บทที่ 7

บทที่7

 
คำนำทั่วไปเกี่ยวกับพระคริสตธรรมคัมภีร์
A GENERAL INTRODUCTION TO THE BIBLE


ความต้องการการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า
THE NEED FOR REVELATION FROM GOD

    หลังจากที่เราได้รู้แล้วว่ามีพระเจ้าผู้ทรงสร้างจริงเป็นการสมเหตุสมผลที่ควรคิดว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์ต้องการติดต่อกับมนุษย์  มนุษย์มีสติปัญญาสูง มีความเมตตา มีความดี มีความยุติธรรม และมีคุณลักษณะที่ดีอื่น ๆ อีกมากมาย  เมื่อเป็นเช่นนั้นพระผู้ทรงสร้างก็ไม่น่าจะมีอะไรด้วยกว่ามนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างด้วยประการทั้งปวง  เพราะอย่างไรผลจะไม่ยิ่งใหญ่กว่าเหตุ  ดังนั้นพระเจ้าผู้ทรงสร้างจะทรงสำแดงคุณลักษณะที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่ามนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างในด้านพระสติปัญญา  พระเมตตากรุณา  ความดีของพระองค์  ความยุติธรรมของพระองค์ ฯลฯ  เพราะฉะนั้นความจำเป็นในการสื่อสารติดต่อระหว่างพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศกับมนุษย์ผู้มีสติปัญญาที่พระเจ้าเป็นผู้สร้างจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน
    ถ้าปราศจากการสื่อสารติดต่อจากพระเจ้ามนุษย์จะรู้จักพระเจ้าและรู้ซึ้งถึงพระลักษณะของพระองค์ในการเป็นผู้ทรงสร้างหรือจะเข้าใจได้อย่างไรว่า พระผู้ทรงสร้างประสงค์อะไรกับมนุษย์ที่พระองค์ได้สร้าง?  ดังนั้นความต้องการสิ่งที่พระเจ้าเปิดเผยพระองค์เองในฐานะเป็นผู้ทรงสร้างจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อพระองค์จะสอนมนุษย์เกี่ยวกับเรื่องบางสิ่งบางอย่างดังต่อไปนี้
เกี่ยวกับพระลักษณะของพระเจ้า  THE CHARACTER OF GOD
    เราสามารถมองเห็นฤทธานุภาพและพระสติปัญญาล้ำเลิศจากการสร้างสรรพสิ่งอันกว้างใหญ่ทั้งปวงของพระองค์  เราก็ยิ่งมีความต้องการสิ่งที่จะสื่อสารติดต่อจากพระองค์เพื่ออธิบายเกี่ยวกับพระลักษณะของพระองค์ให้เห็นอย่างชันเจนมากยิ่งขึ้น
เกี่ยวกับกำเนิดของความชั่ว  THE ORIGIN OF EVIL
    ครั้นเมื่อมนุษย์ล่องลอยอยู่ในทะเลแห่งความชั่ว ความเจ็บปวด การทุกข์ยากลำบาก คำถามจึงผุดขึ้นมาทำไมสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้เองมนุษย์จะต้องเรียนรู้ถึงเหตุผลว่า ทำไมมนุษย์จึงตกอยู่ในสภาวะเช่นนั้น
เกี่ยวกับกำเนิดของมนุษย์  MANKIND'S ORIGIN
    ถ้าปราศจากการสื่อสารที่มาจากพระเจ้ามนุษย์อาจจะเหมาเอาว่ามนุษย์มาจาก "ความบังเอิญของธรรมขาติ"  แทนที่จะมาจากพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงฤทธานุภาพ ความสับสนวุ่นวายของทฤษฎีวิวัฒนาการยุคสมัยใหม่เป็นหลักฐานชี้ให้เห็นประเด็นดังกล่าว
เกี่ยวกับจุดประสงค์ของมนุษย์  MANKIND'S PURPOSE
    ถ้าปล่อยให้มนุษย์คิดไปตามใจตัวเอง  มนุษย์จะไม่สามารถเข้าใจจุดประสงค์ว่า พระเจ้าสร้างเขาขึ้นมาทำไม?  ถ้ามนุษย์ไม่เข้าใจบทบาทอันแท้จริง ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ในปัจจุบัน และไม่รู้จุดประสงค์ในอนาคตที่ชัดเจน มนุษย์ก็จะเวียนว่ายอย่างไรจุดหมายปลายทางท่ามกลางทะเลของความไม่แน่นอน
เกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษย์  MANKIND'S DESTINY
    ถ้าปราศจากการสื่อสารที่มาจากพระเจ้า มนุษย์จะไม่อาจรู้ได้เกี่ยวกับชีวิตหลังจากตายจะเป็นอย่างไร มนุษย์อาจจะเหมาเอาเองอย่างผิด ๆ เหมือนที่มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยสรุปว่าชีวิตของเราจบแค่โลกนี้เท่านั้น  ถ้าพระเจ้าไม่สื่อสารให้มนุษย์ทราบว่ายังมีชีวิตหลังจากตาย  ถ้าเช่นนั้นมนุษย์ก็คงจะใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวความตาย

การสื่อสารสองชนิด  THE TWO TYPES OF REVELATION
    การติดต่อสื่อสารของพระเจ้ากับมนุษย์มีหลายรูปแบบ  พระเจ้าเลือกวิธีติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โดยอาศัยทูตสวรรค์เป็นผู้สื่อความ  หรือโดยทางศุภนิมิตฝัน  หรือโดยผู้พยากรณ์ หรือพระองค์เลือกวิธีหนึ่งวิธีใดตามที่พระองค์เห็นเหมาะสม  ในประวัติศาสตร์พระเจ้าติดต่อสื่อสารกับมนุษย์สองชนิด  การสื่อสารแบบทั่วไป (หรือโดยธรรมชาติ) เป็นการสื่อสารที่พระเจ้าสำแดงพระองค์เองในธรรมชาติ (กรุณาดูพระคัมภีร์ โรม 1:20-21, กิจการ 14:17, บทเพลงสรรเสริญ 19:1) การสื่อสารแบบพิเศษ (หรือวิธีเหนือธรรมชาติ)  การสื่อสารแบบพิเศษนี้คือการที่พระเจ้าติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โดยทางพระคริสตธรรมคัมภีร์

การสื่อสารแบบทั่วไป : GENERAL REVELATION
    การสื่อสารแบบทั่วไปโดยทางธรรมชาติ  บทเพลงสรรเสริญบทที่ 19 ข้อ 1-6 ได้ประกาศว่าพระเจ้าได้ทรงสำแดงพระองค์เองในธรรมชาติ  ธรรมชาติสำแดงฝีพระหัตถ์ของพระผู้ทรงสร้าง  ในหนังสือโรม 1:20 เปาโลกล่าวว่า "ด้วยว่าอาการของพระเจ้าซึ่งเห็นไม่ได้นั้นคือฤทธานุภาพอันถาวร และสัมภวะของพระองค์ก็ทรงปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างนั้นตั้งแต่แรกสร้างโลก เขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อที่จะแก้ตัวได้"
    พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนว่าการสื่อสารของพระเจ้าแบบทั่วไป พระองค์ได้ทรงสำแดงในสากลโลก  ในประวัติศาสตร์พระเจ้าไม่เคยขาดพยานหลักฐานเกี่ยวกับพระองค์เอง (กิจการ 14:17) การสื่อสารแบบทั่วไปมีความเป็นสากลที่มีขอบเขตครอบคลุมทั่วโลก  เราสามารถเห็นสง่าราศีของพระเจ้าทุกครั้งที่เราเห็นท้องฟ้า  สามารถเห็นสง่าราศีของพระเจ้าเมื่อเห็นสายรุ้งในเวลากลางวัน หรือลำธารน้ำไหลตามป่าเขาลำเนาไพร แม้ว่าคนมองเห็นสิ่งเหล่านี้เสมอยังไม่สามารถตระหนักถึงการสื่อสารของพระเจ้าโดยธรรมชาติแต่พยานในธรรมชาติก็ยังมีให้เราเห็นตลอดไป

