บทที่ 7
บทที่7
คำนำทั่วไปเกี่ยวกับพระคริสตธรรมคัมภีร์
A GENERAL INTRODUCTION TO THE BIBLE
ความต้องการการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า
THE NEED FOR REVELATION FROM GOD
หลังจากที่เราได้รู้แล้วว่ามีพระเจ้าผู้ทรงสร้างจริงเป็นการสมเหตุสมผลที่ควรคิดว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์ต้องการติดต่อกับมนุษย์ มนุษย์มีสติปัญญาสูง มีความเมตตา มีความดี มีความยุติธรรม และมีคุณลักษณะที่ดีอื่น ๆ อีกมากมาย เมื่อเป็นเช่นนั้นพระผู้ทรงสร้างก็ไม่น่าจะมีอะไรด้วยกว่ามนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างด้วยประการทั้งปวง เพราะอย่างไรผลจะไม่ยิ่งใหญ่กว่าเหตุ ดังนั้นพระเจ้าผู้ทรงสร้างจะทรงสำแดงคุณลักษณะที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่ามนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างในด้านพระสติปัญญา พระเมตตากรุณา ความดีของพระองค์ ความยุติธรรมของพระองค์ ฯลฯ เพราะฉะนั้นความจำเป็นในการสื่อสารติดต่อระหว่างพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศกับมนุษย์ผู้มีสติปัญญาที่พระเจ้าเป็นผู้สร้างจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน
ถ้าปราศจากการสื่อสารติดต่อจากพระเจ้ามนุษย์จะรู้จักพระเจ้าและรู้ซึ้งถึงพระลักษณะของพระองค์ในการเป็นผู้ทรงสร้างหรือจะเข้าใจได้อย่างไรว่า พระผู้ทรงสร้างประสงค์อะไรกับมนุษย์ที่พระองค์ได้สร้าง? ดังนั้นความต้องการสิ่งที่พระเจ้าเปิดเผยพระองค์เองในฐานะเป็นผู้ทรงสร้างจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อพระองค์จะสอนมนุษย์เกี่ยวกับเรื่องบางสิ่งบางอย่างดังต่อไปนี้
เกี่ยวกับพระลักษณะของพระเจ้า THE CHARACTER OF GOD
เราสามารถมองเห็นฤทธานุภาพและพระสติปัญญาล้ำเลิศจากการสร้างสรรพสิ่งอันกว้างใหญ่ทั้งปวงของพระองค์ เราก็ยิ่งมีความต้องการสิ่งที่จะสื่อสารติดต่อจากพระองค์เพื่ออธิบายเกี่ยวกับพระลักษณะของพระองค์ให้เห็นอย่างชันเจนมากยิ่งขึ้น
เกี่ยวกับกำเนิดของความชั่ว THE ORIGIN OF EVIL
ครั้นเมื่อมนุษย์ล่องลอยอยู่ในทะเลแห่งความชั่ว ความเจ็บปวด การทุกข์ยากลำบาก คำถามจึงผุดขึ้นมาทำไมสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้เองมนุษย์จะต้องเรียนรู้ถึงเหตุผลว่า ทำไมมนุษย์จึงตกอยู่ในสภาวะเช่นนั้น
เกี่ยวกับกำเนิดของมนุษย์ MANKIND'S ORIGIN
ถ้าปราศจากการสื่อสารที่มาจากพระเจ้ามนุษย์อาจจะเหมาเอาว่ามนุษย์มาจาก "ความบังเอิญของธรรมขาติ" แทนที่จะมาจากพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงฤทธานุภาพ ความสับสนวุ่นวายของทฤษฎีวิวัฒนาการยุคสมัยใหม่เป็นหลักฐานชี้ให้เห็นประเด็นดังกล่าว
เกี่ยวกับจุดประสงค์ของมนุษย์ MANKIND'S PURPOSE
ถ้าปล่อยให้มนุษย์คิดไปตามใจตัวเอง มนุษย์จะไม่สามารถเข้าใจจุดประสงค์ว่า พระเจ้าสร้างเขาขึ้นมาทำไม? ถ้ามนุษย์ไม่เข้าใจบทบาทอันแท้จริง ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ในปัจจุบัน และไม่รู้จุดประสงค์ในอนาคตที่ชัดเจน มนุษย์ก็จะเวียนว่ายอย่างไรจุดหมายปลายทางท่ามกลางทะเลของความไม่แน่นอน
เกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษย์ MANKIND'S DESTINY
ถ้าปราศจากการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า มนุษย์จะไม่อาจรู้ได้เกี่ยวกับชีวิตหลังจากตายจะเป็นอย่างไร มนุษย์อาจจะเหมาเอาเองอย่างผิด ๆ เหมือนที่มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยสรุปว่าชีวิตของเราจบแค่โลกนี้เท่านั้น ถ้าพระเจ้าไม่สื่อสารให้มนุษย์ทราบว่ายังมีชีวิตหลังจากตาย ถ้าเช่นนั้นมนุษย์ก็คงจะใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวความตาย
การสื่อสารสองชนิด THE TWO TYPES OF REVELATION
การติดต่อสื่อสารของพระเจ้ากับมนุษย์มีหลายรูปแบบ พระเจ้าเลือกวิธีติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โดยอาศัยทูตสวรรค์เป็นผู้สื่อความ หรือโดยทางศุภนิมิตฝัน หรือโดยผู้พยากรณ์ หรือพระองค์เลือกวิธีหนึ่งวิธีใดตามที่พระองค์เห็นเหมาะสม ในประวัติศาสตร์พระเจ้าติดต่อสื่อสารกับมนุษย์สองชนิด การสื่อสารแบบทั่วไป (หรือโดยธรรมชาติ) เป็นการสื่อสารที่พระเจ้าสำแดงพระองค์เองในธรรมชาติ (กรุณาดูพระคัมภีร์ โรม 1:20-21, กิจการ 14:17, บทเพลงสรรเสริญ 19:1) การสื่อสารแบบพิเศษ (หรือวิธีเหนือธรรมชาติ) การสื่อสารแบบพิเศษนี้คือการที่พระเจ้าติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โดยทางพระคริสตธรรมคัมภีร์
การสื่อสารแบบทั่วไป : GENERAL REVELATION
การสื่อสารแบบทั่วไปโดยทางธรรมชาติ บทเพลงสรรเสริญบทที่ 19 ข้อ 1-6 ได้ประกาศว่าพระเจ้าได้ทรงสำแดงพระองค์เองในธรรมชาติ ธรรมชาติสำแดงฝีพระหัตถ์ของพระผู้ทรงสร้าง ในหนังสือโรม 1:20 เปาโลกล่าวว่า "ด้วยว่าอาการของพระเจ้าซึ่งเห็นไม่ได้นั้นคือฤทธานุภาพอันถาวร และสัมภวะของพระองค์ก็ทรงปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างนั้นตั้งแต่แรกสร้างโลก เขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อที่จะแก้ตัวได้"
พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนว่าการสื่อสารของพระเจ้าแบบทั่วไป พระองค์ได้ทรงสำแดงในสากลโลก ในประวัติศาสตร์พระเจ้าไม่เคยขาดพยานหลักฐานเกี่ยวกับพระองค์เอง (กิจการ 14:17) การสื่อสารแบบทั่วไปมีความเป็นสากลที่มีขอบเขตครอบคลุมทั่วโลก เราสามารถเห็นสง่าราศีของพระเจ้าทุกครั้งที่เราเห็นท้องฟ้า สามารถเห็นสง่าราศีของพระเจ้าเมื่อเห็นสายรุ้งในเวลากลางวัน หรือลำธารน้ำไหลตามป่าเขาลำเนาไพร แม้ว่าคนมองเห็นสิ่งเหล่านี้เสมอยังไม่สามารถตระหนักถึงการสื่อสารของพระเจ้าโดยธรรมชาติแต่พยานในธรรมชาติก็ยังมีให้เราเห็นตลอดไป
การสื่อสารแบบพิเศษ : SPECIAL REVELATION
ถ้าพระเจ้าประสงค์ที่จะมีการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ให้ยั่งยืนถาวร พระองค์สามารถทำได้โดยการมอบการสื่อสารแบบยั่งยืนถาวรและเป็นที่ยอมรับง่าย ๆ หรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือรูปแบบการสื่อสารที่พระเจ้ามอบให้กับมนุษย์นั้นจะสามารถผ่านการทดสอบด้วยกาลเวลา และสามารถมอบให้กับคนในยุคต่อไปในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติ ที่จะทำการสื่อสารได้ดังกล่าวก็โดยการบันทึกเป็นข้อความเป็นภาษาของมนุษย์ที่สามารถคัดลอกต้นฉบับและแจกจ่ายไปทั่วตามความต้องการ เพื่อคนทุกยุคทุกสมัยจะได้รับผลประโยชน์โดยตรงอย่างถ้วนหน้า คราวนี้เราต้องถามว่ามีหลักฐานข้อพิสูจน์อะไรที่แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าได้ประทานการติดต่อสื่อสารดังกล่าว คำตอบคือ ใช่ มีหลักฐานอย่างชัดเจนที่พิสูจน์ให้เห็นว่าพระเจ้าได้ทรงประทานการติดต่อสื่อสารอันถาวรแก่มนุษย์ที่บันทึกเป็นตัวอักษรในหนังสือที่เราเรียกว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์ (Bible) บทเรียนตอนต่อไปเราจะศึกษาเกี่ยวกับหลักฐานต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นหนังสือสื่อสารที่มนุษย์ใช้ติดต่อกับพระผู้ทรงสร้าง สำหรับบทเรียนในบทนี้ เราจะศึกษาเพื่อทำความเข้าใจว่าพระคัมภีร์ประกอบด้วยหนังสืออะไรบ้างและมีความสอดคล้องกันอย่างไร
