บทที่ 6
บทที่6
พยานจากมิตรสหายของพระเยซูยืนยันว่า
พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์
นอกจากศัตรูแล้วยังมีพวกมิตรสหายของพระเยซูอีกที่เชื่อ พวกนี้เป็นพวกที่อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ตั้งแต่จนถึงพระเยซูถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ การเป็นพยานของพวกนี้มีน้ำหนักมากยิ่งกว่าพวกใดในเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู
1. พยานจากพวกอัครสาวก
พระเยซูได้ทรงเริ่มกระทำพระราชกิจโดยออกไปสั่งสอนประชาชนทั้งหลาย เมื่อพระองค์มีพระชนม์ได้สามสิบพรรษา พระองค์ได้ทรงเลือกอัครสาวก 12 คนเพื่อช่วยประกาศข่าวประเสริฐแก่ชนทั้งหลาย อัครสาวกเหล่านี้ทุกคนอยู่ใกล้ชิดกับพระเยซูเสมอตั้งแต่วันที่พระเยซูรับบัพิตศมาจากโยฮัน อัครสาวกเป็นผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นกับพระเยซู ได้เห็นพระองค์ทำการสั่งสอนประชาชนเป็นจำนวนมากๆ ได้เห็นพระองค์รักษาคนเจ็บป่วย เห็นพระองค์ได้ทำให้คนเป็นขึ้นมาจากตาย เห็นพระองค์ทรงเลี้ยงคน 5,000 คนด้วยขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว เห็นพระองค์ทรงห้ามลมพายุได้ เห็นความรักและความเมตตาของพระองค์ต่อชนทั้งหลาย อัครสาวกรู้แน่ว่าพระเยซูมิใช่เป็นมนุษย์ธรรมดา เขาทั้งหลายได้สารภาพว่า "พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า" (มัดธาย 16.16)
ครั้นเมื่อพระเยซูได้ถูกตรึงบนไม้กางเขนอัครสาวกเหล่านี้พากันหนีไปหมด พวกเขาได้ลืมคำสัญญาของพระองค์เสียแล้ว พวกอัครสาวกไม่ได้มีความหวังเลยว่าพระเยซูจะเป็นขึ้นมาจากตายจริงในวันที่สาม
พระเยซูคริสต์เจ้าได้เป็นขึ้นมาจากความตายจริงสมกับที่พระองค์ได้กล่าวไว้ แต่ยังไม่มีอัครสาวกคนใดรู้เรื่อง รุ่งขึ้นเช้าตรู่ของวันอาทิตย์นางมาเรียมัฆดาราศิษย์ของพระเยซูคนหนึ่งได้เอาน้ำอบไปที่อุโมงค์ของพระเยซู เพื่อจะไปพรมพระศพของพระเยซูโดยที่ไม่คาดฝัน เมื่อไปถึงอุโมงค์เธอก็ประหลาดใจที่ได้เห็นอุโมงค์เปิดว่างอยู่ เธอได้ร้องไห้คิดว่าขโมยเอาพระศพของพระเยซูไป แต่พระเยซูได้ปรากฏแก่นางและกำชับให้เข้าไปในเมืองบอกสาวกทั้งหลายทราบ นางมาเรียเมื่อได้เห็นพระเยซูเป็นขึ้นมาจากตายด้วยตาของตนเองก็มีความดีใจรีบวิ่งเข้าไปในเมืองบอกให้อัครสาวกทุกคนทราบ
บรรดาอัครสาวกเมื่อได้ยินคำบอกเล่าของนางมาเรียต่างก็มีความฉงนสนเท่ห์ เปโตรกับโยฮันได้วิ่งไปดูที่อุโมงค์ฝังศพของพระเยซู แต่เมื่อไปก็ไม่ได้เห็นพระเยซู เห็นอุโมงค์เปิดอยู่ ไม่มีทหารยามเฝ้าอยู่ ทั้งสองรีบวิ่งเข้าไปในเมือง บอกกับสาวกอื่น ๆ ว่าพระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตายแล้ว ในเวลาใกล้เคียงกันพระเยซูได้ปรากฏแก่ศิษย์สองคนบนทางที่จะเดินทางไปบ้านเอ็มมาอู หมู่บ้านนี้อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงยะรูซาเล็ม ต้องเดินสองหรือสามชั่วโมง คนหนึ่งชื่อ เกลียวปา แต่อีกคนไม่ปรากฏนาม พระเยซูได้ทรงสนทนากับเขาทั้งสอง แต่เขาทั้งสองตาฝ้าฟางจำพระเยซูไม่ได้ พระเยซูได้อธิบายข้อพระคัมภีร์เรื่องเป็นขึ้นมาจากตายของพระองค์ เมื่อพระเยซูได้ละไปจากเขาทั้งสอง เขาจึงระลึกได้ว่าเป็นพระเยซูคริสต์ คนทั้งสองจึงรีบเข้าไปในกรุงยะรูซาเล็ม และพบอัครสาวกสิบเอ็ดคนชุมนุมกันอยู่พร้อมและกล่าวว่า "พระองค์ผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นขึ้นมาแล้วจริง ๆ"
หลังจากที่พระเยซูได้ปรากฏแก่สาวกสองคน พระองค์ได้ปรากฏแก่อัครสาวกเปโตรในวันเดียวกันนั้น (ลูกา 24.34) ต่อมาพระองค์ได้ปรากฏแก่อัครสาวกซึ่งมีโธมาด้วย ต่อมาพระองค์ได้ปรากฏแก่ฝูงชนจำนวน 500 คนในเวลาเดียวกันที่บนภูเขาที่ฆาลิลาย (มัดธาย 28.16-20) ครั้งสุดท้ายพระองค์ได้ทรงปรากฏแก่อัครสาวกเปาโล (1โกรินโธ 15.5-8) การเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูมิใช่เป็นไปโดยบังเอิญ แต่เป็นโครงการของพระเจ้า เรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายเป็นความจริงที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ พวกโรมที่มีความเกี่ยวข้องและพวกปุโรหิตรู้เรื่องนี้ดี สิ่งที่ประวัติศาสตร์จะต้องยอมรับก็คือว่า พระเยซูได้ทำการสั่งสอน ได้ถูกตรึงบนไม้กางเขน ได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์โดยมีทหารโรมเฝ้าอยู่ ที่อุโมงค์มีประตูซึ่งทำด้วยหินปิดอยู่พร้อมด้วยตราของรัฐบาลโรมันประทับ ความจริงที่ทุกคนต้องยอมรับก็คือว่าวันที่สามพระเยซูหายไป, หายไปได้อย่างไร? ใครเป็นผู้เอาไป ใครจะยอมเสี่ยงกับชีวิตเพื่อแลกกับศพของพระเยซู พวกศัตรูของพระเยซูไม่มีความต้องการพระศพของพระองค์ เขาดีใจที่ได้เห็นพระเยซูถูกฆ่า ถ้าผู้ใดจะเอาศพไปก็เอาไปไม่ได้เพราะทหารโรมเฝ้าอยู่ ใครจะยอมเสี่ยงชีวิตของตนเองกับสิ่งที่ตนเองเกลียด ถ้าศัตรูของพระเยซูได้ได้เอาไปแล้วใครเล่าที่เอาไป
พวกศิษย์ของพระเยซูขโมยเอาพระศพของพระเยซูไปหรือ อัครสาวกจะเข้าไปได้อย่างมีทหารยามเฝ้าอยู่ ไม่มีสาวกคนใดยอมเสี่ยงชีวิตขโมยเอาพระศพไป แท้จริงแล้วศิษย์ของพระเยซูไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพระศพของพระเยซู เป็นที่น่าสังเกตว่าทหารยามจะเปิดโอกาสให้คนอื่นขโมยเอาพระศพไปไม่ได้ ย่อมมีโทษถึงตายเช่นกัน ในอุโมงค์ของพระเยซูว่างเปล่า มีแต่ผ้าป่านพันวางไว้อย่างดี ความจริงก็คือว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตาย และได้ทรงปรากฏแก่บรรดาชนทั้งหลาย ถ้อยคำในหนังสือกิจการ 1.3 "ครั้นพระองค์ได้ทรงทนทุกข์ทรมานแล้ว ได้ทรงแสดงพระองค์แก่จำพวกนั้น ด้วยการพิสูจน์หลายอย่างให้เขาเห็นว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และได้ทรงปรากฏแก่เขาทั้งหลายถึงสี่สิบวัน"
