หลายหน้าหลายสาเหตุของความไม่เชื่อ
THE MANY FACES AND CAUSES OF UNBELIEF
ทำไมคนมีปัญญาเป็นอันมากเลือกที่จะเชื่อว่า ไม่มีพระเจ้า? มนุษย์ชาติมีความภาคภูมิใจที่มีอิสระในการเลือก มีอิสระเสรีภาพโดยไม่มีการถูกบังคับมีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตัวเองทุกคน เลือกว่าเขาต้องการสวมใส่อะไร, เลือกที่จะรับประทานอะไร และเลือกที่จะไปที่ไหน แต่การตัดสินใจที่สำคัญที่สุดคือการตัดสินใจที่จะเชื่ออะไร คำพูดของท่านผู้หนึ่งในพระคัมภีร์เดิมชื่อยะโฮซูอะ เปิดโอกาสให้เราเห็นว่า แต่ละคนมีเสรีภาพที่จะเลือกในการนับถือพระเจ้า ยะโฮซูอะได้กล่าวแก่ชนชาติยิศราเอลหลายพันปีมาแล้ว ท่านกล่าวว่า "ถ้าไม่พอใจปฏิบัติพระยะโฮวาในวันนี้ก็ให้เลือกหาว่าจะปฏิบัติผู้ใด จะปฏิบัติพระซึ่งบิดาของท่านได้ปฏิบัติข้างแม่น้ำฟากข้างโน้น หรือพระของชาติอะโมรีในแผ่นดินซึ่งท่านอาศัยอยู่เดี๋ยวนี้ แต่ฝ่ายเราทั้งครอบครัวจะปฏิบัติพระยะโฮวา" (ยะโฮซูอะ 24:15) ยะโฮซูอะได้พูดไว้ชัดเจนดีอยู่แล้ว พวกชนชาติยิวรวมทั้งชนชาติอื่น ๆ รวมทั้งมนุษย์ทุกคนด้วยมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกที่จะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าTHE MANY FACES AND CAUSES OF UNBELIEF
อย่างไรก็ตาม เสรีภาพมักตามมาด้วยการรับผิดชอบ เสรีภาพในการเลือกตามมาด้วยการรับผิดชอบในการคิดอย่างระมัดระวังด้วยการเลือกอย่างชาญฉลาด และถือปฏิบัติอย่างจริงจัง เพราะฉะนั้นเป็นความรับผิดชอบของมนุษย์ทุกคนที่จะต้องตระหนักถึงความจริง และเชื่อฟังความจริง
หลายหน้าของความไม่เชื่อ FACES OF UNBELIEF
ในประวัติศาสตร์ คนเป็นอันมากได้ตัดสินใจที่จะไม่เชื่อพระเจ้า พวกไม่เชื่อใช้ชื่อเรียกตัวเองต่าง ๆ Atheists (ไม่เชื่อพระเจ้า), นักคิดอิสระ, พวกอวิชชา, พวกนอกศาสนา ฯลฯ เราจะพิจารณาดูความไม่เชื่อชนิดต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
พวกไม่เชื่อพระเจ้า Atheists
คำว่าไม่เชื่อพระเจ้า Atheists หมายถึง "ปราศจากพระเจ้า" คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าคือคนที่กล่าวว่าไม่มีพระเจ้า Carl Sagan เป็นผู้ที่ปฏิเสธพระเจ้าดังที่สุดคนหนึ่งในโลก เขาได้สรุปลัทธิความไม่เชื่อพระเจ้าดังนี้ "จักรวาลของเราเป็นอย่างนี้ และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป" พวกไม่เชื่อพระเจ้าคือพวกที่ประกาศอีกว่า ไม่มีพระเจ้าผู้ทรงสร้าง อย่างไรก็ตามเป็นการง่ายกว่าที่เรียกตัวเองว่าพวกไม่เชื่อพระเจ้า แต่ที่จะป้องกันสิ่งที่ตนเองเชื่อก็ยากกว่าเพราะในการที่เขาจะรู้ว่าไม่มีพระเจ้า เขาจะต้องรู้ข้อเท็จจริงอย่างละเอียด ในจักรวาล เพราะข้อเท็จจริงอันหนึ่งที่เขาไม่รู้อาจเป็นข้อเท็จจริงว่ามีพระเจ้าก็ได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าชายคนหนึ่งมีเสื้อเชิ้ตลายเส้นสีน้ำเงิน เขาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่มีเสื้อเชิ้ตตัวอื่นเหมือนอย่างนี้ในโลก เว้นไว้แต่ว่าเขาได้เห็นเสื้อเชิ้ตตัวอื่น ๆ ที่มีอยู่ในโลกแล้วทั้งหมด พวกไม่เชื่อพระเจ้าไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าพระเจ้าไม่มี เพราะเขาไม่สามารถรู้ข้อเท็จจริงอื่น ๆ ที่เขาควรจะรู้ เช่นเดียวกับชายที่มีเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินตัวเดียว ไม่สามารถเห็นเสื้อเชิ้ตอื่น ๆ ที่มีอยู่ในโลก ความจริงก็คือว่าผู้ไม่เชื่อพระเจ้าไม่กล้าเผชิญกับความจริง เขาตั้งใจไว้แล้วที่จะไม่เชื่อพระเจ้า เขาจึงสลัดทิ้งหรือไม่สนใจใยดีต่อหลักฐานต่าง ๆ ที่พิสูจน์ว่ามีพระเจ้า Issac Asimov ผู้ไม่เชื่อพระเจ้าที่โด่งดังอีกคนหนึ่ง ครั้งหนึ่งเขากล่าวว่า "ด้วยอารมณ์ ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า ข้าพเจ้าไม่มีหลักฐานว่า ทำไมไม่มีพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็สงสัยว่ามีพระเจ้าหรือเปล่า ข้าพเจ้าไม่ต้องการเสียเวลาของข้าพเจ้าเปล่า ๆ" ผู้ไม่เชื่อพระเจ้าไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าพระเจ้าไม่มี และไม่สามารถเสนอเหตุผลอีกด้านหนึ่งที่เชื่อว่ามีพระเจ้า
พวกอวิชชา Agnostics
คำว่าอวิชชา หมายความว่า "ปราศจากความรู้" พวกอวิชชาไม่กล้าประกาศอย่างเปิดเผยว่าไม่มีพระเจ้า เขาแนะว่าไม่มีใครสามารถ รู้ได้ว่า มีพระเจ้าจริงเพราะไม่มีหลักฐานมากเพียงพอที่จะหาข้อสรุปดังกล่าวได้ จึงทำให้พวกอวิชชากล่าวว่า "ข้าพเจ้าไม่รู้, คุณก็ไม่รู้, คนอื่นก็ไม่รู้ และไม่มีใครสามารถรู้ ถ้ามีพระเจ้า" พวกอวิชชามักชี้ให้เห็นบ่อยว่า มนุษย์ไม่สามารถรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ และมนุษย์ไม่เคยมีความสามารถที่จะ "พิสูจน์พระเจ้าด้วยปัญญาและความสามารถอันจำกัดของมนุษย์เอง ดังนั้นพวกอวิชชาจึงเสนอให้มนุษย์ล้มเลิกที่จะค้นหาได้แล้ว พวกอวิชชาล้มเหลวที่จะตระหนักว่าความคิดดังกล่าวจะต้องมองกันทั้งสองมุมมอง
ถ้าคิดอย่างนั้นก็หมายความว่า มนุษย์ต้องไม่สามารถเอื้อมถึงพระเจ้าได้ และพระเจ้าก็ไม่สามารถเอื้อมลงมาถึงมนุษย์ได้ แต่พระเจ้าสามารถเอื้อมถึงมนุษย์ได้เพราะพระเจ้าไม่มีความจำกัดด้วยเวลาและความรู้เหมือนกับมนุษย์ พระเจ้าผู้มีสภาพอมตะสามารถสำแดงพระองค์ให้เราประจักษ์เมื่อใดก็ได้ตามพระประสงค์และไม่มีอะไรปิดกั้นพระองค์ไม่ให้ทำอย่างนั้นได้ยิ่งกว่านั้นมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่าพระองค์ได้ทำอย่างนั้นแหละพวกอวิชชาได้อ้างว่า "ข้าพเจ้าไม่สามารถรู้ได้"