พระคัมภีร์สอดคล้องกันเป็นหนึ่งเดียว THE UNITY OF THE BIBLE
พระคัมภีร์มีความสอดคล้องกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งถ้าจะพูดกันในแง่ของความเป็นมนุษย์เป็นการยากมากที่จะอธิบายความเป็นเอกลักษณ์ดังกล่าว เพื่อจะให้เรารู้สึกชื่นชมกับความเป็นหนึ่งเดียวของพระคัมภีร์ สิ่งแรกทีเดียวเราจะต้องเข้าใจว่าหนังสือต่าง ๆ เหล่านี้ได้ถูกรวบรวมขึ้นมาได้อย่างไร พระคัมภีร์ได้ถูกเขียนขึ้นโดยคนสี่สิบคนซึ่งมีภูมิหลังที่ต่างกัน เช่น นะเฮ็มยาเป็นขุนนางที่ถวายเครื่องเสวยของกษัตริย์ ซะโลโมเป็นกษัตริย์ โมเซเป็นคนเลี้ยงแกะ เปโตรเป็นชาวประมง ลูกาเป็นนายแพทย์ มัดธายเป็นเก็บภาษี เปาโลเป็นช่างเย็บเต็นท์ คนเหล่านี้ได้เขียนหนังสือพระคัมภีร์ตามสภาพความเป็นจริงของมนุษย์ ยิระมะยาได้เขียนจากความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจอันลึกซึ้งจากการที่พลไพร่ของพระเจ้าปฏิเสธไม่สัตย์ซื่อต่อพระองค์ ดาวิดได้เขียนด้วยความรู้สึกชื่นชมยินดีกับความงามของทุ่งหญ้าบนภูเขาในมณฑลยูดาย เปาโลเขียนในขณะที่ท่านถูกจำจองอยู่ที่กรุงโรมตอนที่ท่านต้องเผชิญกับความทุกข์ ผู้เขียนทั้ง 40 คนบวกกับคนอื่นอีกได้เขียนพระคัมภีร์เป็นสามภาษา (ภาษาเฮ็บราย, ภาษาอาราเมค, ภาษากรีก) เขียนจากสองทวีป (ทวีปยุโรปและเอเซีย) ใช้เวลาในการเขียนทั้งสิ้นประมาณ 1600 ปี (ตั้งแต่ 1500 B.C.ถึง A.D. 100) เนื้อหาของหนังสือประกอบไปด้วยสาระเกี่ยวกับจิตวิทยา, ภูมิศาสตร์, ศาสนา, ประวัติศาสตร์, การแพทย์ และอื่น ๆ อีก ถ้าทั้งหมดเป็นความจริง เราอาจจะคาดคิดได้ว่า 40 คนที่เขียนหนังสือเหล่านี้ซึ่งมีความหลากหลาย และเขียนเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ใช้เวลาอันยาวนานในการเขียน ผลที่ได้ก็คือหนังสือที่ผลิตออกมาน่าจะเป็นหนังสือที่มีความบกพร่อง คงจะขัดแย้งกัน สับสน ไม่สอดคล้องกันและคงไม่มีสาระอะไรเลย แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้นเลย กลับเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่เราคาดคิด พระคริสตธรรมคัมภีร์เปิดเผยให้เห็นความสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างน่าอัศจรรย์ มีความสัมพันธ์สอดคล้องซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี ความสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวอย่างน่าอัศจรรย์นี้ไม่สามารถอธิบายว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา ๆ แน่นอน
ถ้าจะเปรียบพระคัมภีร์ก็เหมือนกับวงดนตรีซิมโฟนีวงใหญ่ ซึ่งถูกควบคุมโดยวาทยากรแต่เพียงผู้เดียว "นักดนตรี" แต่ละคนเล่นเครื่องดนตรีคนละชิ้นคนละอัน นั่งอยู่คนละตำแหน่ง เล่นกันคนละจังหวะของเวลา แต่ภายใต้การควบคุมวงดนตรีของวาทยากรที่มีตาลันต์สูง บวกกับนักดนตรีที่เล่นเครื่องดนตรีอื่นมารวมกัน ผลที่ได้ก็คือเสียงไพเราะที่มาจากวงดนตรีที่มีความสัมพันธ์กันอย่างยอดเยี่ยมสมกับเป็นงานชิ้นเอก พิจารณาการเปรียบเทียบดังต่อไปนี้ สมมุติว่าท่านเชิญผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้สูงสุดในยุคปัจจุบันสี่สิบคนด้วยกัน ผู้เหล่านี้ทุกคนต่างก็มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่แต่ละคนถนัด (ตัวอย่าง เช่น เป็นโปรเฟสเซอร์ที่มีปริญญาเอกในสาขาประวัติศาสตร์) สมมุติว่าท่านนำผู้เชี่ยวชาญ 40 คนเหล่านี้มาอยู่ในห้องเดียวกัน ขอให้เขาแต่ละคนเขียนบทความประมาณยี่สิบห้าหน้าในเรื่องเดียวกัน เรื่องสาเหตุของการเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อคนเหล่านี้ได้เขียนบทความเรื่องเดียวกันเสร็จแล้ว ท่านคิดว่าผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะมีความเห็นลงเอยกันได้ไหม?
สิ่งที่เราคาดคิดอันจะเกิดขึ้นก็คือว่าจะมีหลายประเด็นที่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้มีความขัดแย้งซึ่งกันและกัน บทความของคนเหล่านี้จะได้ชื่อว่าเป็นบทความที่มีความขัดแย้งมากกว่าที่จะเป็นบทความสอดคล้องซึ่งกันและกัน แต่เมื่อเราพิจารณาดูผู้ที่เขียนพระคริสตธรรมคัมภีร์ เราพบว่าคนเหล่านั้นไม่ได้มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยเดียวกัน ไม่ได้ทำงานอยู่ด้วยกัน และบางครั้งก็ไม่รู้จักกันและกัน ผู้เขียนส่วนมากก็ไม่ได้มีการศึกษาสูงอะไรมากนัก ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนอบรมก็ไม่ได้อยู่ในสาขาวิชาเดียวกัน เมื่อเวลาที่พวกเขาเขียนพวกเขาก็ไม่ได้เขียนเรื่องเดียวกัน แม้กระนั้นพวกเขาได้ผลิตหนังสือที่มีความสอดคล้องสัมพันธ์กันเป็นหนึ่งเดียวตั้งแต่จนจบ หนังสือพงศาวดารกษัตริย์ฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 มีความสอดคล้องสัมพันธ์ในเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายของประวัติศาสตร์กับหนังสือโครนิกา ฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 ยะโฮซูอะบทที่ 1 สนับสนุนเหตุการณ์ในหนังสือพระบัญญัติบทที่ 34 หนังสือผู้วินิจฉัยบทที่ 1 ข้อ 1 ยืนยันสิ่งที่ยะโฮซูอะ บันทึกในบทที่ 24:27-33 หนังสือยิระมะยาบทที่ 52:31-34 ยืนยันประวัติศาสตร์ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์ฉบับ 2 บทที่ 25:25, 27-30 รวมทั้งหนังสือเล่มอื่น ๆ อีกมาก ความสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกันอันน่าทึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนตลอดทั้งพระคัมภีร์ ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ยืนยันความจริงให้เห็นว่ามีผู้ประกอบด้วยปัญญาล้ำเลิศที่อยู่เบื้องหลังในการเขียนเหล่านี้ หนังสือพระคัมภีร์เขียนโดยผู้เขียนมากมายใช้เวลาอันยาวนานในการเขียน มีเนื้อหาสาระครอบคลุมมากมาย หนังสือพระคัมภีร์ที่มีความสอดคล้องกันเป็นหนึ่งเดียวอันอัศจรรย์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยความบังเอิญแน่นอน
การจัดระบบของพระคัมภีร์ ORGANIZATION OF THE BIBLE
พระคริสตธรรมคัมภีร์เดิม THE OLD TESTAMENT
พระคริสตธรรมคัมภีร์ทั้งหมดแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ คือพระคริสตธรรมคัมภีร์เดิมและพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ (หรือในภาษาไทยใช้คำว่า "พันธสัญญาไมตรี" คำว่า "พันธสัญญาไมตรี" หมายถึงข้อตกลงร่วมกันหรือคำสัญญาไมตรีร่วมกัน เพราะฉะนั้นพระคริสตธรรมคัมภีร์เดิมหมายความว่าคำสัญญาไมตรีฉบับเดิมของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ ขณะเดียวกันพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่หมายถึงคำสัญญาไมตรีใหม่ของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ทุกชาติในโลก พระคริสตธรรมคัมภีร์เดิมมีหนังสือ 39 เล่ม ภาษาดั้งเดิมของพระคัมภีร์เดิมส่วนมากเขียนเป็นภาษาเฮ็บราย (มีส่วนน้อยที่เขียนเป็นภาษาอาราเมค) โมเซเป็นผู้เขียนหนังสือห้าเล่มแรกของพระคัมภีร์เดิม (ทั้งห้าเล่มนี้รวมเรียกว่า Pentateuch หรือ หมวดพระบัญญัติ) ได้เขียนเมื่อประมาณ 1500 B.C. หนังสือมาลาคีเป็นหนังสือพระคัมภีร์เดิมที่เขียนขึ้นเป็นเล่มสุดท้ายเมื่อ 450 B.C.