การปรากฏตัวของพระเยซูต่อหน้าเหล่าสาวกของพระองค์ ทำให้ความเชื่อของเหล่าสาวกฟื้นขึ้นใหม่ และเมื่อพระเยซูได้สำแดงข้อพิสูจน์ให้พวกเขาเห็น เช่น แสดงรอยตะปูที่ฝ่ามือละฝ่าเท้า และรอยหอกแทงที่สีข้างก็ยิ่งทำให้เขาทั้งหลายเกิดความเชื่อมั่นใจมากยิ่งขึ้น ทำให้เหล่าสาวกระลึกถึงข้อความของพระเยซูและคำพยากรณ์ที่ได้ตรัสไว้ว่า พระองค์จะสิ้นพระชนม์สามวันและพระองค์จะเป็นขึ้นมาใหม่ แท้จริงแล้วพวกสาวกไม่มีความหวังเลยว่าพระเยซูจะเป็นขึ้นมาจากตายจริง ๆ เมื่อพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจริง ๆ เหล่าสาวกจึงมีความกล้าหาญออกไปประกาศข่าวประเสริฐเรื่องความรอดพ้นบาปในนามพระเยซูคริสต์ พวกเหล่านี้ได้อ้างพยานและข้อพิสูจน์ต่าง ๆ ว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตายแล้ว
หลังจากที่พระเยซูได้ปรากฏแก่เหล่าสาวกแล้ว พระองค์ได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ท่ามกลางสายตาของเหล่าสาวกของพระองค์ (ลูกา 24.50-52, กิจการ 1.9-11) ฝ่ายเหล่าสาวกเมื่อได้รู้แจ้งว่า พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตาย และเสด็จอำลาไปจากเขาทั้งหลาย เขาได้ประกาศความจริงกึกก้องไปทั่วทุกแห่งในโลกทั้งพวกยิวและชาวต่างชาติ เขาทั้งหลายเดินทางไปประกาศที่ยะรูซาเล็ม, มณฑลยูดาย, มณฑลซะมาเรีย, ยุโรป, อิตาลี, เอธิโอเปีย, สเปน, อินเดีย ถ้าเราศึกษาดูในประวัติศาสตร์ เราจะพบว่าสาวกทุกคนของพระเยซูได้ประกาศเรื่องการสิ้นพระชนม์, การถูกฝังไว้ และการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู คำเทศนาเรื่องนี้มีอานุภาพดึงดูดคนทั่วทั้งทวีปเอเซียและยุโรปให้เป็นคริสเตียน (กิจการ 2.41, 3.18, 7.52, 8.12, 35) พยานของอัครสาวกมีน้ำหนักมาก ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันแสดงว่าคำพยานของเขาทั้งหลายเชื่อถือได้ อัครสาวกโยฮันได้แสดงอุดมคติในการเป็นพยานของเขาไว้ดังนี้ "ซึ่งได้ทรงเป็นอยู่แต่เดิมนั้น, ซึ่งเราได้ยิน, ซึ่งเราได้เห็น้วยตา, ซึ่งเราได้พินิจดู, และมือของเราได้ถูกต้องซึ่งเกี่ยวกับพระวาทะอันทรงชีวิตอยู่ (และชีวิตนั้นได้ปรากฏและเราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์แก่ท่านทั้งหลาย" (1โยฮัน 1.1-2)
ผลจากการที่เหล่าอัครสาวกออกไปประกาศเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูนี้เอง ทำให้เขาทั้งหลายถูกฆ่าตายสิ้นเกือบทุกคนเว้นแต่อัครสาวกโยฮันคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ถูกฆ่าตาย แต่เขาเองได้ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะปัตโมในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพราะถูกข่มเหงจากพวกรัฐบาลโรม ประวัติศาสตร์ได้บันทึกการตายของอัครสาวกในแบบต่างกัน บางคนได้ถูกตัดศีรษะ, บ้างถูกตรึงบนกางเขน, ถูกไฟเผาทั้งเป็น
โดยหลักฐานเหล่านี้นักศึกษาคงเห็นแล้วว่า เรื่องการเป็ฯขึ้นมาจากตายมิใช่เป็นเรื่องที่เขาประกาศเล่น ๆ เพราะพวกอัครสาวกทุกคนได้ยอมสละชีวิตของเขาสิ้นทุกคน ลองคิดดูซิว่า ทำไมทุกคนได้ยอมตาย มีทางที่เราจะพิจารณาข้อเท็จจริง 3 ประการคือ
ประการแรก อัครสาวกคงเป็นโรคจิตใจบ้าคลั่ง ปั้นเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูขึ้นเอง เขาประกาศไปด้วยความบ้าคลั่ง พวกอัครสาวกไม่ใช่เป็นผู้เสียสติ เพราะผลจากการเทศนาของเขาทั้งหลาย มีคนจำนวนมากนับไม่ถ้วนเชื่อคำเทศนาของเขา คนเสียสติย่อมทำงานไม่ได้ผลอย่างนั้น อย่างไรก็ตามเมื่อเราอ่านหนังสือที่เขาทุกคนได้เขียนขึ้นเราต้องยอมรับว่า หนังสือของเขาทุกคนมีเหตุมีผล
ประการที่สอง ถ้าอัครสาวกเหล่านั้นไม่เสียสติเขาก็คงจะพูดมุสา อุปโลกเรื่องราวว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตาย อย่าลืมว่าคนที่พูดมุสาไม่สามารถจะเก็บความลับไว้ได้ ถ้าเขามุสาก็ต้องมีเบื้องหลังที่ทำให้เขามุสา เขามีความจำเป็นที่ต้องพูดมุสาหรือเขาอยากได้อะไร, เงินทองและชื่อเสียงหรือ? เปล่า พวกเขาเหล่านี้ได้สละบ้านเรือนและทรัพย์สมบัติเพื่อติดตามพระเยซู เขาไม่ประสงค์อะไรจากพระเยซู พระเยซูไม่ได้สัญญาที่จะให้เงินทองแก่เขา แท้จริงพระเยซูได้บอกล่วงหน้าแล้วว่า เขาจะได้รับความลำบากทุกคน เพราะฉะนั้นเงินทองและชื่อเสียงไม่เป็นเหตุทำให้เขามุสาแน่ อาจจะเป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจมีความกลัวหรืออยากจะปกปิดความผิด ไม่เป็นความจริงเลย พวกอัครสาวกไม่เคยกลัวผู้ใดแม้กระทั่งผู้มีอำนาจปกครองประเทศ ทุกคนยอมพลีชีพเพื่อประกาศว่าพระเยซูฟื้นขึ้นจากตาย เพราะฉะนั้นจึงสรุปว่า การที่อัครสาวกยอมเสียสละชีวิตของเขาทุกคน ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นผู้เสียสติ ไม่ใช่เพราะเขามุสา แต่เป็นเพราะเขาทั้งหลายได้ประกาศความจริง ตามที่เขาเห็นด้วยตาและสัมผัสด้วยมือของเขาว่า พระเยซูได้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาแน่นอน ไม่มีพยานที่ไหนที่จะทำได้ดีกว่านี้อีกแล้วที่จะยอมเสี่ยงเอาชีวิตของตนเป็นเดิมพัน แสดงว่าอานุภาพของพระเยซูที่มีต่อจิตใจของอัครสาวกไม่อาจหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาฉุดกระชากออกไปได้
2. พยานของคริสเตียนยุคแรกเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู
พวกคริสเตียนในสมัยเริ่มแรกเกิดมีกำลังใจอันมหาศาลจากพระเจ้า กำลังใจทำให้เขาทั้งหลายเกิดความกล้าหาญไม่รูจักกลัวความตาย เขาทั้งหลายทุกคนยืนขึ้นโดยไม่เกรงกลัวต่ออำนาจของผู้ใด เขาทั้งหลายได้พลิกคว่ำแผ่นดิน ในศตวรรษแรกทั่วจักรวรรดิ์โรมในสมัยนั้นด้วยคำพยานที่ว่า "พระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยของมนุษย์ทุกคน" ผลจากการประกาศด้วยความร้อนรนเองจริงเอาจัง ทำให้ฝูงชนนับจำจวนไม่ถ้วนเป็นคริสเตียน แม้กระทั่งทหารโรมและพวกข้าราชการที่มีตำแหน่งสูงของโรม
การเผยแพร่ศาสนาคริสต์เป็นไปอย่างไม่หยุดยั้ง ถึงแม้ว่าพวกคริสเตียนจะได้รับการข่มเหงจากพวกยิวและพวกโรมก็ตาม โรมได้ออกกฎหมายห้ามพวกคริสเตียนชุมนุมกัน แม้กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ลดละได้แอบซ่อนประชุมกันตามสุสานต่าง ๆ มีพวกคริสเตียนจำนวนมากถูกฆ่าตาย บ้างก็ถูกเผาทั้งเป็น บ้างก็ถูกปล่อยให้สิงโตกัด ในสมัยที่โรมมีอำนาจพวกคริสเตียนได้ถูกบังคับให้สู้กับสิงโตในโรงมหรสพ ครั้นเมื่อจักรพรรดิเนโรห์ครองราชย์ พระองค์ได้เผากรุงโรมและโยนความผิดให้พวกคริสเตียน พวกคริสเตียนเป็นจำนวนมากถูกจับไปพิพากษาบังคับให้กล่าวคำหยาบและปฏิเสธพระเยซู แต่พวกคริสเตียนเหล่านั้นตั้งมั่นคงอยู่ในความเชื่อ เขาไม่ยอมปฏิเสธพระเยซูถึงแม้ตัวเขาจะตายก็ตาม ในจำนวนคริสเตียนที่ถูกฆ่าตายบางคนก็มีกล่าวไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ บางคนก็มีกล่าวไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์
การที่ยกเอาเรื่องพวกคริสเตียนถูกสังหารก็เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าถึงแม้โรมจะมีอำนาจทั่วทั้งภาคพื้นยุโรม, ปาเลสไตน์ มีทหารและกองทัพอันเกรียงไกรแต่โรมไม่สามารถยับยั้งการประกาศของพวกคริสเตียน ไม่สามารถจะเอาชนะพวกคริสเตียนได้ พวกโรมยิ่งทำการข่มเหง ฆ่าและทารุณกรรมต่าง ๆ พวกคริสเตียนก็หากลัวตายไม่ จำนวนคริสเตียนก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ๆ ในสมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน ค.ศ. 300 คอนสแตนตินได้เปิดโอกาสให้ทุกคนนับถือศาสนาคริสต์ได้โดยเปิดเผย เพราะหวังผลทางการเมือง อย่างไรก็ตามเราเห็นว่าการเป็นพยานของพวกคริสเตียนมีอานุภาพมาก ถึงแม้ตัวตายก็ยอม เพราะเขารู้แน่ว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา และทรงเป็นขึ้นมาจากตายแน่นอน
3. พยานจากการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเปาโล
เปาโลเป็นชนชาติยิว บุตรของคนมั่งมี เกิดที่เมืองตาระโซ มณฑลกิลิเกีย มีสัญชาติโรม (กิจการ 22.28) เปาโลได้ถูกส่งไปศึกษากับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งชื่อฆามาลิเอล ได้รับการฝึกอบรมให้เคร่งครัดในความเชื่อของลัทธิและประเพณียิว ภายหลังได้เข้ามาเป็นสมาชิกในตุลาการของศาลยิว เป็นผู้ที่ลงมือจับพวกคริสเตียนไปขังคุก การตายของซะเตฟาโนนั้นเปาโลก็มีบทบาทในการฆ่าด้วย ภายหลังได้ถือสาสน์จะไปจับพวกคริสเตียนที่เมืองดาเมเซ็ก ในระหว่างที่กำลังเดินทางอยู่นั้น พระเยซูได้ปรากฏแก่เปาโล มีแสงสว่างจ้ามาล้อมไว้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ พระเยซูได้ตำหนิเปาโลในการที่ได้ข่มเหงพวกคริสเตียน พระเยซูสั่งให้เปาโลเดินทางไปพบกับคริสเตียนคนหนึ่งในเมืองชื่ออะนาเนีย ได้ชี้แจงรายละเอียดตามที่พระเจ้าได้ดลใจให้เขากล่าวแก่เปาโล หลังจากที่ไม่ยอมรับประทานอาหารสามวัน เฝ้าแต่อธิษฐาน เมื่อเข้าใจตามที่อะนาเนียได้เล่าให้ฟัง ก็กลับใจมาเป็นผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์โดยการรับบัพติศมา (จุ่มมิดน้ำ) พระเยซูได้ตั้งให้เปาโลเป็นอัครสาวกพิเศษที่จะออกไปประกาศเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายแก่ชนประเทศต่าง ๆ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตายแล้วไม่กี่ปี
ตั้งแต่วันที่เปาโลได้เห็นพระเยซูแล้วชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป เขาเริ่มออกไปประกาศเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูทันที เปาโลเองเป็นผู้ที่กล่าวว่า "ถ้าพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นมาจากตาย การเทศนาของเราก็ไม่มีหลัก" (1โกรินโธ 15.14) การเปลี่ยนแปลงชีวิตของเปาโลจากหน้ามือเป็นหลังมือทำให้พวกยิวผู้มีอำนาจทุกคนรวมทั้งพวกคริสเตียนต่างก็พากันตกใจกลัวไม่ทราบว่าเปาโลจะใช้ลูกไม้แบบไหน แต่ครั้นเมื่อเปาโลได้เผชิญกับการถูกข่มเหงครั้งแรกที่อาระเบีย และเมื่อเกือบถูกฆ่าตาย พวกคริสเตียนจึงได้ยอมรับเปาโล ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเปาโลก็ได้เป็นผู้ออกไปประกาศทั่วทุกแห่ง ที่ปาเลสไตน์, ยุโรม, สเปน, และโรม เปาโลได้เผชิญกับอันตรายรอบด้าน (กิจการ 9.12-38 และหนังสือจดหมายของเปาโลทุกฉบับ) ในที่สุดได้ถูกตัดศีรษะที่กรุงโรมในสมัยจักรพรรดิเนโรห์ เมือ ค.ศ. 67
ทำไมชีวิตของเปาโลจึงเปลี่ยนไป มีอะไรทำให้ชีวิตของเปาโลเปลี่ยนไป เขาเคยฆ่าพวกคริสเตียน ขู่คำรามจะจับพวกคริสเตียน แต่บัดนี้เขายินดีจะยอมตายเพื่อพระนามของพระเยซู โปรดพิจารณาข้อมูลดังต่อไปนี้
ก. เปาโลแกล้งเป็นคริสเตียนเพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่างหรือ? เปาโลมิได้เปลี่ยนศาสนาเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว
(1) เงินรึ ไม่ใช่ เพราะเปาโลมีเงินอยู่แล้ว หลังจากที่เป็นคริสเตียนเขากลับต้องยากจน แต่เขาก็ยังยึดมั้นในความเชื่อ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เขาเห็นแก่เงินจึงเป็นคริสเตียน (1โกรินโธ 4.11-13, 2โกรินโธ 12.14, กิจการ 20.33-34)