อันที่จริงนี่เป็นหน้ากากที่ใส่ไว้เพื่อปิดบังความเป็นจริงเพราะเขาตระหนักดีว่ามีหลักฐานมากมาย (ซึ่งเขาไม่สามารถอธิบายหรือทำลายข้อพิสูจน์) ที่พิสูจน์ว่ามีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่จริงบางทีพวกอวิชชาไม่สามารถค้นหาพระเจ้าพบได้ ด้วยเหตุผลอันเดียวกับที่ขโมยไม่สามารถค้นหาตำรวจพบได้
พวกนักสงสัย Skeptics
พวกนักสงสัยคือพวกที่สงสัยว่ามีพระเจ้าหรือเปล่า พจนานุกรมให้คำจำกัดความไว้ว่าพวกนักสงสัยคือพวกที่ยึด ถือว่า "คำสอนที่เป็นความรู้จริงหรือความรู้ในสาขาวิชาใดเป็นสิ่งไม่แน่นอน โดยเฉพาะพวกเขาสงสัยหลักศาสนาขั้นพื้นฐาน" โปรดสังเกตว่าพวกนักสงสัยไม่ได้อ้างว่าความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ (ไม่เหมือนกับพวกอวิชชา) แต่พวกนักสงสัยบอกว่าไม่แน่นอน พวกนักสงสัยไม่เตรียมตัวที่จะยอมรับอะไรเลยนอกเสียจากว่าสิ่งนั้นต้องพิสูจน์ได้โดยองค์สัมผัสทั้งห้า
สำหรับพวกนักสงสัยวิทยาศาสตร์เป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่สามารถพิสูจน์ได้ทุกสิ่งในเมื่อพระเจ้าทรงเห็นไม่ได้ ลิ้มรสไม่ได้ ยินไม่ได้ สัมผัสไม่ได้ และดมกลิ่นไม่ได้ พวกนักสงสัยจึงกล่าวว่าพระเจ้าไม่มี หรือถ้ามีก็ไม่มีความสำคัญอะไร อย่างไรก็ตามแนวความคิดดังกล่าวของพวกนักสงสัยเป็นสิ่งที่ผิดเพราะแม้ว่าเขารู้บางสิ่งว่ามีตัวตนแต่เขาก็ไม่สามารถพิสูจน์โดยวิธีของวิทยาศาสตร์ได้ วิทยาศาสตร์จะไม่สามารถวิเคราะห์หรืออธิบายเรื่องความรัก การเกลียดชัง การเสียใจ หรือความยินดี วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมในสนามรบทหารยอมสละชีวิตของตัว ยอมให้ระเบิดประหารชีวิตตนเองเพื่อช่วยชีวิตเพื่อน สิ่งที่เศร้าก็คือพวกนักสงสัยต้องลงทุนสูญเสียอย่างมาก เพราะความสงสัยของพวกเขา นั่นก็คือเขาได้ปฏิเสธและสลัดทิ้งแนวความคิดอันสำคัญที่สุดของมนุษย์ชาติเพียงเพื่อจะพูดว่า "ข้าพเจ้าสงสัยว่ามีพระเจ้าหรือเปล่า"
พวกนอกศาสนา Infidels
พวกนอกศาสนาไม่ใช่เพียงแต่เป็นพวกที่ปฏิเสธไม่เชื่อพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังขัดขวางและต่อต้านพวกเหล่านั้นที่เชื่อพระเจ้า พวกนอกศาสนาได้พูดจาต่อต้านพระเจ้า และทำทุกสิ่งเท่าที่จะทำได้ในการประณามศาสนา พวกนอกศาสนาหมิ่นประมาทพระเจ้าและพระคัมภีร์ และหมิ่นประมาทใครก็ตามที่มีความเชื่อแตกต่างจากพวกเขา
สาเหตุของความไม่เชื่อหลายประการ
CAUSES OF UNBELIEF
CAUSES OF UNBELIEF
เราได้พิจารณากลุ่มต่าง ๆ ที่ปฏิเสธไม่เชื่อพระเจ้า แต่เพราะอะไรที่แท้จริง ทำไมพวกเขาปฏิเสธไม่เชื่อพระเจ้า ส่วนที่เหลือของบทเรียนนี้ เราจะพิจารณาเหตุผลบางประการของคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าและไม่เชื่อพระคัมภีร์
ใจอคติต่อพระเจ้า Bias Against God
ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าคนเป็นอันมากพบว่าการเชื่อพระเจ้าเป็นเรื่องยากเพราะใจอคติของเขาคอยโน้มน้าวจิตใจของเขาให้ต่อต้าน ใจอคติดังกล่าวนี้มีผู้เรียกว่า "พวกมีใจอคติของความไม่เชื่อ" ผู้เขียนคนหนึ่งกล่าวว่า "เหตุผลอันสำคัญอันหนึ่งที่ชัดเจนคือการที่ผู้ไม่เชื่อพระเจ้ายังไม่ยอมเชื่อก็เพราะ เขาชอบอย่างนั้น อันที่จริงข้อพิสูจน์หรือหลักฐานใดไม่สามารถโน้มน้าวจิตใจของเขาได้เพราะอย่างไรเสีย ใจของเขา ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่เชื่อ บางครั้งคนเดือดร้อนเพราะมีใจอคติจนเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อคติเรื่องพระเจ้า เขาถูกครอบงำด้วยใจอคติต่อพระเจ้าของพระคัมภีร์ พระเจ้าของพวกคริสเตียนเป็นศัตรูของพวกเขา เพราะว่าพระเจ้าไปขัดขวางตัณหาและความทะเยอทะยานของพวกเขา พูดง่าย ๆ ก็คือสิ่งที่มนุษย์ปรารถนาสวนทางกับน้ำพระทัยของพระเจ้า การสวนทางดังกล่าวพาไปสู่การขัดแย้งกับสิ่งที่ตนเองสนใจ บางคนมีใจอคติต่อพระเจ้ามาก ๆ เขาเต็มใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ในความบาป และตายไปดีกว่าที่จะเชื่อฟังพระเจ้าโดยไม่ทำบาป เปาโลได้เตือนสติคริสเตียนยุคแรกซึ่งอยู่ในกรุงโรมว่า "เมื่อเขาทั้งหลายได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขายังไม่ได้ถวายเกียรติยศแด่พระองค์อย่างสมควรที่เขาจะกระทำแก่พระเจ้า และหาได้ขอบพระคุณไม่ แต่ได้คิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาร และใจโง่ของเขาก็มืดไป ครั้นเขาไม่เห็นดีที่จะรู้จักพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงปล่อยให้เขามีใจชั่วประพฤติการที่ไม่สมควร" (โรม 1:21, 28) ปัญหาของคนเหล่านั้นที่เปาโลเขียนไปถึงไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่สามารถรู้จักพระเจ้าได้ (ข้อพระคัมภีร์ในหนังสือโรมบอกชัดเจนว่า คนเหล่านั้นสามารถรู้ได้ และพวกเขารู้ว่ามีพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่จริง)
ปัญหาของคนเหล่านี้ก็คือปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งที่เขารู้แล้วว่ามีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่จริง ผู้เหล่านั้นที่เปาโลกล่าวถึงเป็นพวกที่มีใจอคติต่อต้านพระเจ้ามากทำให้พวกปฏิเสธไม่ยอมรับรู้เรื่องพระเจ้าด้วยเหตุนี้เปาโลจึงได้เขียนถึงพวกเขา (เขียนโดยได้รับการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์) ใจความว่า "เขาถือว่าเป็นนักปราชญ์ เขาจึงเป็นคนโง่เขลาไป" (โรม 1:22) คำว่า "โง่" ตามความหมายของพระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้หมายถึงคนที่ไม่มีปัญญาที่ใช้ในที่นี้ก็ไม่ได้หมายถึงคนที่ไม่มีปัญญาแต่คำนี้ใช้ในแง่ของศาสนา เหมือนที่หนังสือโรมบทที่ 1 กล่าวไว้ เพราะเหตุนี้ผู้เขียนหนังสือบทเพลงสรรเสริญ (เขียนโดยได้รับการดลใจ) ได้เขียนว่า "คนโฉดเขลากล่าวในใจของตนแล้วว่าพระเจ้าไม่มี" (บทเพลงสรรเสริญ14:1) ถ้า "ความเกรงกลัวพระเจ้าเป็นต้นเหตุให้เกิดสติปัญญา" (บทเพลงสรรเสริญ 111:10) ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าความโงเขลาต่าง ๆ มีจุดกำเนิดมาจากการปฏิเสธพระเจ้า ไม่เคารพยำเกรงพระเจ้า ยะซายาได้กล่าวถึงคนโง่ไว้ว่า "คนโฉดเขลาก็จะพูดล้วนแต่ความโฉดเขลาและจิตต์ใจของเขาก็ครุ่นคิดแต่ความอสัตย์" (ยะซายา 32:6) เพราะฉะนั้นใจอคติต่อต้านพระเจ้าจึงเป็นสาเหตุอันยิ่งใหญ่ของคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ผู้เขียนพระคัมภีร์เฮ็บรายจึงได้เตือนสติว่า "ดูก่อนท่านทั้งหลาย จงระวังให้ดีหากว่าในพวกท่านจะมี ผู้หนึ่งผู้ใดเกิดใจชั่วที่ไม่เชื่อ แล้วก็หลงไปจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่" (เฮ็บราย 3:12)
อิทธิพลของพ่อแม่และการเลี้ยงดู INFLUENCE OF PARENTS AND UPBRINGING
แน่นอนอิทธิพลที่มีอานุภาพต่อมนุษย์มากที่สุดคือพ่อแม่ พูดโดยทั่วไปแล้วพ่อแม่ไม่ใช่เป็นผู้ที่มีอิทธิพลแรกในชีวิตของเด็กเท่านั้น แต่พ่อแม่ยังมีอิทธิพลในชีวิตอย่างต่อเนื่อง มีคำกล่าวว่า จิตใจของเด็กเป็นเหมือนกับเจลโล พ่อแม่มีหน้าที่รับผิดชอบที่จะใส่สิ่งดีเข้าไปก่อนที่เจลโลจะแข็งตัว หน้าที่ในการสอนสิ่งที่ถูกเข้าในจิตใจเด็กเป็นการยาก และต้องมีความอดทนมากจะต้องใช้เวลาในการสอนเด็กทั้ง 24 ชั่วโมง เป็นกระบวนการสอนเต็มเวลาอย่างต่อเนื่อง ตอนที่เรานั่งอยู่กับเด็ก นั่งอยู่ในรถ, นั่งรับประทานอาหารร่วมกัน หรือแม้นั่งดูโทรทัศน์ด้วยกัน (ดูพระบัญญัติ 6:6-7) บางครั้งการศึกษาของเด็กเป็นไปโดยการสั่งสอนโดยตรง ด้วยเหตุนี้เองพ่อแม่ควรเอาใจใส่ในการอบรมสั่งสอนลูก ๆ ของตนด้วยการ"อบรมสั่งสอนไปในทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า" (เอเฟโซ 6:4) บางทีการอบรมสั่งสอนก็ทำด้วยการใช้วินัยเฆี่ยนตีสั่งสอนลูกเหมือนดังข้อความในหนังสือสุภาษิต 29:15 ที่กล่าวไว้ว่า "ไม้เรียวที่ตีสอนทำให้เกิดมีปัญญา แต่เด็กที่ถูกละเลยนั้นเป็นเหตุกระทำให้มารดาของตนได้ความละอาย" อย่างไรก็ตามโดยมากพ่อแม่ล้มเหลวที่จะสั่งสอนลูก ๆ ของตนให้เชื่อฟังพระเจ้า บางครั้งพ่อแม่สอนให้ลูก ๆ ไม่เชื่อฟังพระเจ้าด้วยซ้ำไป ถ้าเด็กเห็นพ่อแม่ของตนไม่สนใจเรื่องพระเจ้าหรือสงสัยหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าก็จะทำให้ลูก ๆ กลายเป็นคนหัวแข็งไม่สนใจ เป็นคนสงสัยเหมือนกับพ่อแม่ของเขา สภาวะฝ่ายวิญญาณด้านศีลธรรมของประเทศชาติจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ถ้าพ่อแม่ล้มเหลวที่จะอบรมสั่งสอนลูก ๆ ของตนให้มีความเชื่อในพระเจ้า
การศึกษา EDUCATION