หนังสือเล่มแรกของพระคัมภีร์เดิมเรียกว่า เยเนซิศ ชื่อหนังสือหมายถึง "ปฐมกาล" เพราะหนังสือเล่มนี้ได้เขียนเกี่ยวกับปฐมกำเนิดของจักรวาลและทุกสิ่งที่อยู่ในจักรวาล อาดามและฮาวาเป็นมนุษย์คู่แรกที่พระเจ้าทรงสร้าง (ในวันที่หกของการทรงสร้าง) ทั้งสองอาศัยอยู่ในสวนเอเดน ทั้งสองมีอิสระในการเลือกที่จะทำตามใจปรารถนาได้ทุกสิ่ง ยกเว้นห้ามไม่ให้รับประทานผลไม้จากต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว (อ่านเยเนซิศ 1:16-17) อยู่มาวันหนึ่งซาตานได้มาปรากฏตัวในร่างของงู งูได้ล่อลวงฮาวาให้รับประทานผลไม้ที่พระเจ้าทรงห้ามที่อยู่ในสวน ฮาวาได้นำผลไม้ไปให้อาดามรับประทานด้วย แม้ว่าอาดามไม่ได้ถูกล่อลวง แต่อาดามก็ได้ทำตามฮาวา (1ติโมเธียว 2:14) อาดามได้รับประทานผลไม้นั้นด้วยดังนั้นความบาป (การล่วงละเมิด) ได้เข้ามาในโลกเป็นครั้งแรก ประมาณ 1600 ปี หลังจากอาดามกับฮาวาได้ถูกไล่ออกไปจากสวนเอเดนแล้ว มนุษย์ที่เกิดมาภายหลังได้กระทำบาปและประพฤติชั่วช้าเลวทรามมาก พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า "พระยะโฮวาทรงเห็นมนุษย์กระทำชั่วมากทวีขึ้นบนแผ่นดินและทรงเห็นว่าความคิดนึกในใจของเขาล้วนเป็นความชั่วเสมอไป" (เยเนซิศ 6:5) เพราะมนุษย์ได้ประพฤติชั่ว พระเจ้าทำให้ให้น้ำท่วมทั้งโลกทำลายมนุษย์ทั้งหมด ยกเว้นโนฮากับภรรยาและบุตรชายทั้งสามกับภรรยาของพวกเขา รวมทั้งสัตว์ที่สะอาดอย่างละคู่และสัตว์อื่น ๆ อีกอย่างละคู่ที่อยู่ในนาวารอดตายหมด หลังจากน้ำท่วมโลกมนุษย์ก็ได้ทวีเพิ่มมากขึ้นในโลก มนุษย์เหล่านั้นส่วนมากได้ทำบาปด้วยการกราบไหว้รูปปั้นรูปเคารพเป็นเทพเจ้าหลายชนิด (รู้จักกันในชื่อว่า "Polytheism") แทนที่จะนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เดียว ที่สุดพระเจ้าได้ทรงเลือกอับราฮามเพื่อให้เป็นบิดาของประเทศชาติใหม่ซึ่งมีพลเมืองที่นมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว อับราฮามได้เชื่อพระเจ้าแลปฏิบัติตามทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสสั่ง หลังจากนั้นพระเจ้าได้อวยพรให้อับราฮามกับซาราผู้เป็นภรรยามีบุตรชายชื่อยิศฮาค ยิศฮาคมีบุตรฝาแฝดชื่อเอซาวกับยาโคบ (ภายหลังชื่อของยาโคบเปลี่ยนเป็นยิศราเอล) ยาโคบมีบุตรชายสิบสองคนซึ่งสิบสองคนนี้เป็นหัวหน้าสิบสองตระกูลของยิศราเอล ภายหลังยาโคบและบุตรชายทั้งหมดได้อพยพเข้าไปอยู่ในประเทศอียิปต์ ซึ่งในเวลาต่อมาพวกเขาตกเป็นทาสอยู่ที่นั่น พระเจ้าได้อวยพรให้พวกเขามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในประเทศอียิปต์ ชนชาติยิศราเอลได้ใช้ชีวิตตกเป็นทาสอยู่ในประเทศอียิปต์เป็นเวลา 430 ปี พระเจ้าได้ส่งโมเซและอาโรนเข้าไปในประเทศอียิปต์เพื่อปล่อยชนชาติยิศราเอลให้ออกจากการเป็นทาส เมื่อพวกชนชาติยิศราเอลได้ออกไปจากประเทศอียิปต์พระเจ้าได้ประทานพระบัญญัติพิเศษให้แก่พวกยิศราเอลซึ่งทำให้เขาไม่เหมือนชนประเทศอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ หนังสือ 5 เล่มแรกที่เรียกว่า Pentateuch ได้ชี้แจงว่าอับราอามได้เป็นบิดาของพวกยิวอย่างไร และชี้แจงการที่พวกยิวเป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรร กับได้ชี้แจงการที่พระเจ้าได้ประทานพระบัญญัติเดิมแก่โมเซเพื่อมอบให้แก่ชนชาติยิว พระบัญญัติสิบประการเป็นบัญญัติที่สำคัญซึ่งชนชาติยิวจะต้องปฏิบัติตามภายใต้บัญญัติเดิม (ยังมีพระบัญญัติอื่น ๆ อีกมากมายนอกเหนือจากบัญญัติ 10 ประการ)
หมวดต่อมาของพระคริสตธรรมคัมภีร์เดิมเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ของพวกยิว รวมทั้งบันทึกว่าพวกยิวขอให้พระเจ้าแต่งตั้งกษัตริย์เพื่อจะเป็นเหมือนกับบรรดาประเทศที่อยู่รอบ ๆ พวกเขา ครั้นเมื่อพวกเขามีกษัตริย์พวกเขาถูกนำไปตามทิศทางที่ผิดในทางฝ่ายวิญญาณจิตต์ และในที่สุดได้หันไปกราบไหว้รูปปั้นรูปเคารพที่สมมุติเป็นเทพเจ้าต่าง ๆ (บันทึกใน 1และ2ซามูเอล, 1และ2กษัตริย์ และ 2โครนิกา) พระเจ้าได้ส่งศาสดาพยากรณ์จำนวนมากให้แก่พวกยิวเพื่อเรียกร้องให้พวกเขาหันกลับมานมัสการพระเจ้าผู้ทรงสร้างที่แท้แต่พวกเขาดื้อด้านกบฏพยศไม่ยอมฟังคำวิงวอนของพวกศาสดาพยากรณ์ (ยะซายา-มาลาคี) เพราะพวกยิวใช้พระบัญญัติเดิมไปในทางที่ผิด และไม่สนใจใยดีต่อพระบัญญัติเดิม และเพราะคำวิงวอนของบรรดาศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายไม่เป็นผล พระเจ้าสัญญาว่าจะส่งศาสดาพยากรณ์คนใหม่ โมเซกล่าวว่า "พระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าจะทรงโปรดให้ผู้พยากรณ์บังเกิดขึ้นในท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย แต่พวกพี่น้องของเจ้าเหมือนเราเอง เจ้าทั้งหลายจงเชื่อฟังท่านผู้นั้น" (พระบัญญัติ 18:15) ศาสดาพยากรณ์คนใหม่จะมาพร้อมด้วยบัญญัติใหม่ "นี่แน่ะวันคืนทั้งหลายจะมาเมื่อเราจะกระทำความสัญญาใหม่กับตระกูลยิศราเอล, แลตระกูลยะฮูดา พระยะโฮวาได้ตรัส" (ยิระมะยา 31:31) พวกยิวในพระคัมภีร์เดิมเฝ้ารอการเสด็จมาของพระมาซีฮาอย่างใจจดใจจ่อ ได้มีคำพยากรณ์ว่าพระองค์จะนำความรอดและจะตั้งคำสัญญาไมตรีใหม่ แต่พระองค์ไม่ใช่เป็นผู้นำการทหารหรือผู้มีอำนาจทางการเมือง อันที่จริงศาสดาพยากรณ์ได้พยากรณ์เกี่ยวกับการมาของพระองค์ว่า พระองค์จะ "เป็นที่ดูหมิ่นและคนไม่คบหา เป็นคนเจ้าทุกข์ และคุ้นเคยกับความเจ็บปวด" (ยะซายา 53:3) ศาสดาพยากรณ์ยะซายาได้เขียนเกี่ยวกับพระมาซีฮาดังนี้ว่า "พระองค์ตรัสดังนี้ การเป็นผู้รับใช้ของเรานั้น ถ้าเพียงแต่ฟื้นตระกูลของยาโคบขึ้น และนำชนชาติยิศราเอลที่ยังเหลืออยู่กลับคืนมาเท่านั้นก็ดูเป็นการเล็กน้อยเกินไป ดังนั้นเราจึงจะตั้งเจ้าให้เป็นดวงสว่างแก่ประชาชาติเพื่อความรอดของเราจะแผ่ไปถึงกระทั่งปลายพิภพโลก" (ยะซายา 49:6) ดังนั้นภายใต้บัญญัติใหม่ซึ่งจะตั้งโดยพระมาซีฮา (พระเยซูพระบุตรของพระเจ้า) พระเจ้าจะต้อนรับบรรดาประชาชาติทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะพวกยิวเท่านั้นให้เป็นพลไพร่ของพระเจ้า
พระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ THE NEW TESTAMENT
พระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่มี 27 เล่ม
มัดธายเป็นหนังสือเล่มแรกและวิวรณ์เป็นหนังสือเล่มสุดท้าย ทั้ง 27 เล่มแบ่งออเป็น 4 หมวดใหญ่
หมวดพระกิตติคุณ : The Gospels คำว่ากิตติคุณหมายความว่า "ข่าวประเสริฐ" หนังสือสี่เล่มแรกของพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่คือ มัดธาย มาระโก ลูกา และโยฮัน รู้จักกันดีว่าเป็นหมวดพระกิตติคุณ เพราะบอกเรื่องชีวิตการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู เพราะเรื่องราวของพระเยซูเป็นเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐสำหรับมนุษย์ที่เป็นคนบาปจึงเรียกว่า กิตติคุณ