(2) ชื่อเสียงรึ ไม่ใช่ เพราะเปาโลมีชื่อเสียงอยู่แล้ว (1โกรินโธ 1.26-29, 4.11)
(3) เปาโลอยากมีอำนาจรึ เปาโลเป็นสมาชิในศาลตุลาการยิวอยู่แล้ว พระเยซูไม่มีอำนาจอะไรจะให้ เปาโลเป็นคนถ่อมสุภาพมากเท่าที่เราอ่านพบในหนังสือที่เขาเขียนไปยังคริสเตียนตามหัวเมืองต่าง ๆ (ฟิเลโมน 23-24, 1โกรินโธ 1.13-17, 3.4-5, 2โกรินโธ 4.5)
เพราะฉะนั้นเรายืนยันได้ว่าเปาโลมิใช่เป็นคริสเตียนเพราะผลประโยชน์ส่วนตัว
ข. เปาโลเป็นคนเสียสติหรือ ถ้าเราอ่านชีวประวัติของเปาโลเราจะพบว่า เปาโลไม่ใช่เป็นคนเสียสติ เขาเป็นคนได้รับการศึกษาสูง และเป็นคนมีเหตุมีผล เพื่อจะนำคนให้มาเป็นคริสเตียน (กิจการ 24.24-27, 26.2-29)
ค. เปาโลถูกหลอกให้เป็นคริสเตียนหรือ ไม่มีผู้ใดจะหลอกเปาโลได้ เพราะเปาโลได้รับการศึกษาสูงจากฆามาลิเอล (กิจการ 22.3) ในด้านศาสนาเขาเป็นคนที่เคร่งครัดที่สุด (ฟิลิปปอย 3.5-7) พวกคริสเตียนตอนแรกไม่อาจสู้หน้าเปาโลได้ พวกเพื่อนก็ไม่อาจชัดชวนเปาโลได้ เพราะเปาโลเหนือกว่าทุกคน (ฆะลาเตีย 1.13-14)
ถ้าเปาโลมิได้แกล้งเป็นคริสเตียนเพราะหวังผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่เสียสติ หรือไม่ถูกหลอก ก็มีอยู่ทางเดียวเหมือนที่เปาโลได้เป็นพยานทั่วทุกแห่งว่าชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงเพราะเขาได้เห็นพระเยซูคริสต์เจ้าบนถนนที่จะไปเมืองดาเมเซ็ก (กิจการ 22.1-21, ฆะลาเตีย 1.23-24) เพราะฉะนั้นเราสรุปว่าพระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย และได้ปรากฏแก่เปาโลเป็นคนสุดท้าย (1โกรินโธ 15.8)
4. อนุสรณ์ที่ระลึกถึงการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู
พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากตายและเสด็จสู่สวรรค์นับเป็นเวลามากกว่า 2000 ปีแล้ว อิทธิพลของพระเยซูยังคงดำรงอยู่จนทุกวันนี้ และจะดำรงอยู่ต่อไปเป็นนิตย์ มีอนุสรณ์เป็นเครื่องยืนยันว่าพระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตายหลายอย่างที่เราจะได้พิจารณาดังต่อไปนี้
ก. คริสตจักร คริสตจักรได้ตั้งขึ้นมาเป็นเวลามากกว่า 2000 ปีแล้ว และได้ตั้งอยู่บนความเชื่อของคริสเตียนในการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู (มัดธาย 12.38-40, 16.16-20, โรม 1.3-4, 1โกรินโธ 3.10, 15.17)
ข. พระครสิตธรรมคัมภีร์ หนังสือพระคัมภีร์ทั่วทุกแห่งทุกภาษามีสามสิ่งสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ได้คือ พระเยซูคริสต์, คริสตจักร, พระคัมภีร์ พระเยซูเป็นผู้ให้กำเนิดคริสตจักร และพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นเสมือนตัวหนังสือแห่งชีวิต ซึ่งเป็นผู้ประกาศคำสั่งสอนแทนพระเยซู พระคัมภีร์ทั้งเล่มยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตาย
ค. วันอาทิตย์ เป็นวันที่ระลึกถึงวันที่พระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย (กิจการ 20.7, วิวรณ์ 1.10) ทั่วโลกได้ถือวันอาทิตย์เป็นวันหยุดการทำงาน
ง. การรับประทานเพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระเยซู พระเยซูได้ตั้งพิธีนี้ก่อนสิ้นพระชนม์ เมื่อพรเยซูได้เสด็จขึ้นสวรรค์ไปแล้ว พวกคริสเตียนได้ทำพิธีระลึกถึงพระเยซูทุกวันอาทิตย์ เพื่อระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ การถูกฝังไว้ และการเป็นขึ้นมาจากตาย (กิจการ 2.42, 20.4, 1โกรินโธ 11.26)
อนุสรณ์เหล่านี้เป็นหลักฐานยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า พระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย และทรงประทับอยู่ที่แผ่นดินสวรรค์ พระองค์เป็นผู้ประทานความหวังให้แก่มนุษย์ทุกคน สักวันหนึ่งเราจะเป็นขึ้นมาจากตายด้วย ถ้าเราวางใจในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า
สรุปข้อความ
คนสำคัญได้เกิดมามีบทบาทในวงการศาสนาแล้วตายจากโลกนี้ไปเช่นเดียวกับคนอื่นทั่วไป มนุษย์เราก็ยังเผชิญกับความตายอยู่นั่นเอง ทำอย่างไรมนุษย์จะไม่รู้ตาย เราไม่สามารถพึ่งคนที่ตายไปแล้ว ผู้ที่มนุษย์พึ่งได้คือพระเยซูคริสต์เจ้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น พระเยซูได้มีข้อพิสูจน์มากมายเพียงพอที่จะทำให้เรามีความเชื่อมั่นว่าพระองค์จะทรงช่วยผู้ที่วาใจในพระองค์ให้ไปถึงซึ่งความไม่รู้ตายหรือชีวิตนิรันดร์ได้ เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับมายังโลกนี้อีก ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษามนุษย์ทุกคน
ได้พิสูจน์กันมาแล้วว่าเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูเป็นเรื่องจริง ผู้ที่เคยเป็นศัตรูของพระเยซูได้เปลี่ยนชีวิตของเขาเมื่อรู้แน่ว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาจากตาย เขาทั้งหลายได้ยอมตายเพื่อพระองค์ อัครสาวกซึ่งเป็นผู้รู้เห็นด้วยตาเองได้ยืนขึ้นประกาศความจริงจนตัวตาย ปัจจุบันนี้บรรดาคริสเตียนทั้งหลายยังยึดมั่นอยู่ในความจริงข้อนี้ เพราะนี่แหละเป็นความหวังของเราทั้งหลาย ไม่มีผู้ใดในโลกที่ได้เสนอข้อพิสูจน์มากเท่ากับพระเยซู พระเยซูทรงเป็นผู้ช่วยของมนุษย์โดยแท้
นอกจากศัตรูแล้วยังมีพวกมิตรสหายของพระเยซูอีกที่เชื่อ พวกนี้เป็นพวกที่อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ตั้งแต่จนถึงพระเยซูถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ การเป็นพยานของพวกนี้มีน้ำหนักมากยิ่งกว่าพวกใดในเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู
1. พยานจากพวกอัครสาวก
พระเยซูได้ทรงเริ่มกระทำพระราชกิจโดยออกไปสั่งสอนประชาชนทั้งหลาย เมื่อพระองค์มีพระชนม์ได้สามสิบพรรษา พระองค์ได้ทรงเลือกอัครสาวก 12 คนเพื่อช่วยประกาศข่าวประเสริฐแก่ชนทั้งหลาย อัครสาวกเหล่านี้ทุกคนอยู่ใกล้ชิดกับพระเยซูเสมอตั้งแต่วันที่พระเยซูรับบัพิตศมาจากโยฮัน อัครสาวกเป็นผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นกับพระเยซู ได้เห็นพระองค์ทำการสั่งสอนประชาชนเป็นจำนวนมากๆ ได้เห็นพระองค์รักษาคนเจ็บป่วย เห็นพระองค์ได้ทำให้คนเป็นขึ้นมาจากตาย เห็นพระองค์ทรงเลี้ยงคน 5,000 คนด้วยขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว เห็นพระองค์ทรงห้ามลมพายุได้ เห็นความรักและความเมตตาของพระองค์ต่อชนทั้งหลาย อัครสาวกรู้แน่ว่าพระเยซูมิใช่เป็นมนุษย์ธรรมดา เขาทั้งหลายได้สารภาพว่า "พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า" (มัดธาย 16.16)
ครั้นเมื่อพระเยซูได้ถูกตรึงบนไม้กางเขนอัครสาวกเหล่านี้พากันหนีไปหมด พวกเขาได้ลืมคำสัญญาของพระองค์เสียแล้ว พวกอัครสาวกไม่ได้มีความหวังเลยว่าพระเยซูจะเป็นขึ้นมาจากตายจริงในวันที่สาม
พระเยซูคริสต์เจ้าได้เป็นขึ้นมาจากความตายจริงสมกับที่พระองค์ได้กล่าวไว้ แต่ยังไม่มีอัครสาวกคนใดรู้เรื่อง รุ่งขึ้นเช้าตรู่ของวันอาทิตย์นางมาเรียมัฆดาราศิษย์ของพระเยซูคนหนึ่งได้เอาน้ำอบไปที่อุโมงค์ของพระเยซู เพื่อจะไปพรมพระศพของพระเยซูโดยที่ไม่คาดฝัน เมื่อไปถึงอุโมงค์เธอก็ประหลาดใจที่ได้เห็นอุโมงค์เปิดว่างอยู่ เธอได้ร้องไห้คิดว่าขโมยเอาพระศพของพระเยซูไป แต่พระเยซูได้ปรากฏแก่นางและกำชับให้เข้าไปในเมืองบอกสาวกทั้งหลายทราบ นางมาเรียเมื่อได้เห็นพระเยซูเป็นขึ้นมาจากตายด้วยตาของตนเองก็มีความดีใจรีบวิ่งเข้าไปในเมืองบอกให้อัครสาวกทุกคนทราบ
บรรดาอัครสาวกเมื่อได้ยินคำบอกเล่าของนางมาเรียต่างก็มีความฉงนสนเท่ห์ เปโตรกับโยฮันได้วิ่งไปดูที่อุโมงค์ฝังศพของพระเยซู แต่เมื่อไปก็ไม่ได้เห็นพระเยซู เห็นอุโมงค์เปิดอยู่ ไม่มีทหารยามเฝ้าอยู่ ทั้งสองรีบวิ่งเข้าไปในเมือง บอกกับสาวกอื่น ๆ ว่าพระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตายแล้ว ในเวลาใกล้เคียงกันพระเยซูได้ปรากฏแก่ศิษย์สองคนบนทางที่จะเดินทางไปบ้านเอ็มมาอู หมู่บ้านนี้อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงยะรูซาเล็ม ต้องเดินสองหรือสามชั่วโมง คนหนึ่งชื่อ เกลียวปา แต่อีกคนไม่ปรากฏนาม พระเยซูได้ทรงสนทนากับเขาทั้งสอง แต่เขาทั้งสองตาฝ้าฟางจำพระเยซูไม่ได้ พระเยซูได้อธิบายข้อพระคัมภีร์เรื่องเป็นขึ้นมาจากตายของพระองค์ เมื่อพระเยซูได้ละไปจากเขาทั้งสอง เขาจึงระลึกได้ว่าเป็นพระเยซูคริสต์ คนทั้งสองจึงรีบเข้าไปในกรุงยะรูซาเล็ม และพบอัครสาวกสิบเอ็ดคนชุมนุมกันอยู่พร้อมและกล่าวว่า "พระองค์ผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นขึ้นมาแล้วจริง ๆ"
หลังจากที่พระเยซูได้ปรากฏแก่สาวกสองคน พระองค์ได้ปรากฏแก่อัครสาวกเปโตรในวันเดียวกันนั้น (ลูกา 24.34) ต่อมาพระองค์ได้ปรากฏแก่อัครสาวกซึ่งมีโธมาด้วย ต่อมาพระองค์ได้ปรากฏแก่ฝูงชนจำนวน 500 คนในเวลาเดียวกันที่บนภูเขาที่ฆาลิลาย (มัดธาย 28.16-20) ครั้งสุดท้ายพระองค์ได้ทรงปรากฏแก่อัครสาวกเปาโล (1โกรินโธ 15.5-8) การเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูมิใช่เป็นไปโดยบังเอิญ แต่เป็นโครงการของพระเจ้า เรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายเป็นความจริงที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ พวกโรมที่มีความเกี่ยวข้องและพวกปุโรหิตรู้เรื่องนี้ดี สิ่งที่ประวัติศาสตร์จะต้องยอมรับก็คือว่า พระเยซูได้ทำการสั่งสอน ได้ถูกตรึงบนไม้กางเขน ได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์โดยมีทหารโรมเฝ้าอยู่ ที่อุโมงค์มีประตูซึ่งทำด้วยหินปิดอยู่พร้อมด้วยตราของรัฐบาลโรมันประทับ ความจริงที่ทุกคนต้องยอมรับก็คือว่าวันที่สามพระเยซูหายไป, หายไปได้อย่างไร? ใครเป็นผู้เอาไป ใครจะยอมเสี่ยงกับชีวิตเพื่อแลกกับศพของพระเยซู พวกศัตรูของพระเยซูไม่มีความต้องการพระศพของพระองค์ เขาดีใจที่ได้เห็นพระเยซูถูกฆ่า ถ้าผู้ใดจะเอาศพไปก็เอาไปไม่ได้เพราะทหารโรมเฝ้าอยู่ ใครจะยอมเสี่ยงชีวิตของตนเองกับสิ่งที่ตนเองเกลียด ถ้าศัตรูของพระเยซูได้ได้เอาไปแล้วใครเล่าที่เอาไป
พวกศิษย์ของพระเยซูขโมยเอาพระศพของพระเยซูไปหรือ อัครสาวกจะเข้าไปได้อย่างมีทหารยามเฝ้าอยู่ ไม่มีสาวกคนใดยอมเสี่ยงชีวิตขโมยเอาพระศพไป แท้จริงแล้วศิษย์ของพระเยซูไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพระศพของพระเยซู เป็นที่น่าสังเกตว่าทหารยามจะเปิดโอกาสให้คนอื่นขโมยเอาพระศพไปไม่ได้ ย่อมมีโทษถึงตายเช่นกัน ในอุโมงค์ของพระเยซูว่างเปล่า มีแต่ผ้าป่านพันวางไว้อย่างดี ความจริงก็คือว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตาย และได้ทรงปรากฏแก่บรรดาชนทั้งหลาย ถ้อยคำในหนังสือกิจการ 1.3 "ครั้นพระองค์ได้ทรงทนทุกข์ทรมานแล้ว ได้ทรงแสดงพระองค์แก่จำพวกนั้น ด้วยการพิสูจน์หลายอย่างให้เขาเห็นว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และได้ทรงปรากฏแก่เขาทั้งหลายถึงสี่สิบวัน"
