เป็นดุจอาหารที่จะเลี้ยงคริสเตียนให้เจริญขึ้น "ดั่งทารกที่บังเกิดใหม่ ท่านทั้งหลายจงปรารถนาที่จะได้น้ำนมที่สมกับฝ่ายวิญญาณ และปราศจากอุบาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้วัฒนาขึ้นไปสู่ความรอดด้วยน้ำนมนั้น" (1เปโตร 2.2)
4. ต้องอธิษฐานเสมอ การอธิษฐานก็คือการสนทนากับพระเจ้านั่นเอง 1เธซะโลนิเก 5.17-18 "จงอธิษฐานเสมออย่าเว้น จงขอบพระคุณสำหรับทุกสิ่ง เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ปรากฏในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย" มีข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่สอนเรื่องการอธิษฐานอีกมาก การอธิษฐานมีความสำคัญเท่า ๆ กับลมหายใจเข้าออกของเรา การอธิษฐานไม่จำเป็นจะต้องทำเวลามาประชุมนมัสการพระเจ้า แต่ทำที่ไหนก็ได้ พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในการอธิษฐาน "ในพวกท่านผู้ใดทนทุกข์หรือ ก็ให้ผู้นั้นอธิษฐาน มีผู้ใดชื่นชมยินดีหรือ ก็ให้ผู้นั้นร้องเพลงสรรเสริญ" (ยาโกโบ 5.13)
5. ต้องไปร่วมประชุมนมัสการกับพี่น้องคริสเตียนคนอื่นทุกครั้งที่มีการประชุม พระเยซูตรัสว่า "ด้วยว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหน ๆ ในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น" (มัดธาย 18.20) ทำไมการไปร่วมประชุมนมัสการจึงสำคัญ การประชุมร่วมกับพี่น้องก็เพื่อหนุนน้ำใจซึ่งกันและกัน เพื่อร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อนมัสการพระเจ้า เพื่อกระทำพิธีระลึกถึงพระเยซูคริสต์เจ้า (มัดธาย 26.26, ลูกา 22.19-22, 1โกรินโธ 11.12-23) เพื่อถวายทรัพย์ (1โกรินโธ 16.2) สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คริสเตียนกระทำกันเป็นประจำทุกวันอาทิตย์ เพราะเหตุนี้เองพระคริสตธรรมคัมภีร์จึงเน้นเรื่องการไปร่วมประชุมกับพี่น้องทุกครั้งที่มีการประชุมนมัสการ เฮ็บราย 10.25 "ซึ่งเราเคยประชุมกันนั้นอย่าให้หยุด เหมือนอย่างบางคนเคยกระทำนั้น แต่จงเตือนสติกัน และให้มากยิ่งขึ้นเมื่อท่านทั้งหลายเห็นวันเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว"
6. ต้องสอนคนอื่นให้เป็นคริสเตียนด้วย พระเยซูสั่งอัครสาวกใน มัดธาย 28.19-2 ให้เขาทั้งหลายออกไปสั่งสอนชนทุกประเทศ เขาทั้งหลายได้ออกไปแล้ว ผลปรากฎว่ามีคริสเตียนมากมายในโลกนี้ ในทำนองเดียวกันเราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนแล้วมีหน้าที่โดยตรงในการประกาศให้คนอื่นรู้ถึงเรื่องทางแห่งความรอดที่เราได้พบด้วยตัวของเราเอง พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนว่า "ด้วยว่าครั้นท่านทั้งหลายควรจะเป็นครูได้แล้ว แต่ท่านก็ยังต้องการให้คนอื่นสอนท่านอีก ให้รู้ถึงประถมโอวาทตอนต้น ๆ ของพระเจ้า และท่านทั้งหลายกลายเป็นคนที่ยังต้องการกินน้ำนมไม่ใช่อาหารแข็ง เพราะว่า ทุกคนที่ยังกินน้ำนมอยู่ ไม่เป็นคนชำนาญในถ้อยคำแห่งความชอบธรรม ด้วยว่าเขายังเป็นทารกอยู่ แต่อาหารแข็งนั้น เป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่ คือผู้ที่เคยฝึกหัดความคิดของเขา จนสังเกตได้ว่า ไหนดีไหนชั่ว" (เฮ็บราย 5.12-14) ข้อนี้สอนว่าบุคคลที่เป็นคริสเตียนมานานแล้วควรจะสามารถสอนคนอื่นได้ แต่ยังหย่อนสมรรถภาพไม่สามารถสอนคนอื่น บุคคลที่ไม่สามารถสอนคนอื่นได้ก็เหมือนกับผู้ใหญ่ที่โตแล้วแต่ยังกินน้ำนมอยู่ และถ้าคริสเตียนไม่เกิดผลที่สุดก็จะต้องถูกตัดทิ้งและเผาไฟเสีย (โยฮัน 15.5-7)
7. ต้องเป็นคนสัตย์ซื่อตราบเท่าวันตาย "อย่ากลัวต่อเหตุการณ์เหล่านั้นซึ่งเจ้าจะต้องทนเอา นี่แน่ะมารจะเอาพวกเจ้าบางคนใส่คุกไว้เพื่อจะได้ลองดูใจเจ้า และเจ้าทั้งหลายจะได้รับทุกข์ลำบากถึงสิบวัน แต่เจ้าจงเป็นผู้สัตย์ซื่อตราบเท่าวันตาย และเราจะให้เจ้ามีมงกุฎแห่งชีวิต" (วิวรณ์ 2.10) ไม่ว่าจะมีปัญหาสิ่งใดในชีวิต คริสเตียนก็ควรจะตั้งมั่นคงอยู่ในความเชื่อตลอดไป ข้อความสุดท้าย "เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายที่รักของข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายจงตั้งมั่นคงอยู่ อย่าสะเทือนสะท้าน จงกระทำการขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้บริบูรณ์ทุกเวลา ด้วยว่าท่านทั้งหลายรู้ว่า โดยองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นการของท่านจะไร้ประโยชน์ก็หามิได้" (1โกรินโธ 15.58)
ท่านเป็นคริสเตียนแล้วหรือ? ถ้าท่านยังไม่เป็นคริสเตียนท่านก็ยังอยู่ห่างไกลจากแผ่นดินของพระเจ้า เรามีความปรารถนาให้ท่านเป็นคริสเตียน โปรดปฏิบัติตามเงื่อนไขที่แนะนำในบทเรียนหลักสูตรนี้ หวังใจว่าบทเรียนหลักสูตรนี้จะช่วยให้นักศึกษาพบกับความจริง เรายินดีช่วยท่านทุกวิถีทางเพื่อจะให้ท่านกลับมาหาพระเจ้า