หมวดประวัติศาสตร์ : History
หนังสือในหมวดนี้มีเล่มเดียวคือหนังสือกิจการ หนังสือกิจการเขียนโดยนายแพทย์ลูกา ท่านได้เขียนประวัติเกี่ยวกับ "กิจการ" ของอัครสาวก การเริ่มต้นคริสตจักร และประวัติของคริสตจักรตอนแรก หลังจากที่พระเยซูได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์บรรดาสาวกของพระองค์ได้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับชีวิต การสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู เพราะการออกไปประกาศของพวกสาวกพระคำของพระเจ้าได้เผยแพร่กระจายไปทั่วโลก และคริสตจักรที่พระเยซูสัญญาที่จะตั้งได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟไหม้ป่า (มัดธาย 16:18)
หมวดจดหมาย : The Epistles (อีพิสเซิล)
เมื่ออัครสาวกได้ประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้ตั้งคริสตจักรมากมายตามเมืองต่าง ๆ อัครสาวกและผู้เขียนคนอื่น ๆ มองเห็นความจำเป็นในการอธิบายแก่คริสตจักรต่าง ๆ เหล่านี้ให้รู้ว่าจะดำเนินชีวิตและนมัสการพระเจ้าอย่างไร เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงได้เขียนจดหมายไปถึงคริสตจักรต่าง ๆ เหล่านี้ ตัวอย่างเช่นเปาโลเขียนจดหมายไปถึงคริสตจักรที่กรุงโรม บางครั้งจดหมายต่าง ๆ เหล่านี้ก็เขียนไปถึงส่วนบุคคล เช่น หนังสือ 1และ2 ติโมเธียว ซึ่งเขียนโดยอัครสาวกเปาโลไปยังติโมเธียวผู้ช่วยของท่าน จดหมายต่าง ๆ เหล่านี้ได้เขียนไปถึงคนเหล่านั้นที่เป็นคริสเตียนแล้วเพื่อหนุนใจพวกเขา เพื่อตอบปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ เพื่อสั่งสอนทางฝ่ายวิญญาณจิตต์ และก็แน่นอนแม้กระทั่งเป็นการใช้วินัยสั่งสอนพวกเขา อัครสาวกเปาโลเขียนจดหมายหลายฉบับในพระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมดมี 27 เล่ม เปาโลเขียนจดหมาย 13 ฉบับ (ซึ่งเป็นจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด)
หมวดคำพยากรณ์ : Prophecy
หนังสือในหมวดนี้มีเล่มเดียวคือหนังสือวิวรณ์ เหตุที่เรียกว่าเป็นคำพยากรณ์ก็เพราะว่าหนังสือนี้มีเนื้อหาที่บอกกับคนในศตวรรษแรกว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต สิ่งที่ได้บอกเล่าในหนังสือวิวรณ์ส่วนมากได้เกิดขึ้นแล้ว น่าเสียดายมากมีคนเป็นอันมากใช้หนังสือเล่มนี้ไปในทางที่ผิด ทำให้ความหมายผิดไปจากความจริง เขาแปลหนังสือวิวรณ์ผิดโดยใช้หนังสือนี้ทำนายเกี่ยวกับวันสิ้นโลก เมื่ออ่านหนังสือวิวรณ์มีสิ่งสำคัญสองประการที่ท่านจะต้องจดจำ
A GENERAL INTRODUCTION TO THE BIBLE
ความต้องการการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า
THE NEED FOR REVELATION FROM GOD
หลังจากที่เราได้รู้แล้วว่ามีพระเจ้าผู้ทรงสร้างจริงเป็นการสมเหตุสมผลที่ควรคิดว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์ต้องการติดต่อกับมนุษย์ มนุษย์มีสติปัญญาสูง มีความเมตตา มีความดี มีความยุติธรรม และมีคุณลักษณะที่ดีอื่น ๆ อีกมากมาย เมื่อเป็นเช่นนั้นพระผู้ทรงสร้างก็ไม่น่าจะมีอะไรด้วยกว่ามนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างด้วยประการทั้งปวง เพราะอย่างไรผลจะไม่ยิ่งใหญ่กว่าเหตุ ดังนั้นพระเจ้าผู้ทรงสร้างจะทรงสำแดงคุณลักษณะที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่ามนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างในด้านพระสติปัญญา พระเมตตากรุณา ความดีของพระองค์ ความยุติธรรมของพระองค์ ฯลฯ เพราะฉะนั้นความจำเป็นในการสื่อสารติดต่อระหว่างพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศกับมนุษย์ผู้มีสติปัญญาที่พระเจ้าเป็นผู้สร้างจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน
ถ้าปราศจากการสื่อสารติดต่อจากพระเจ้ามนุษย์จะรู้จักพระเจ้าและรู้ซึ้งถึงพระลักษณะของพระองค์ในการเป็นผู้ทรงสร้างหรือจะเข้าใจได้อย่างไรว่า พระผู้ทรงสร้างประสงค์อะไรกับมนุษย์ที่พระองค์ได้สร้าง? ดังนั้นความต้องการสิ่งที่พระเจ้าเปิดเผยพระองค์เองในฐานะเป็นผู้ทรงสร้างจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อพระองค์จะสอนมนุษย์เกี่ยวกับเรื่องบางสิ่งบางอย่างดังต่อไปนี้
เกี่ยวกับพระลักษณะของพระเจ้า THE CHARACTER OF GOD
เราสามารถมองเห็นฤทธานุภาพและพระสติปัญญาล้ำเลิศจากการสร้างสรรพสิ่งอันกว้างใหญ่ทั้งปวงของพระองค์ เราก็ยิ่งมีความต้องการสิ่งที่จะสื่อสารติดต่อจากพระองค์เพื่ออธิบายเกี่ยวกับพระลักษณะของพระองค์ให้เห็นอย่างชันเจนมากยิ่งขึ้น
เกี่ยวกับกำเนิดของความชั่ว THE ORIGIN OF EVIL
ครั้นเมื่อมนุษย์ล่องลอยอยู่ในทะเลแห่งความชั่ว ความเจ็บปวด การทุกข์ยากลำบาก คำถามจึงผุดขึ้นมาทำไมสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้เองมนุษย์จะต้องเรียนรู้ถึงเหตุผลว่า ทำไมมนุษย์จึงตกอยู่ในสภาวะเช่นนั้น
เกี่ยวกับกำเนิดของมนุษย์ MANKIND'S ORIGIN
ถ้าปราศจากการสื่อสารที่มาจากพระเจ้ามนุษย์อาจจะเหมาเอาว่ามนุษย์มาจาก "ความบังเอิญของธรรมขาติ" แทนที่จะมาจากพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงฤทธานุภาพ ความสับสนวุ่นวายของทฤษฎีวิวัฒนาการยุคสมัยใหม่เป็นหลักฐานชี้ให้เห็นประเด็นดังกล่าว
เกี่ยวกับจุดประสงค์ของมนุษย์ MANKIND'S PURPOSE
ถ้าปล่อยให้มนุษย์คิดไปตามใจตัวเอง มนุษย์จะไม่สามารถเข้าใจจุดประสงค์ว่า พระเจ้าสร้างเขาขึ้นมาทำไม? ถ้ามนุษย์ไม่เข้าใจบทบาทอันแท้จริง ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ในปัจจุบัน และไม่รู้จุดประสงค์ในอนาคตที่ชัดเจน มนุษย์ก็จะเวียนว่ายอย่างไรจุดหมายปลายทางท่ามกลางทะเลของความไม่แน่นอน
เกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษย์ MANKIND'S DESTINY
ถ้าปราศจากการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า มนุษย์จะไม่อาจรู้ได้เกี่ยวกับชีวิตหลังจากตายจะเป็นอย่างไร มนุษย์อาจจะเหมาเอาเองอย่างผิด ๆ เหมือนที่มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยสรุปว่าชีวิตของเราจบแค่โลกนี้เท่านั้น ถ้าพระเจ้าไม่สื่อสารให้มนุษย์ทราบว่ายังมีชีวิตหลังจากตาย ถ้าเช่นนั้นมนุษย์ก็คงจะใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวความตาย
การสื่อสารสองชนิด THE TWO TYPES OF REVELATION
การติดต่อสื่อสารของพระเจ้ากับมนุษย์มีหลายรูปแบบ พระเจ้าเลือกวิธีติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โดยอาศัยทูตสวรรค์เป็นผู้สื่อความ หรือโดยทางศุภนิมิตฝัน หรือโดยผู้พยากรณ์ หรือพระองค์เลือกวิธีหนึ่งวิธีใดตามที่พระองค์เห็นเหมาะสม ในประวัติศาสตร์พระเจ้าติดต่อสื่อสารกับมนุษย์สองชนิด การสื่อสารแบบทั่วไป (หรือโดยธรรมชาติ) เป็นการสื่อสารที่พระเจ้าสำแดงพระองค์เองในธรรมชาติ (กรุณาดูพระคัมภีร์ โรม 1:20-21, กิจการ 14:17, บทเพลงสรรเสริญ 19:1) การสื่อสารแบบพิเศษ (หรือวิธีเหนือธรรมชาติ) การสื่อสารแบบพิเศษนี้คือการที่พระเจ้าติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โดยทางพระคริสตธรรมคัมภีร์