การปรากฏตัวของพระเยซูต่อหน้าเหล่าสาวกของพระองค์ ทำให้ความเชื่อของเหล่าสาวกฟื้นขึ้นใหม่ และเมื่อพระเยซูได้สำแดงข้อพิสูจน์ให้พวกเขาเห็น เช่น แสดงรอยตะปูที่ฝ่ามือละฝ่าเท้า และรอยหอกแทงที่สีข้างก็ยิ่งทำให้เขาทั้งหลายเกิดความเชื่อมั่นใจมากยิ่งขึ้น ทำให้เหล่าสาวกระลึกถึงข้อความของพระเยซูและคำพยากรณ์ที่ได้ตรัสไว้ว่า พระองค์จะสิ้นพระชนม์สามวันและพระองค์จะเป็นขึ้นมาใหม่ แท้จริงแล้วพวกสาวกไม่มีความหวังเลยว่าพระเยซูจะเป็นขึ้นมาจากตายจริง ๆ เมื่อพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจริง ๆ เหล่าสาวกจึงมีความกล้าหาญออกไปประกาศข่าวประเสริฐเรื่องความรอดพ้นบาปในนามพระเยซูคริสต์ พวกเหล่านี้ได้อ้างพยานและข้อพิสูจน์ต่าง ๆ ว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตายแล้ว
หลังจากที่พระเยซูได้ปรากฏแก่เหล่าสาวกแล้ว พระองค์ได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ท่ามกลางสายตาของเหล่าสาวกของพระองค์ (ลูกา 24.50-52, กิจการ 1.9-11) ฝ่ายเหล่าสาวกเมื่อได้รู้แจ้งว่า พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตาย และเสด็จอำลาไปจากเขาทั้งหลาย เขาได้ประกาศความจริงกึกก้องไปทั่วทุกแห่งในโลกทั้งพวกยิวและชาวต่างชาติ เขาทั้งหลายเดินทางไปประกาศที่ยะรูซาเล็ม, มณฑลยูดาย, มณฑลซะมาเรีย, ยุโรป, อิตาลี, เอธิโอเปีย, สเปน, อินเดีย ถ้าเราศึกษาดูในประวัติศาสตร์ เราจะพบว่าสาวกทุกคนของพระเยซูได้ประกาศเรื่องการสิ้นพระชนม์, การถูกฝังไว้ และการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู คำเทศนาเรื่องนี้มีอานุภาพดึงดูดคนทั่วทั้งทวีปเอเซียและยุโรปให้เป็นคริสเตียน (กิจการ 2.41, 3.18, 7.52, 8.12, 35) พยานของอัครสาวกมีน้ำหนักมาก ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันแสดงว่าคำพยานของเขาทั้งหลายเชื่อถือได้ อัครสาวกโยฮันได้แสดงอุดมคติในการเป็นพยานของเขาไว้ดังนี้ "ซึ่งได้ทรงเป็นอยู่แต่เดิมนั้น, ซึ่งเราได้ยิน, ซึ่งเราได้เห็น้วยตา, ซึ่งเราได้พินิจดู, และมือของเราได้ถูกต้องซึ่งเกี่ยวกับพระวาทะอันทรงชีวิตอยู่ (และชีวิตนั้นได้ปรากฏและเราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์แก่ท่านทั้งหลาย" (1โยฮัน 1.1-2)
ผลจากการที่เหล่าอัครสาวกออกไปประกาศเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูนี้เอง ทำให้เขาทั้งหลายถูกฆ่าตายสิ้นเกือบทุกคนเว้นแต่อัครสาวกโยฮันคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ถูกฆ่าตาย แต่เขาเองได้ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะปัตโมในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพราะถูกข่มเหงจากพวกรัฐบาลโรม ประวัติศาสตร์ได้บันทึกการตายของอัครสาวกในแบบต่างกัน บางคนได้ถูกตัดศีรษะ, บ้างถูกตรึงบนกางเขน, ถูกไฟเผาทั้งเป็น
โดยหลักฐานเหล่านี้นักศึกษาคงเห็นแล้วว่า เรื่องการเป็ฯขึ้นมาจากตายมิใช่เป็นเรื่องที่เขาประกาศเล่น ๆ เพราะพวกอัครสาวกทุกคนได้ยอมสละชีวิตของเขาสิ้นทุกคน ลองคิดดูซิว่า ทำไมทุกคนได้ยอมตาย มีทางที่เราจะพิจารณาข้อเท็จจริง 3 ประการคือ
ประการแรก อัครสาวกคงเป็นโรคจิตใจบ้าคลั่ง ปั้นเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูขึ้นเอง เขาประกาศไปด้วยความบ้าคลั่ง พวกอัครสาวกไม่ใช่เป็นผู้เสียสติ เพราะผลจากการเทศนาของเขาทั้งหลาย มีคนจำนวนมากนับไม่ถ้วนเชื่อคำเทศนาของเขา คนเสียสติย่อมทำงานไม่ได้ผลอย่างนั้น อย่างไรก็ตามเมื่อเราอ่านหนังสือที่เขาทุกคนได้เขียนขึ้นเราต้องยอมรับว่า หนังสือของเขาทุกคนมีเหตุมีผล
ประการที่สอง ถ้าอัครสาวกเหล่านั้นไม่เสียสติเขาก็คงจะพูดมุสา อุปโลกเรื่องราวว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตาย อย่าลืมว่าคนที่พูดมุสาไม่สามารถจะเก็บความลับไว้ได้ ถ้าเขามุสาก็ต้องมีเบื้องหลังที่ทำให้เขามุสา เขามีความจำเป็นที่ต้องพูดมุสาหรือเขาอยากได้อะไร, เงินทองและชื่อเสียงหรือ? เปล่า พวกเขาเหล่านี้ได้สละบ้านเรือนและทรัพย์สมบัติเพื่อติดตามพระเยซู เขาไม่ประสงค์อะไรจากพระเยซู พระเยซูไม่ได้สัญญาที่จะให้เงินทองแก่เขา แท้จริงพระเยซูได้บอกล่วงหน้าแล้วว่า เขาจะได้รับความลำบากทุกคน เพราะฉะนั้นเงินทองและชื่อเสียงไม่เป็นเหตุทำให้เขามุสาแน่ อาจจะเป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจมีความกลัวหรืออยากจะปกปิดความผิด ไม่เป็นความจริงเลย พวกอัครสาวกไม่เคยกลัวผู้ใดแม้กระทั่งผู้มีอำนาจปกครองประเทศ ทุกคนยอมพลีชีพเพื่อประกาศว่าพระเยซูฟื้นขึ้นจากตาย เพราะฉะนั้นจึงสรุปว่า การที่อัครสาวกยอมเสียสละชีวิตของเขาทุกคน ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นผู้เสียสติ ไม่ใช่เพราะเขามุสา แต่เป็นเพราะเขาทั้งหลายได้ประกาศความจริง ตามที่เขาเห็นด้วยตาและสัมผัสด้วยมือของเขาว่า พระเยซูได้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาแน่นอน ไม่มีพยานที่ไหนที่จะทำได้ดีกว่านี้อีกแล้วที่จะยอมเสี่ยงเอาชีวิตของตนเป็นเดิมพัน แสดงว่าอานุภาพของพระเยซูที่มีต่อจิตใจของอัครสาวกไม่อาจหาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาฉุดกระชากออกไปได้
2. พยานของคริสเตียนยุคแรกเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู
พวกคริสเตียนในสมัยเริ่มแรกเกิดมีกำลังใจอันมหาศาลจากพระเจ้า กำลังใจทำให้เขาทั้งหลายเกิดความกล้าหาญไม่รูจักกลัวความตาย เขาทั้งหลายทุกคนยืนขึ้นโดยไม่เกรงกลัวต่ออำนาจของผู้ใด เขาทั้งหลายได้พลิกคว่ำแผ่นดิน ในศตวรรษแรกทั่วจักรวรรดิ์โรมในสมัยนั้นด้วยคำพยานที่ว่า "พระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยของมนุษย์ทุกคน" ผลจากการประกาศด้วยความร้อนรนเองจริงเอาจัง ทำให้ฝูงชนนับจำจวนไม่ถ้วนเป็นคริสเตียน แม้กระทั่งทหารโรมและพวกข้าราชการที่มีตำแหน่งสูงของโรม