แน่นอนเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งของการที่คนไม่เชื่อพระเจ้าก็คือ การศึกษาที่ไม่เหมาะสม การศึกษาที่ถูกและเหมาะสมจะเป็นเครื่องมืออันสำคัญในการรักษาสังคมและประเทศชาติ แต่การศึกษาบางชนิดไม่ดีมาก ๆ ไม่เพียงแต่ไม่ดีสำหรับบุคคลเท่านั้น แต่ยังไม่ดีสำหรับสังคมทั่วไปด้วย การศึกษาที่พยายามจะทำลายความเชื่อว่ามีพระเจ้าผู้ทรงสร้างนับว่าเป็นระบบการศึกษาในทางลบ อันจะนำไปสู่ความหายนะเท่านั้นเอง เป็นเรื่องเศร้าการศึกษาที่เสนอสอนในโรงเรียนของรัฐมีแนวโน้มในการทำลายความเชื่อในพระเจ้า เครื่องมืออันสำคัญที่ใช้ในการสอนในโรงเรียนเพื่อทำลายความเชื่อ ก็คือการสอนทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ตลอด 25 ปีที่ผ่านมาทฤษฎีวิวัฒนาการได้ใช้สอนว่าเป็นวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องตามโรงเรียนชั้นประถมต้น มัธยมปลาย ตลอดจนสอนในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ผลก็คือเมื่อครูได้ใช้ตำราที่สอนว่าทฤษฎีวิวัฒนาการเป็น "ความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์อันเรืองนาม" นักเรียนก็เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการตามครูโดยไม่มีโอกาสได้พิจารณาหลักฐานและเหตุผลของฝ่ายที่เชื่อว่ามีพระเจ้า เป็นคำอธิบายที่ดีกว่าในการอธิบายการเกิดของจักรวาลและสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้น การยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการย่อมนำไปสู่การไม่เชื่อพระเจ้า
ความเสื่อมโทรมของศีลธรรม IMMORALITY
คนเป็นอันมากไม่เชื่อพระเจ้าเพราะว่าถ้าเขาเชื่อพระเจ้า เขาก็จะต้องเปลี่ยนแปลงวิถีทางการใช้ชีวิต คนเหล่านี้อาจทำผิดหลายอย่าง เช่น พวกรักร่วมเพศ ผิดประเวณี โลภ หรือการกระทำใด ๆ ที่ละเมิดพระบัญญัติของพระองค์ ทันทีที่เขายอมรับว่ามีพระเจ้า ทันทีเขาจะต้องยอมรับรู้ว่าพระเจ้าต้องการให้เขาทำบางอย่างและไม่ต้องการให้เขาทำบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงเลือกเอาง่าย ๆ โดยเลือกเชื่อว่าไม่มีพระเจ้า บทเพลงสรรเสริญ 14:1 เอ่ยถึงคนพวกนี้ว่า "คนโฉดเขลากล่าวในใจของตนแล้วว่าพระเจ้าไม่มี เขาทั้งหลายประพฤติชั่วช้าลามก กระทำการน่าเกลียด" เหตุผลที่ใช้กันมากที่สุดในการเลือกที่จะไม่เชื่อพระเจ้าก็เพราะเขาไม่ต้องการที่จะละทิ้งชีวิตในความบาป เขายังรักที่จะทำบาปต่อไปนั่นเอง
วิทยาศาสตร์วัตถุนิยม SCIENTIFIC MATERIALISM
เรามีชีวิตอยู่ในยุคที่มีวิทยาศาสตร์เป็นใหญ่ และเราเห็นความสำเร็จทุกวัน วิทยาศาสตร์ได้ประสบความสำเร็จในการทำสิ่งอันน่าอัศจรรย์หลายอย่าง เช่น ขจัดโรคไข้ทรพิษออกไปจากสังคม มนุษย์สามารถไปลงบนดวงจันทร์ ปันกันโรคโปลิโอ และช่วยต่ออายุของมนุษย์ให้ยาวออกไป อย่างไรก็ตามขณะที่เรายินดีกับความสำเร็จของวิทยาศาสตร์ในเวลาเดียวกันเราควรยอมรับว่าวิทยาศาสตร์เป็นหนี้พระเจ้า ในเยเนซิศ 1:28 พระเจ้าสั่งมนุษย์ว่า "จงมีอำนาจเหนือแผ่นดินและครอบครองเหนือทุกสิ่ง" แน่นอนคำตรัสของพระองค์เป็นหลักอันสำคัญของพื้นฐานที่มาของวิทยาศาสตร์