การสื่อสารแบบทั่วไป : GENERAL REVELATION
การสื่อสารแบบทั่วไปโดยทางธรรมชาติ บทเพลงสรรเสริญบทที่ 19 ข้อ 1-6 ได้ประกาศว่าพระเจ้าได้ทรงสำแดงพระองค์เองในธรรมชาติ ธรรมชาติสำแดงฝีพระหัตถ์ของพระผู้ทรงสร้าง ในหนังสือโรม 1:20 เปาโลกล่าวว่า "ด้วยว่าอาการของพระเจ้าซึ่งเห็นไม่ได้นั้นคือฤทธานุภาพอันถาวร และสัมภวะของพระองค์ก็ทรงปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างนั้นตั้งแต่แรกสร้างโลก เขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อที่จะแก้ตัวได้"
พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนว่าการสื่อสารของพระเจ้าแบบทั่วไป พระองค์ได้ทรงสำแดงในสากลโลก ในประวัติศาสตร์พระเจ้าไม่เคยขาดพยานหลักฐานเกี่ยวกับพระองค์เอง (กิจการ 14:17) การสื่อสารแบบทั่วไปมีความเป็นสากลที่มีขอบเขตครอบคลุมทั่วโลก เราสามารถเห็นสง่าราศีของพระเจ้าทุกครั้งที่เราเห็นท้องฟ้า สามารถเห็นสง่าราศีของพระเจ้าเมื่อเห็นสายรุ้งในเวลากลางวัน หรือลำธารน้ำไหลตามป่าเขาลำเนาไพร แม้ว่าคนมองเห็นสิ่งเหล่านี้เสมอยังไม่สามารถตระหนักถึงการสื่อสารของพระเจ้าโดยธรรมชาติแต่พยานในธรรมชาติก็ยังมีให้เราเห็นตลอดไป
การสื่อสารแบบพิเศษ : SPECIAL REVELATION
ถ้าพระเจ้าประสงค์ที่จะมีการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ให้ยั่งยืนถาวร พระองค์สามารถทำได้โดยการมอบการสื่อสารแบบยั่งยืนถาวรและเป็นที่ยอมรับง่าย ๆ หรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือรูปแบบการสื่อสารที่พระเจ้ามอบให้กับมนุษย์นั้นจะสามารถผ่านการทดสอบด้วยกาลเวลา และสามารถมอบให้กับคนในยุคต่อไปในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติ ที่จะทำการสื่อสารได้ดังกล่าวก็โดยการบันทึกเป็นข้อความเป็นภาษาของมนุษย์ที่สามารถคัดลอกต้นฉบับและแจกจ่ายไปทั่วตามความต้องการ เพื่อคนทุกยุคทุกสมัยจะได้รับผลประโยชน์โดยตรงอย่างถ้วนหน้า คราวนี้เราต้องถามว่ามีหลักฐานข้อพิสูจน์อะไรที่แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าได้ประทานการติดต่อสื่อสารดังกล่าว คำตอบคือ ใช่ มีหลักฐานอย่างชัดเจนที่พิสูจน์ให้เห็นว่าพระเจ้าได้ทรงประทานการติดต่อสื่อสารอันถาวรแก่มนุษย์ที่บันทึกเป็นตัวอักษรในหนังสือที่เราเรียกว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์ (Bible) บทเรียนตอนต่อไปเราจะศึกษาเกี่ยวกับหลักฐานต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นหนังสือสื่อสารที่มนุษย์ใช้ติดต่อกับพระผู้ทรงสร้าง สำหรับบทเรียนในบทนี้ เราจะศึกษาเพื่อทำความเข้าใจว่าพระคัมภีร์ประกอบด้วยหนังสืออะไรบ้างและมีความสอดคล้องกันอย่างไร
พระคัมภีร์สอดคล้องกันเป็นหนึ่งเดียว THE UNITY OF THE BIBLE
พระคัมภีร์มีความสอดคล้องกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งถ้าจะพูดกันในแง่ของความเป็นมนุษย์เป็นการยากมากที่จะอธิบายความเป็นเอกลักษณ์ดังกล่าว เพื่อจะให้เรารู้สึกชื่นชมกับความเป็นหนึ่งเดียวของพระคัมภีร์ สิ่งแรกทีเดียวเราจะต้องเข้าใจว่าหนังสือต่าง ๆ เหล่านี้ได้ถูกรวบรวมขึ้นมาได้อย่างไร พระคัมภีร์ได้ถูกเขียนขึ้นโดยคนสี่สิบคนซึ่งมีภูมิหลังที่ต่างกัน เช่น นะเฮ็มยาเป็นขุนนางที่ถวายเครื่องเสวยของกษัตริย์ ซะโลโมเป็นกษัตริย์ โมเซเป็นคนเลี้ยงแกะ เปโตรเป็นชาวประมง ลูกาเป็นนายแพทย์ มัดธายเป็นเก็บภาษี เปาโลเป็นช่างเย็บเต็นท์ คนเหล่านี้ได้เขียนหนังสือพระคัมภีร์ตามสภาพความเป็นจริงของมนุษย์ ยิระมะยาได้เขียนจากความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจอันลึกซึ้งจากการที่พลไพร่ของพระเจ้าปฏิเสธไม่สัตย์ซื่อต่อพระองค์ ดาวิดได้เขียนด้วยความรู้สึกชื่นชมยินดีกับความงามของทุ่งหญ้าบนภูเขาในมณฑลยูดาย เปาโลเขียนในขณะที่ท่านถูกจำจองอยู่ที่กรุงโรมตอนที่ท่านต้องเผชิญกับความทุกข์ ผู้เขียนทั้ง 40 คนบวกกับคนอื่นอีกได้เขียนพระคัมภีร์เป็นสามภาษา (ภาษาเฮ็บราย, ภาษาอาราเมค, ภาษากรีก) เขียนจากสองทวีป (ทวีปยุโรปและเอเซีย) ใช้เวลาในการเขียนทั้งสิ้นประมาณ 1600 ปี (ตั้งแต่ 1500 B.C.ถึง A.D. 100) เนื้อหาของหนังสือประกอบไปด้วยสาระเกี่ยวกับจิตวิทยา, ภูมิศาสตร์, ศาสนา, ประวัติศาสตร์, การแพทย์ และอื่น ๆ อีก ถ้าทั้งหมดเป็นความจริง เราอาจจะคาดคิดได้ว่า 40 คนที่เขียนหนังสือเหล่านี้ซึ่งมีความหลากหลาย และเขียนเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ใช้เวลาอันยาวนานในการเขียน ผลที่ได้ก็คือหนังสือที่ผลิตออกมาน่าจะเป็นหนังสือที่มีความบกพร่อง คงจะขัดแย้งกัน สับสน ไม่สอดคล้องกันและคงไม่มีสาระอะไรเลย แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้นเลย กลับเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่เราคาดคิด พระคริสตธรรมคัมภีร์เปิดเผยให้เห็นความสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างน่าอัศจรรย์ มีความสัมพันธ์สอดคล้องซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี ความสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวอย่างน่าอัศจรรย์นี้ไม่สามารถอธิบายว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา ๆ แน่นอน
ถ้าจะเปรียบพระคัมภีร์ก็เหมือนกับวงดนตรีซิมโฟนีวงใหญ่ ซึ่งถูกควบคุมโดยวาทยากรแต่เพียงผู้เดียว "นักดนตรี" แต่ละคนเล่นเครื่องดนตรีคนละชิ้นคนละอัน นั่งอยู่คนละตำแหน่ง เล่นกันคนละจังหวะของเวลา แต่ภายใต้การควบคุมวงดนตรีของวาทยากรที่มีตาลันต์สูง บวกกับนักดนตรีที่เล่นเครื่องดนตรีอื่นมารวมกัน ผลที่ได้ก็คือเสียงไพเราะที่มาจากวงดนตรีที่มีความสัมพันธ์กันอย่างยอดเยี่ยมสมกับเป็นงานชิ้นเอก พิจารณาการเปรียบเทียบดังต่อไปนี้ สมมุติว่าท่านเชิญผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้สูงสุดในยุคปัจจุบันสี่สิบคนด้วยกัน ผู้เหล่านี้ทุกคนต่างก็มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่แต่ละคนถนัด (ตัวอย่าง เช่น เป็นโปรเฟสเซอร์ที่มีปริญญาเอกในสาขาประวัติศาสตร์) สมมุติว่าท่านนำผู้เชี่ยวชาญ 40 คนเหล่านี้มาอยู่ในห้องเดียวกัน ขอให้เขาแต่ละคนเขียนบทความประมาณยี่สิบห้าหน้าในเรื่องเดียวกัน เรื่องสาเหตุของการเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อคนเหล่านี้ได้เขียนบทความเรื่องเดียวกันเสร็จแล้ว ท่านคิดว่าผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะมีความเห็นลงเอยกันได้ไหม?