การเผยแพร่ศาสนาคริสต์เป็นไปอย่างไม่หยุดยั้ง ถึงแม้ว่าพวกคริสเตียนจะได้รับการข่มเหงจากพวกยิวและพวกโรมก็ตาม โรมได้ออกกฎหมายห้ามพวกคริสเตียนชุมนุมกัน แม้กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ลดละได้แอบซ่อนประชุมกันตามสุสานต่าง ๆ มีพวกคริสเตียนจำนวนมากถูกฆ่าตาย บ้างก็ถูกเผาทั้งเป็น บ้างก็ถูกปล่อยให้สิงโตกัด ในสมัยที่โรมมีอำนาจพวกคริสเตียนได้ถูกบังคับให้สู้กับสิงโตในโรงมหรสพ ครั้นเมื่อจักรพรรดิเนโรห์ครองราชย์ พระองค์ได้เผากรุงโรมและโยนความผิดให้พวกคริสเตียน พวกคริสเตียนเป็นจำนวนมากถูกจับไปพิพากษาบังคับให้กล่าวคำหยาบและปฏิเสธพระเยซู แต่พวกคริสเตียนเหล่านั้นตั้งมั่นคงอยู่ในความเชื่อ เขาไม่ยอมปฏิเสธพระเยซูถึงแม้ตัวเขาจะตายก็ตาม ในจำนวนคริสเตียนที่ถูกฆ่าตายบางคนก็มีกล่าวไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ บางคนก็มีกล่าวไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์
การที่ยกเอาเรื่องพวกคริสเตียนถูกสังหารก็เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าถึงแม้โรมจะมีอำนาจทั่วทั้งภาคพื้นยุโรม, ปาเลสไตน์ มีทหารและกองทัพอันเกรียงไกรแต่โรมไม่สามารถยับยั้งการประกาศของพวกคริสเตียน ไม่สามารถจะเอาชนะพวกคริสเตียนได้ พวกโรมยิ่งทำการข่มเหง ฆ่าและทารุณกรรมต่าง ๆ พวกคริสเตียนก็หากลัวตายไม่ จำนวนคริสเตียนก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ๆ ในสมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน ค.ศ. 300 คอนสแตนตินได้เปิดโอกาสให้ทุกคนนับถือศาสนาคริสต์ได้โดยเปิดเผย เพราะหวังผลทางการเมือง อย่างไรก็ตามเราเห็นว่าการเป็นพยานของพวกคริสเตียนมีอานุภาพมาก ถึงแม้ตัวตายก็ยอม เพราะเขารู้แน่ว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา และทรงเป็นขึ้นมาจากตายแน่นอน
3. พยานจากการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเปาโล
เปาโลเป็นชนชาติยิว บุตรของคนมั่งมี เกิดที่เมืองตาระโซ มณฑลกิลิเกีย มีสัญชาติโรม (กิจการ 22.28) เปาโลได้ถูกส่งไปศึกษากับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งชื่อฆามาลิเอล ได้รับการฝึกอบรมให้เคร่งครัดในความเชื่อของลัทธิและประเพณียิว ภายหลังได้เข้ามาเป็นสมาชิกในตุลาการของศาลยิว เป็นผู้ที่ลงมือจับพวกคริสเตียนไปขังคุก การตายของซะเตฟาโนนั้นเปาโลก็มีบทบาทในการฆ่าด้วย ภายหลังได้ถือสาสน์จะไปจับพวกคริสเตียนที่เมืองดาเมเซ็ก ในระหว่างที่กำลังเดินทางอยู่นั้น พระเยซูได้ปรากฏแก่เปาโล มีแสงสว่างจ้ามาล้อมไว้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ พระเยซูได้ตำหนิเปาโลในการที่ได้ข่มเหงพวกคริสเตียน พระเยซูสั่งให้เปาโลเดินทางไปพบกับคริสเตียนคนหนึ่งในเมืองชื่ออะนาเนีย ได้ชี้แจงรายละเอียดตามที่พระเจ้าได้ดลใจให้เขากล่าวแก่เปาโล หลังจากที่ไม่ยอมรับประทานอาหารสามวัน เฝ้าแต่อธิษฐาน เมื่อเข้าใจตามที่อะนาเนียได้เล่าให้ฟัง ก็กลับใจมาเป็นผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์โดยการรับบัพติศมา (จุ่มมิดน้ำ) พระเยซูได้ตั้งให้เปาโลเป็นอัครสาวกพิเศษที่จะออกไปประกาศเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายแก่ชนประเทศต่าง ๆ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตายแล้วไม่กี่ปี
ตั้งแต่วันที่เปาโลได้เห็นพระเยซูแล้วชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป เขาเริ่มออกไปประกาศเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูทันที เปาโลเองเป็นผู้ที่กล่าวว่า "ถ้าพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นมาจากตาย การเทศนาของเราก็ไม่มีหลัก" (1โกรินโธ 15.14) การเปลี่ยนแปลงชีวิตของเปาโลจากหน้ามือเป็นหลังมือทำให้พวกยิวผู้มีอำนาจทุกคนรวมทั้งพวกคริสเตียนต่างก็พากันตกใจกลัวไม่ทราบว่าเปาโลจะใช้ลูกไม้แบบไหน แต่ครั้นเมื่อเปาโลได้เผชิญกับการถูกข่มเหงครั้งแรกที่อาระเบีย และเมื่อเกือบถูกฆ่าตาย พวกคริสเตียนจึงได้ยอมรับเปาโล ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเปาโลก็ได้เป็นผู้ออกไปประกาศทั่วทุกแห่ง ที่ปาเลสไตน์, ยุโรม, สเปน, และโรม เปาโลได้เผชิญกับอันตรายรอบด้าน (กิจการ 9.12-38 และหนังสือจดหมายของเปาโลทุกฉบับ) ในที่สุดได้ถูกตัดศีรษะที่กรุงโรมในสมัยจักรพรรดิเนโรห์ เมือ ค.ศ. 67
ทำไมชีวิตของเปาโลจึงเปลี่ยนไป มีอะไรทำให้ชีวิตของเปาโลเปลี่ยนไป เขาเคยฆ่าพวกคริสเตียน ขู่คำรามจะจับพวกคริสเตียน แต่บัดนี้เขายินดีจะยอมตายเพื่อพระนามของพระเยซู โปรดพิจารณาข้อมูลดังต่อไปนี้
ก. เปาโลแกล้งเป็นคริสเตียนเพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่างหรือ? เปาโลมิได้เปลี่ยนศาสนาเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว
(1) เงินรึ ไม่ใช่ เพราะเปาโลมีเงินอยู่แล้ว หลังจากที่เป็นคริสเตียนเขากลับต้องยากจน แต่เขาก็ยังยึดมั้นในความเชื่อ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เขาเห็นแก่เงินจึงเป็นคริสเตียน (1โกรินโธ 4.11-13, 2โกรินโธ 12.14, กิจการ 20.33-34)
(2) ชื่อเสียงรึ ไม่ใช่ เพราะเปาโลมีชื่อเสียงอยู่แล้ว (1โกรินโธ 1.26-29, 4.11)
(3) เปาโลอยากมีอำนาจรึ เปาโลเป็นสมาชิในศาลตุลาการยิวอยู่แล้ว พระเยซูไม่มีอำนาจอะไรจะให้ เปาโลเป็นคนถ่อมสุภาพมากเท่าที่เราอ่านพบในหนังสือที่เขาเขียนไปยังคริสเตียนตามหัวเมืองต่าง ๆ (ฟิเลโมน 23-24, 1โกรินโธ 1.13-17, 3.4-5, 2โกรินโธ 4.5)