แม้กระนั้นโดยไม่ต้องสงสัยเลยว่าอุปสรรคขัดขวางความเชื่อในพระเจ้าก็คือท่าทีของวิทยาศาสตร์ที่ทำให้ความเชื่อในพระเจ้าจางหายไป นักวิทยาศาสตร์เป็นจำนวนมากในปัจจุบันได้อ้างว่าวิธีเดียวที่จะค้นพบบางสิ่งบางอย่างก็โดยการวิจัยอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าบางสิ่งบางอย่างไม่สามารถวิจัยโดยใช้องค์สัมผัสทั้ง 5 ประการ แสดงว่าสิ่งนั้นไม่มีหรือไม่สำคัญ เพราะฉะนั้นในเมื่อพระเจ้าไม่สามารถพิสูจน์โดยองค์สัมผัสทั้ง 5 นักวิทยาศาสตร์เป็นจำนวนมาก รวมทั้งผู้อื่นที่มีความคิดเดียวกัน จึงสรุปว่าไม่มีพระเจ้า หรือถ้ามีพระเจ้าก็ไม่มีความสำคัญ
พวกปัญญาชน INTELLECTUAL PEER PRESSURE
ไม่มีใครยอมให้คนอื่นตราหน้าว่าเป็นคนโง่เขลา พวกปัญญาอ่อน แต่พวกที่ยืนขึ้นป้องกันความเชื่อว่ามีพระเจ้าจริง ผู้ทรงสร้างตามหลักคำสอนของพระคัมภีร์มักจะถูกประณามว่าเป็นพวกปัญญาอ่อน พวกปัญญาชนเป็นอันมากมักเป็นนักวิทยาศาสตร์และพวกเหล่านี้ส่วนมากเชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ จึงมีทัศนะว่า "คนมีปัญญาส่วนมาก" เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ ถ้าเป็นอย่างนั้น คนที่มีปัญญาจะผิดได้อย่างไรกัน
อย่างไรก็ตามทัศนะคติที่บอกว่าความจริงตัดสินโดยเสียงข้างมากนั้นเป็นความคิดที่ผิด ความจริงบางครั้ง(หรือส่วนมาก) แม้ว่าเป็นความจริงแต่ผู้ยอมรับนั้นเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น แท้จริงความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ได้เกิดขึ้นจากการค้นคว้า ต้องเผชิญกับความขัดแย้งต่อความคิดเห็นจากเสียงข้างมาก แม้ว่าจะเป็นเสียงข้างน้อยก็ตาม เพื่อเห็นแก่ความจริง การมีคนนับล้าน ๆ เชื่อบางสิ่งบางอย่างไม่ได้ทำให้ความเชื่อของเขาถูกต้อง ถ้าบางสิ่งที่เป็นความจริงการพูดนับล้าน ๆ ครั้งก็ไม่ได้ทำให้ความจริงจริงมากขึ้น หรือถ้าเป็นความเท็จการพูดนับล้าน ๆ ครั้ง ก็ไม่ได้ทำให้ความเท็จลดความเท็จลง
ความชั่วความทุกข์และการเจ็บปวด EVIL, PAIN, AND SUFFERING
เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้คนไม่เชื่อก็คือ ความชั่วที่เห็นทั่วไป ความทุกข์และการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ถ้ามีพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพและถ้าพระองค์ดีพร้อม ทำไมสิ่งเลวร้ายจึงเกิดขึ้นกับผู้บริสุทธิ์ (เช่น ทารก?) คนเป็นอันมากทิ้งความเชื่อในพระเจ้าเพราะความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขา หรือเกิดขึ้นกับผู้ที่ใกล้ชิดกับเขา บางคนสูญเสียลูกไป บ้างคิดว่าพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐานของเขา บ้างเห็นเพื่อนรักของตนจากไป การเผชิญกับโศกนาฏกรรมต่าง ๆ ทำให้เขาตัดสินใจไปว่าพระเจ้าไม่มี เพราะถ้ามีพระเจ้าพระองค์ก็คงป้องกันไม่ให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น