สิ่งที่เราคาดคิดอันจะเกิดขึ้นก็คือว่าจะมีหลายประเด็นที่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้มีความขัดแย้งซึ่งกันและกัน บทความของคนเหล่านี้จะได้ชื่อว่าเป็นบทความที่มีความขัดแย้งมากกว่าที่จะเป็นบทความสอดคล้องซึ่งกันและกัน แต่เมื่อเราพิจารณาดูผู้ที่เขียนพระคริสตธรรมคัมภีร์ เราพบว่าคนเหล่านั้นไม่ได้มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยเดียวกัน ไม่ได้ทำงานอยู่ด้วยกัน และบางครั้งก็ไม่รู้จักกันและกัน ผู้เขียนส่วนมากก็ไม่ได้มีการศึกษาสูงอะไรมากนัก ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนอบรมก็ไม่ได้อยู่ในสาขาวิชาเดียวกัน เมื่อเวลาที่พวกเขาเขียนพวกเขาก็ไม่ได้เขียนเรื่องเดียวกัน แม้กระนั้นพวกเขาได้ผลิตหนังสือที่มีความสอดคล้องสัมพันธ์กันเป็นหนึ่งเดียวตั้งแต่จนจบ หนังสือพงศาวดารกษัตริย์ฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 มีความสอดคล้องสัมพันธ์ในเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายของประวัติศาสตร์กับหนังสือโครนิกา ฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 ยะโฮซูอะบทที่ 1 สนับสนุนเหตุการณ์ในหนังสือพระบัญญัติบทที่ 34 หนังสือผู้วินิจฉัยบทที่ 1 ข้อ 1 ยืนยันสิ่งที่ยะโฮซูอะ บันทึกในบทที่ 24:27-33 หนังสือยิระมะยาบทที่ 52:31-34 ยืนยันประวัติศาสตร์ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์ฉบับ 2 บทที่ 25:25, 27-30 รวมทั้งหนังสือเล่มอื่น ๆ อีกมาก ความสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกันอันน่าทึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนตลอดทั้งพระคัมภีร์ ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ยืนยันความจริงให้เห็นว่ามีผู้ประกอบด้วยปัญญาล้ำเลิศที่อยู่เบื้องหลังในการเขียนเหล่านี้ หนังสือพระคัมภีร์เขียนโดยผู้เขียนมากมายใช้เวลาอันยาวนานในการเขียน มีเนื้อหาสาระครอบคลุมมากมาย หนังสือพระคัมภีร์ที่มีความสอดคล้องกันเป็นหนึ่งเดียวอันอัศจรรย์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยความบังเอิญแน่นอน
การจัดระบบของพระคัมภีร์ ORGANIZATION OF THE BIBLE
พระคริสตธรรมคัมภีร์เดิม THE OLD TESTAMENT
พระคริสตธรรมคัมภีร์ทั้งหมดแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ คือพระคริสตธรรมคัมภีร์เดิมและพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ (หรือในภาษาไทยใช้คำว่า "พันธสัญญาไมตรี" คำว่า "พันธสัญญาไมตรี" หมายถึงข้อตกลงร่วมกันหรือคำสัญญาไมตรีร่วมกัน เพราะฉะนั้นพระคริสตธรรมคัมภีร์เดิมหมายความว่าคำสัญญาไมตรีฉบับเดิมของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ ขณะเดียวกันพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่หมายถึงคำสัญญาไมตรีใหม่ของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ทุกชาติในโลก พระคริสตธรรมคัมภีร์เดิมมีหนังสือ 39 เล่ม ภาษาดั้งเดิมของพระคัมภีร์เดิมส่วนมากเขียนเป็นภาษาเฮ็บราย (มีส่วนน้อยที่เขียนเป็นภาษาอาราเมค) โมเซเป็นผู้เขียนหนังสือห้าเล่มแรกของพระคัมภีร์เดิม (ทั้งห้าเล่มนี้รวมเรียกว่า Pentateuch หรือ หมวดพระบัญญัติ) ได้เขียนเมื่อประมาณ 1500 B.C. หนังสือมาลาคีเป็นหนังสือพระคัมภีร์เดิมที่เขียนขึ้นเป็นเล่มสุดท้ายเมื่อ 450 B.C.
หนังสือเล่มแรกของพระคัมภีร์เดิมเรียกว่า เยเนซิศ ชื่อหนังสือหมายถึง "ปฐมกาล" เพราะหนังสือเล่มนี้ได้เขียนเกี่ยวกับปฐมกำเนิดของจักรวาลและทุกสิ่งที่อยู่ในจักรวาล อาดามและฮาวาเป็นมนุษย์คู่แรกที่พระเจ้าทรงสร้าง (ในวันที่หกของการทรงสร้าง) ทั้งสองอาศัยอยู่ในสวนเอเดน ทั้งสองมีอิสระในการเลือกที่จะทำตามใจปรารถนาได้ทุกสิ่ง ยกเว้นห้ามไม่ให้รับประทานผลไม้จากต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว (อ่านเยเนซิศ 1:16-17) อยู่มาวันหนึ่งซาตานได้มาปรากฏตัวในร่างของงู งูได้ล่อลวงฮาวาให้รับประทานผลไม้ที่พระเจ้าทรงห้ามที่อยู่ในสวน ฮาวาได้นำผลไม้ไปให้อาดามรับประทานด้วย แม้ว่าอาดามไม่ได้ถูกล่อลวง แต่อาดามก็ได้ทำตามฮาวา (1ติโมเธียว 2:14) อาดามได้รับประทานผลไม้นั้นด้วยดังนั้นความบาป (การล่วงละเมิด) ได้เข้ามาในโลกเป็นครั้งแรก ประมาณ 1600 ปี หลังจากอาดามกับฮาวาได้ถูกไล่ออกไปจากสวนเอเดนแล้ว มนุษย์ที่เกิดมาภายหลังได้กระทำบาปและประพฤติชั่วช้าเลวทรามมาก พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า "พระยะโฮวาทรงเห็นมนุษย์กระทำชั่วมากทวีขึ้นบนแผ่นดินและทรงเห็นว่าความคิดนึกในใจของเขาล้วนเป็นความชั่วเสมอไป" (เยเนซิศ 6:5) เพราะมนุษย์ได้ประพฤติชั่ว พระเจ้าทำให้ให้น้ำท่วมทั้งโลกทำลายมนุษย์ทั้งหมด ยกเว้นโนฮากับภรรยาและบุตรชายทั้งสามกับภรรยาของพวกเขา รวมทั้งสัตว์ที่สะอาดอย่างละคู่และสัตว์อื่น ๆ อีกอย่างละคู่ที่อยู่ในนาวารอดตายหมด หลังจากน้ำท่วมโลกมนุษย์ก็ได้ทวีเพิ่มมากขึ้นในโลก มนุษย์เหล่านั้นส่วนมากได้ทำบาปด้วยการกราบไหว้รูปปั้นรูปเคารพเป็นเทพเจ้าหลายชนิด (รู้จักกันในชื่อว่า "Polytheism") แทนที่จะนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เดียว ที่สุดพระเจ้าได้ทรงเลือกอับราฮามเพื่อให้เป็นบิดาของประเทศชาติใหม่ซึ่งมีพลเมืองที่นมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว อับราฮามได้เชื่อพระเจ้าแลปฏิบัติตามทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสสั่ง หลังจากนั้นพระเจ้าได้อวยพรให้อับราฮามกับซาราผู้เป็นภรรยามีบุตรชายชื่อยิศฮาค ยิศฮาคมีบุตรฝาแฝดชื่อเอซาวกับยาโคบ (ภายหลังชื่อของยาโคบเปลี่ยนเป็นยิศราเอล) ยาโคบมีบุตรชายสิบสองคนซึ่งสิบสองคนนี้เป็นหัวหน้าสิบสองตระกูลของยิศราเอล ภายหลังยาโคบและบุตรชายทั้งหมดได้อพยพเข้าไปอยู่ในประเทศอียิปต์ ซึ่งในเวลาต่อมาพวกเขาตกเป็นทาสอยู่ที่นั่น พระเจ้าได้อวยพรให้พวกเขามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในประเทศอียิปต์ ชนชาติยิศราเอลได้ใช้ชีวิตตกเป็นทาสอยู่ในประเทศอียิปต์เป็นเวลา 430 ปี พระเจ้าได้ส่งโมเซและอาโรนเข้าไปในประเทศอียิปต์เพื่อปล่อยชนชาติยิศราเอลให้ออกจากการเป็นทาส เมื่อพวกชนชาติยิศราเอลได้ออกไปจากประเทศอียิปต์พระเจ้าได้ประทานพระบัญญัติพิเศษให้แก่พวกยิศราเอลซึ่งทำให้เขาไม่เหมือนชนประเทศอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ หนังสือ 5 เล่มแรกที่เรียกว่า Pentateuch ได้ชี้แจงว่าอับราอามได้เป็นบิดาของพวกยิวอย่างไร และชี้แจงการที่พวกยิวเป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรร กับได้ชี้แจงการที่พระเจ้าได้ประทานพระบัญญัติเดิมแก่โมเซเพื่อมอบให้แก่ชนชาติยิว พระบัญญัติสิบประการเป็นบัญญัติที่สำคัญซึ่งชนชาติยิวจะต้องปฏิบัติตามภายใต้บัญญัติเดิม (ยังมีพระบัญญัติอื่น ๆ อีกมากมายนอกเหนือจากบัญญัติ 10 ประการ)