เพราะฉะนั้นเรายืนยันได้ว่าเปาโลมิใช่เป็นคริสเตียนเพราะผลประโยชน์ส่วนตัว
ข. เปาโลเป็นคนเสียสติหรือ ถ้าเราอ่านชีวประวัติของเปาโลเราจะพบว่า เปาโลไม่ใช่เป็นคนเสียสติ เขาเป็นคนได้รับการศึกษาสูง และเป็นคนมีเหตุมีผล เพื่อจะนำคนให้มาเป็นคริสเตียน (กิจการ 24.24-27, 26.2-29)
ค. เปาโลถูกหลอกให้เป็นคริสเตียนหรือ ไม่มีผู้ใดจะหลอกเปาโลได้ เพราะเปาโลได้รับการศึกษาสูงจากฆามาลิเอล (กิจการ 22.3) ในด้านศาสนาเขาเป็นคนที่เคร่งครัดที่สุด (ฟิลิปปอย 3.5-7) พวกคริสเตียนตอนแรกไม่อาจสู้หน้าเปาโลได้ พวกเพื่อนก็ไม่อาจชัดชวนเปาโลได้ เพราะเปาโลเหนือกว่าทุกคน (ฆะลาเตีย 1.13-14)
ถ้าเปาโลมิได้แกล้งเป็นคริสเตียนเพราะหวังผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่เสียสติ หรือไม่ถูกหลอก ก็มีอยู่ทางเดียวเหมือนที่เปาโลได้เป็นพยานทั่วทุกแห่งว่าชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงเพราะเขาได้เห็นพระเยซูคริสต์เจ้าบนถนนที่จะไปเมืองดาเมเซ็ก (กิจการ 22.1-21, ฆะลาเตีย 1.23-24) เพราะฉะนั้นเราสรุปว่าพระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย และได้ปรากฏแก่เปาโลเป็นคนสุดท้าย (1โกรินโธ 15.8)
4. อนุสรณ์ที่ระลึกถึงการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู
พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากตายและเสด็จสู่สวรรค์นับเป็นเวลามากกว่า 2000 ปีแล้ว อิทธิพลของพระเยซูยังคงดำรงอยู่จนทุกวันนี้ และจะดำรงอยู่ต่อไปเป็นนิตย์ มีอนุสรณ์เป็นเครื่องยืนยันว่าพระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตายหลายอย่างที่เราจะได้พิจารณาดังต่อไปนี้
ก. คริสตจักร คริสตจักรได้ตั้งขึ้นมาเป็นเวลามากกว่า 2000 ปีแล้ว และได้ตั้งอยู่บนความเชื่อของคริสเตียนในการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู (มัดธาย 12.38-40, 16.16-20, โรม 1.3-4, 1โกรินโธ 3.10, 15.17)
ข. พระครสิตธรรมคัมภีร์ หนังสือพระคัมภีร์ทั่วทุกแห่งทุกภาษามีสามสิ่งสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ได้คือ พระเยซูคริสต์, คริสตจักร, พระคัมภีร์ พระเยซูเป็นผู้ให้กำเนิดคริสตจักร และพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นเสมือนตัวหนังสือแห่งชีวิต ซึ่งเป็นผู้ประกาศคำสั่งสอนแทนพระเยซู พระคัมภีร์ทั้งเล่มยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากตาย
ค. วันอาทิตย์ เป็นวันที่ระลึกถึงวันที่พระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย (กิจการ 20.7, วิวรณ์ 1.10) ทั่วโลกได้ถือวันอาทิตย์เป็นวันหยุดการทำงาน
ง. การรับประทานเพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระเยซู พระเยซูได้ตั้งพิธีนี้ก่อนสิ้นพระชนม์ เมื่อพรเยซูได้เสด็จขึ้นสวรรค์ไปแล้ว พวกคริสเตียนได้ทำพิธีระลึกถึงพระเยซูทุกวันอาทิตย์ เพื่อระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ การถูกฝังไว้ และการเป็นขึ้นมาจากตาย (กิจการ 2.42, 20.4, 1โกรินโธ 11.26)
อนุสรณ์เหล่านี้เป็นหลักฐานยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า พระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย และทรงประทับอยู่ที่แผ่นดินสวรรค์ พระองค์เป็นผู้ประทานความหวังให้แก่มนุษย์ทุกคน สักวันหนึ่งเราจะเป็นขึ้นมาจากตายด้วย ถ้าเราวางใจในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า
สรุปข้อความ
คนสำคัญได้เกิดมามีบทบาทในวงการศาสนาแล้วตายจากโลกนี้ไปเช่นเดียวกับคนอื่นทั่วไป มนุษย์เราก็ยังเผชิญกับความตายอยู่นั่นเอง ทำอย่างไรมนุษย์จะไม่รู้ตาย เราไม่สามารถพึ่งคนที่ตายไปแล้ว ผู้ที่มนุษย์พึ่งได้คือพระเยซูคริสต์เจ้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น พระเยซูได้มีข้อพิสูจน์มากมายเพียงพอที่จะทำให้เรามีความเชื่อมั่นว่าพระองค์จะทรงช่วยผู้ที่วาใจในพระองค์ให้ไปถึงซึ่งความไม่รู้ตายหรือชีวิตนิรันดร์ได้ เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับมายังโลกนี้อีก ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษามนุษย์ทุกคน
ได้พิสูจน์กันมาแล้วว่าเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูเป็นเรื่องจริง ผู้ที่เคยเป็นศัตรูของพระเยซูได้เปลี่ยนชีวิตของเขาเมื่อรู้แน่ว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาจากตาย เขาทั้งหลายได้ยอมตายเพื่อพระองค์ อัครสาวกซึ่งเป็นผู้รู้เห็นด้วยตาเองได้ยืนขึ้นประกาศความจริงจนตัวตาย ปัจจุบันนี้บรรดาคริสเตียนทั้งหลายยังยึดมั่นอยู่ในความจริงข้อนี้ เพราะนี่แหละเป็นความหวังของเราทั้งหลาย ไม่มีผู้ใดในโลกที่ได้เสนอข้อพิสูจน์มากเท่ากับพระเยซู พระเยซูทรงเป็นผู้ช่วยของมนุษย์โดยแท้
ลงชื่อรับใบประกาศนียบัตร
โปรดปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
1. ก่อนลงชื่อรับใบประกาศนียบัตร ท่านต้องตอบคำถามหลักสูตรที่ 3 ให้ครบทั้ง 6 บทเสียก่อน
2. กรุณากรอกข้อมูลให้ถูกต้อง เพื่อจัดส่งใบประกาศนียบัตรให้ท่านทางไปรษณีย์
3. หลังจากลงชื่อรับใบประกาศนียบัตรแล้ว ท่านสามารถเลือกเรียนหลักสูตรอื่นได้ทันที
4. ลงชื่อขอรับใบประกาศนียบัตร หลักสูตรที่ 3 คลิกที่นี่
1. ก่อนลงชื่อรับใบประกาศนียบัตร ท่านต้องตอบคำถามหลักสูตรที่ 3 ให้ครบทั้ง 6 บทเสียก่อน
2. กรุณากรอกข้อมูลให้ถูกต้อง เพื่อจัดส่งใบประกาศนียบัตรให้ท่านทางไปรษณีย์
3. หลังจากลงชื่อรับใบประกาศนียบัตรแล้ว ท่านสามารถเลือกเรียนหลักสูตรอื่นได้ทันที
4. ลงชื่อขอรับใบประกาศนียบัตร หลักสูตรที่ 3 คลิกที่นี่