ต่อไปนี้เป็นคำตอบของปัญหานี้โดยสังเขป เมื่อพระเจ้าสร้างสารพัดทุกสิ่งพระองค์ทรงตรัสว่าดีนัก (เยเนซิศ 1:31) อย่างไรก็ตามชายหญิงคู่แรก (อาดามและฮาวา) ได้ทำบาปต่อพระเจ้าและได้นำความเจ็บปวดและความทุกข์ให้เกิดขึ้นในโลกนี้ พระเจ้าได้ประทานสิทธิเสรีภาพให้มนุษย์เลือกตัดสินใจเอง พระองค์ไม่ได้สร้างมนุษย์ให้เป็นเหมือนกับหุ่นยนต์ซึ่งไม่มีสิทธิเลือกได้เอง ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบันนี้เป็นผลเนื่องมาจากการที่มนุษย์ใช้เสรีภาพไปในทางที่ผิดทั้งในอดีตและในยุคปัจจุบัน
ยิ่งกว่านั้น บางครั้งความทุกข์ยากลำบากก็มีประโยชน์ คิดถึงคนที่หน้าอกเริ่มเจ็บปวดเป็นอาการเริ่มต้นของหัวใจวาย หรือสตรีที่มีอาการเจ็บที่บั้นเอวเป็นอาการเริ่มต้นของไส้ติ่งอักเสบ อาการเจ็บปวดส่งเราให้ไปหานายแพทย์เพื่อป้องกันและรักษา นอกนั้นความเจ็บปวดและโศกนาฏกรรมช่วยมนุษย์ให้มีอุปนิสัยที่ดีงามในสังคม เช่น ความกล้าหาญ วีรบุรุษ การเสียสละ และนิสัยที่ดีอื่น ๆ
ความจริงแม้กระทั้งพระเยซูในฐานะที่เป็นพระบุตรของพระเจ้ายังต้องเผชิญกับความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน (เฮ็บราย 5:8, เปโตร 2:21-22) ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรักและห่วงใยต่อพลไพร่ของพระองค์ พระเจ้าอาจจะปล่อยให้เราทำบาปตามใจของเราเอง แต่พระองค์ไม่ปล่อยให้เราทำอย่างนั้น "พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลายคือขณะเมื่อเราทั้งหลายยังเป็นคนบาป พระคริสต์ได้ทรงยอมตายแทนเรา" (โรม 5:8)
สรุป
คนส่วนมากคิดว่า "ปัญญา" ของมนุษย์ทดแทนปัญญาของพระเจ้า (1โกรินโธ 1:18-25) ทำให้คนเป็นอันมากหลงทางกลายเป็นคนใช้การไม่ได้ นี่เป็นโศกนาฏกรรมที่เห็นดาษดื่นในยุคนี้ ราคาที่มนุษย์ชดใช้จากการเป็นผู้มีปัญญาด้วยการเรียนรู้ กลับทำให้กลายเป็นคนโฉดเขลาในทางฝ่ายวิญญาณจิต เป็นการสูญเสียจิตวิญญาณอันมีค่าเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ องค์พระผู้เป็นเจ้ายินดีที่จะช่วยผู้ที่มีชีวิตด้วยความจริงใจ แม้ว่าไม่เชื่อ พระองค์ได้ประทานหลักฐานมากพอเพื่อช่วยให้เขาเกิดความเชื่อได้ แต่สำหรับคนเหล่านั้นที่ปฏิเสธไม่ยอมเชื่อพระเจ้าทั้ง ๆ ที่มีหลักฐานเพียบพร้อม จะเป็นอย่างไรกับคนเหล่านี้? อัครสาวกโยฮันได้กล่าวว่า "แต่คนขลาด, คนไม่เชื่อ, คนที่กระทำการอุจาด, คนที่ฆ่ามนุษย์, คนที่กระทำผิดประเวณีชายหญิง, คนทำเล่ห์กระเท่ห์, คนบูชารูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดมุสาจะได้ส่วนมฤดกของตนที่ในบึงที่มีไฟและกำมะถันไหม้อยู่นั้น นั่นแหละเป็นความตายที่สอง" (วิวรณ์ 21:8)