หมวดต่อมาของพระคริสตธรรมคัมภีร์เดิมเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ของพวกยิว รวมทั้งบันทึกว่าพวกยิวขอให้พระเจ้าแต่งตั้งกษัตริย์เพื่อจะเป็นเหมือนกับบรรดาประเทศที่อยู่รอบ ๆ พวกเขา ครั้นเมื่อพวกเขามีกษัตริย์พวกเขาถูกนำไปตามทิศทางที่ผิดในทางฝ่ายวิญญาณจิตต์ และในที่สุดได้หันไปกราบไหว้รูปปั้นรูปเคารพที่สมมุติเป็นเทพเจ้าต่าง ๆ (บันทึกใน 1และ2ซามูเอล, 1และ2กษัตริย์ และ 2โครนิกา) พระเจ้าได้ส่งศาสดาพยากรณ์จำนวนมากให้แก่พวกยิวเพื่อเรียกร้องให้พวกเขาหันกลับมานมัสการพระเจ้าผู้ทรงสร้างที่แท้แต่พวกเขาดื้อด้านกบฏพยศไม่ยอมฟังคำวิงวอนของพวกศาสดาพยากรณ์ (ยะซายา-มาลาคี) เพราะพวกยิวใช้พระบัญญัติเดิมไปในทางที่ผิด และไม่สนใจใยดีต่อพระบัญญัติเดิม และเพราะคำวิงวอนของบรรดาศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายไม่เป็นผล พระเจ้าสัญญาว่าจะส่งศาสดาพยากรณ์คนใหม่ โมเซกล่าวว่า "พระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าจะทรงโปรดให้ผู้พยากรณ์บังเกิดขึ้นในท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย แต่พวกพี่น้องของเจ้าเหมือนเราเอง เจ้าทั้งหลายจงเชื่อฟังท่านผู้นั้น" (พระบัญญัติ 18:15) ศาสดาพยากรณ์คนใหม่จะมาพร้อมด้วยบัญญัติใหม่ "นี่แน่ะวันคืนทั้งหลายจะมาเมื่อเราจะกระทำความสัญญาใหม่กับตระกูลยิศราเอล, แลตระกูลยะฮูดา พระยะโฮวาได้ตรัส" (ยิระมะยา 31:31) พวกยิวในพระคัมภีร์เดิมเฝ้ารอการเสด็จมาของพระมาซีฮาอย่างใจจดใจจ่อ ได้มีคำพยากรณ์ว่าพระองค์จะนำความรอดและจะตั้งคำสัญญาไมตรีใหม่ แต่พระองค์ไม่ใช่เป็นผู้นำการทหารหรือผู้มีอำนาจทางการเมือง อันที่จริงศาสดาพยากรณ์ได้พยากรณ์เกี่ยวกับการมาของพระองค์ว่า พระองค์จะ "เป็นที่ดูหมิ่นและคนไม่คบหา เป็นคนเจ้าทุกข์ และคุ้นเคยกับความเจ็บปวด" (ยะซายา 53:3) ศาสดาพยากรณ์ยะซายาได้เขียนเกี่ยวกับพระมาซีฮาดังนี้ว่า "พระองค์ตรัสดังนี้ การเป็นผู้รับใช้ของเรานั้น ถ้าเพียงแต่ฟื้นตระกูลของยาโคบขึ้น และนำชนชาติยิศราเอลที่ยังเหลืออยู่กลับคืนมาเท่านั้นก็ดูเป็นการเล็กน้อยเกินไป ดังนั้นเราจึงจะตั้งเจ้าให้เป็นดวงสว่างแก่ประชาชาติเพื่อความรอดของเราจะแผ่ไปถึงกระทั่งปลายพิภพโลก" (ยะซายา 49:6) ดังนั้นภายใต้บัญญัติใหม่ซึ่งจะตั้งโดยพระมาซีฮา (พระเยซูพระบุตรของพระเจ้า) พระเจ้าจะต้อนรับบรรดาประชาชาติทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะพวกยิวเท่านั้นให้เป็นพลไพร่ของพระเจ้า
พระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ THE NEW TESTAMENT
พระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่มี 27 เล่ม
มัดธายเป็นหนังสือเล่มแรกและวิวรณ์เป็นหนังสือเล่มสุดท้าย ทั้ง 27 เล่มแบ่งออเป็น 4 หมวดใหญ่
หมวดพระกิตติคุณ : The Gospels คำว่ากิตติคุณหมายความว่า "ข่าวประเสริฐ" หนังสือสี่เล่มแรกของพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่คือ มัดธาย มาระโก ลูกา และโยฮัน รู้จักกันดีว่าเป็นหมวดพระกิตติคุณ เพราะบอกเรื่องชีวิตการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู เพราะเรื่องราวของพระเยซูเป็นเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐสำหรับมนุษย์ที่เป็นคนบาปจึงเรียกว่า กิตติคุณ
หมวดประวัติศาสตร์ : History
หนังสือในหมวดนี้มีเล่มเดียวคือหนังสือกิจการ หนังสือกิจการเขียนโดยนายแพทย์ลูกา ท่านได้เขียนประวัติเกี่ยวกับ "กิจการ" ของอัครสาวก การเริ่มต้นคริสตจักร และประวัติของคริสตจักรตอนแรก หลังจากที่พระเยซูได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์บรรดาสาวกของพระองค์ได้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับชีวิต การสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู เพราะการออกไปประกาศของพวกสาวกพระคำของพระเจ้าได้เผยแพร่กระจายไปทั่วโลก และคริสตจักรที่พระเยซูสัญญาที่จะตั้งได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟไหม้ป่า (มัดธาย 16:18)
หมวดจดหมาย : The Epistles (อีพิสเซิล)
เมื่ออัครสาวกได้ประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้ตั้งคริสตจักรมากมายตามเมืองต่าง ๆ อัครสาวกและผู้เขียนคนอื่น ๆ มองเห็นความจำเป็นในการอธิบายแก่คริสตจักรต่าง ๆ เหล่านี้ให้รู้ว่าจะดำเนินชีวิตและนมัสการพระเจ้าอย่างไร เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงได้เขียนจดหมายไปถึงคริสตจักรต่าง ๆ เหล่านี้ ตัวอย่างเช่นเปาโลเขียนจดหมายไปถึงคริสตจักรที่กรุงโรม บางครั้งจดหมายต่าง ๆ เหล่านี้ก็เขียนไปถึงส่วนบุคคล เช่น หนังสือ 1และ2 ติโมเธียว ซึ่งเขียนโดยอัครสาวกเปาโลไปยังติโมเธียวผู้ช่วยของท่าน จดหมายต่าง ๆ เหล่านี้ได้เขียนไปถึงคนเหล่านั้นที่เป็นคริสเตียนแล้วเพื่อหนุนใจพวกเขา เพื่อตอบปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ เพื่อสั่งสอนทางฝ่ายวิญญาณจิตต์ และก็แน่นอนแม้กระทั่งเป็นการใช้วินัยสั่งสอนพวกเขา อัครสาวกเปาโลเขียนจดหมายหลายฉบับในพระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมดมี 27 เล่ม เปาโลเขียนจดหมาย 13 ฉบับ (ซึ่งเป็นจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด)
หมวดคำพยากรณ์ : Prophecy
หนังสือในหมวดนี้มีเล่มเดียวคือหนังสือวิวรณ์ เหตุที่เรียกว่าเป็นคำพยากรณ์ก็เพราะว่าหนังสือนี้มีเนื้อหาที่บอกกับคนในศตวรรษแรกว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต สิ่งที่ได้บอกเล่าในหนังสือวิวรณ์ส่วนมากได้เกิดขึ้นแล้ว น่าเสียดายมากมีคนเป็นอันมากใช้หนังสือเล่มนี้ไปในทางที่ผิด ทำให้ความหมายผิดไปจากความจริง เขาแปลหนังสือวิวรณ์ผิดโดยใช้หนังสือนี้ทำนายเกี่ยวกับวันสิ้นโลก เมื่ออ่านหนังสือวิวรณ์มีสิ่งสำคัญสองประการที่ท่านจะต้องจดจำ
(1) หนังสือวิวรณ์ใช้ภาษาสัญลักษณ์มากซึ่งส่วนมากมาจากพระคัมภีร์เดิม เช่น หนังสือดานิเอลและยะเอศเคล เพราะเมื่อพวกยิวอ่านเขาสามารถเข้าใจภาษาสัญลักษณ์ได้ ขณะเดียวกันพวกศัตรูอ่านแล้วจะไม่เข้าใจ และ
(2) ไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกับหนังสือพระคัมภีร์เล่มอื่น ๆ ทั้งหมด หนังสือพระคัมภีร์ใหม่ได้เขียนเสร็จสมบูรณ์ 550 ปี หลังจากหนังสือมาลาคี (มาลาคีเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์เดิม) อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์ใหม่ได้เขียนต่อเนื่องสิ่งที่พระคัมภีร์เดิมได้จบลง บรรดาผู้พยากรณ์ทั้งหลายในพระคัมภีร์เดิมต่างก็ได้พยากรณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระมาซีฮา ซึ่งพระองค์จะเป็นพระผู้ช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความบาป และจะทรงสถาปนาอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจิตต์ขึ้น ชนชาติยิศราเอลทั้งชาติต่างก็เฝ้ารอคอยการเสด็จมาของพระมาซีฮา หนังสือพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มได้บอกเรื่องราวของพระเยซูว่า พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก พระองค์ได้เสนอข้อพิสูจน์โดยการสำแดงอิทธิฤทธิ์มหัศจรรย์และคำสั่งสอนของพระองค์เพื่อยืนยันว่าคำพยากรณ์ต่าง ๆ ในพระคัมภีร์เดิมได้เล็งถึงพระองค์ทั้งสิ้น
หนังสือที่เหลือในพระคัมภีร์ใหม่ได้ชี้แจงเค้าโครงของคำสัญญาไมตรีใหม่ที่พระเยซูได้ทรงตั้งขึ้นว่าจะไม่ต้องนำเอาสัตว์เช่นโค หรือแกะ (เหมือนที่ทำในพระคัมภีร์เดิม) มาเผาถวายเป็นเครื่องบูชาเพื่อไถ่โทษความผิดบาปอีกต่อไป ภายใต้ คำสัญญาไมตรีใหม่ ของพระเยซูการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนไม้กางเขนนับว่าเป็นเครื่องบูชาอย่างเดียวเท่านั้นเพื่อไถ่โทษบาปมนุษย์ เป็นสิ่งสำคัญมากที่จะต้องเข้าใจว่าคำสัญญาไมตรีใหม่ (New Testament) เข้ามารับหน้าที่แทนคำสัญญาไมตรีเดิม (Old Testament) นี่เป็นเหตุที่ผู้เขียนหนังสือเฮ็บรายได้กล่าวว่า "ที่พระองค์ตรัสว่าคำสัญญาไมตรีใหม่ พระองค์จึงได้ทรงกระทำให้ คำสัญญาไมตรีเดิมนั้นเก่าไปแล้ว ฝ่ายสิ่งที่เก่าและแก่ไปนั้นใกล้จะ ศูนย์ไปแล้ว" (เฮ็บราย 8:13) หนังสือพระคัมภีร์เดิมเป็นหนังสือที่ดีมากที่สามารถสอนให้เรารู้ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า อันที่จริงพระคัมภีร์เดิมตระเตรียมโลกเพื่อการเสด็จมาของพระเยซูซึ่งเป็นพระมาซีอา แต่หลังจากที่พระเยซูทรงพระชนม์อยู่บนโลกนี้ สิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์จากความตาย พระเจ้าได้ตั้งระบบพันธสัญญาไมตรีใหม่ขึ้นสำหรับมนุษย์ทุกคน รายละเอียดของพันธสัญญาไมตรีสามารถพบได้ในพระคัมภีร์ใหม่ เป็นศูนย์กลางในการที่มนุษย์จะพบความรอดได้แห่งเดียวเท่านั้น
สรุป
นับตั้งแต่ ค.ศ. 1947 สมาคมพระคริสตธรรมได้แจกจ่ายพระคัมภีร์มากกว่า 9 พันล้านเล่ม หนังสือพระคัมภีร์บางส่วนได้แปลออกเป็นภาษาและสำเนียงต่าง ๆ ถึง 2,123 ภาษา และพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมดสามารถอ่านได้มากกว่า 800 ภาษา พระคัมภีร์ได้แจกจ่ายไปตามประเทศต่าง ๆ มากกว่า 200 ประเทศ ในสหรัฐอเมริกาหนังสือพระคัมภีร์เป็นหนังสือที่มียอดขายดีมากที่สุดมากกว่าหนังสืออื่นใด หนังสือพระคัมภีร์แต่ละเล่มต่างก็สนับสนุนกันและกันเป็นหนึ่งเดียวจากหนังสือเยเนซิศถึงหนังสือวิวรณ์ เป็นการเผยให้เห็นความมหัศจรรย์ของโครงการของพระเจ้านับตั้งแต่มนุษย์ได้พลาดล้ม (พระเจ้าได้วางโครงการอย่างละเอียดเป็นเวลาหลายศตวรรษ) เพื่อช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากบาปและเผยให้เห็นชัยชนะของความสำเร็จในระบบของศาสนาคริสต์ แก่นแท้ของพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับปัญหาเดียวคือความบาป มีข้อสรุปอันเดียวในการแก้ไขคือ โดยพระเยซูคริสต์
หนังสือที่เหลือในพระคัมภีร์ใหม่ได้ชี้แจงเค้าโครงของคำสัญญาไมตรีใหม่ที่พระเยซูได้ทรงตั้งขึ้นว่าจะไม่ต้องนำเอาสัตว์เช่นโค หรือแกะ (เหมือนที่ทำในพระคัมภีร์เดิม) มาเผาถวายเป็นเครื่องบูชาเพื่อไถ่โทษความผิดบาปอีกต่อไป ภายใต้ คำสัญญาไมตรีใหม่ ของพระเยซูการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนไม้กางเขนนับว่าเป็นเครื่องบูชาอย่างเดียวเท่านั้นเพื่อไถ่โทษบาปมนุษย์ เป็นสิ่งสำคัญมากที่จะต้องเข้าใจว่าคำสัญญาไมตรีใหม่ (New Testament) เข้ามารับหน้าที่แทนคำสัญญาไมตรีเดิม (Old Testament) นี่เป็นเหตุที่ผู้เขียนหนังสือเฮ็บรายได้กล่าวว่า "ที่พระองค์ตรัสว่าคำสัญญาไมตรีใหม่ พระองค์จึงได้ทรงกระทำให้ คำสัญญาไมตรีเดิมนั้นเก่าไปแล้ว ฝ่ายสิ่งที่เก่าและแก่ไปนั้นใกล้จะ ศูนย์ไปแล้ว" (เฮ็บราย 8:13) หนังสือพระคัมภีร์เดิมเป็นหนังสือที่ดีมากที่สามารถสอนให้เรารู้ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า อันที่จริงพระคัมภีร์เดิมตระเตรียมโลกเพื่อการเสด็จมาของพระเยซูซึ่งเป็นพระมาซีอา แต่หลังจากที่พระเยซูทรงพระชนม์อยู่บนโลกนี้ สิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์จากความตาย พระเจ้าได้ตั้งระบบพันธสัญญาไมตรีใหม่ขึ้นสำหรับมนุษย์ทุกคน รายละเอียดของพันธสัญญาไมตรีสามารถพบได้ในพระคัมภีร์ใหม่ เป็นศูนย์กลางในการที่มนุษย์จะพบความรอดได้แห่งเดียวเท่านั้น
สรุป
นับตั้งแต่ ค.ศ. 1947 สมาคมพระคริสตธรรมได้แจกจ่ายพระคัมภีร์มากกว่า 9 พันล้านเล่ม หนังสือพระคัมภีร์บางส่วนได้แปลออกเป็นภาษาและสำเนียงต่าง ๆ ถึง 2,123 ภาษา และพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมดสามารถอ่านได้มากกว่า 800 ภาษา พระคัมภีร์ได้แจกจ่ายไปตามประเทศต่าง ๆ มากกว่า 200 ประเทศ ในสหรัฐอเมริกาหนังสือพระคัมภีร์เป็นหนังสือที่มียอดขายดีมากที่สุดมากกว่าหนังสืออื่นใด หนังสือพระคัมภีร์แต่ละเล่มต่างก็สนับสนุนกันและกันเป็นหนึ่งเดียวจากหนังสือเยเนซิศถึงหนังสือวิวรณ์ เป็นการเผยให้เห็นความมหัศจรรย์ของโครงการของพระเจ้านับตั้งแต่มนุษย์ได้พลาดล้ม (พระเจ้าได้วางโครงการอย่างละเอียดเป็นเวลาหลายศตวรรษ) เพื่อช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากบาปและเผยให้เห็นชัยชนะของความสำเร็จในระบบของศาสนาคริสต์ แก่นแท้ของพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับปัญหาเดียวคือความบาป มีข้อสรุปอันเดียวในการแก้ไขคือ โดยพระเยซูคริสต์