การสื่อสารแบบพิเศษ : SPECIAL REVELATION
    ถ้าพระเจ้าประสงค์ที่จะมีการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ให้ยั่งยืนถาวร  พระองค์สามารถทำได้โดยการมอบการสื่อสารแบบยั่งยืนถาวรและเป็นที่ยอมรับง่าย ๆ หรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือรูปแบบการสื่อสารที่พระเจ้ามอบให้กับมนุษย์นั้นจะสามารถผ่านการทดสอบด้วยกาลเวลา และสามารถมอบให้กับคนในยุคต่อไปในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติ  ที่จะทำการสื่อสารได้ดังกล่าวก็โดยการบันทึกเป็นข้อความเป็นภาษาของมนุษย์ที่สามารถคัดลอกต้นฉบับและแจกจ่ายไปทั่วตามความต้องการ เพื่อคนทุกยุคทุกสมัยจะได้รับผลประโยชน์โดยตรงอย่างถ้วนหน้า  คราวนี้เราต้องถามว่ามีหลักฐานข้อพิสูจน์อะไรที่แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าได้ประทานการติดต่อสื่อสารดังกล่าว คำตอบคือ ใช่   มีหลักฐานอย่างชัดเจนที่พิสูจน์ให้เห็นว่าพระเจ้าได้ทรงประทานการติดต่อสื่อสารอันถาวรแก่มนุษย์ที่บันทึกเป็นตัวอักษรในหนังสือที่เราเรียกว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์ (Bible) บทเรียนตอนต่อไปเราจะศึกษาเกี่ยวกับหลักฐานต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นหนังสือสื่อสารที่มนุษย์ใช้ติดต่อกับพระผู้ทรงสร้าง สำหรับบทเรียนในบทนี้  เราจะศึกษาเพื่อทำความเข้าใจว่าพระคัมภีร์ประกอบด้วยหนังสืออะไรบ้างและมีความสอดคล้องกันอย่างไร

พระคัมภีร์สอดคล้องกันเป็นหนึ่งเดียว  THE UNITY OF THE BIBLE
    พระคัมภีร์มีความสอดคล้องกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  ซึ่งถ้าจะพูดกันในแง่ของความเป็นมนุษย์เป็นการยากมากที่จะอธิบายความเป็นเอกลักษณ์ดังกล่าว  เพื่อจะให้เรารู้สึกชื่นชมกับความเป็นหนึ่งเดียวของพระคัมภีร์  สิ่งแรกทีเดียวเราจะต้องเข้าใจว่าหนังสือต่าง ๆ เหล่านี้ได้ถูกรวบรวมขึ้นมาได้อย่างไร  พระคัมภีร์ได้ถูกเขียนขึ้นโดยคนสี่สิบคนซึ่งมีภูมิหลังที่ต่างกัน เช่น นะเฮ็มยาเป็นขุนนางที่ถวายเครื่องเสวยของกษัตริย์  ซะโลโมเป็นกษัตริย์  โมเซเป็นคนเลี้ยงแกะ  เปโตรเป็นชาวประมง  ลูกาเป็นนายแพทย์  มัดธายเป็นเก็บภาษี  เปาโลเป็นช่างเย็บเต็นท์  คนเหล่านี้ได้เขียนหนังสือพระคัมภีร์ตามสภาพความเป็นจริงของมนุษย์  ยิระมะยาได้เขียนจากความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจอันลึกซึ้งจากการที่พลไพร่ของพระเจ้าปฏิเสธไม่สัตย์ซื่อต่อพระองค์  ดาวิดได้เขียนด้วยความรู้สึกชื่นชมยินดีกับความงามของทุ่งหญ้าบนภูเขาในมณฑลยูดาย เปาโลเขียนในขณะที่ท่านถูกจำจองอยู่ที่กรุงโรมตอนที่ท่านต้องเผชิญกับความทุกข์ ผู้เขียนทั้ง 40 คนบวกกับคนอื่นอีกได้เขียนพระคัมภีร์เป็นสามภาษา (ภาษาเฮ็บราย,  ภาษาอาราเมค, ภาษากรีก)  เขียนจากสองทวีป (ทวีปยุโรปและเอเซีย) ใช้เวลาในการเขียนทั้งสิ้นประมาณ 1600 ปี (ตั้งแต่ 1500 B.C.ถึง A.D. 100) เนื้อหาของหนังสือประกอบไปด้วยสาระเกี่ยวกับจิตวิทยา, ภูมิศาสตร์, ศาสนา, ประวัติศาสตร์, การแพทย์ และอื่น ๆ อีก  ถ้าทั้งหมดเป็นความจริง เราอาจจะคาดคิดได้ว่า 40 คนที่เขียนหนังสือเหล่านี้ซึ่งมีความหลากหลาย และเขียนเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ใช้เวลาอันยาวนานในการเขียน ผลที่ได้ก็คือหนังสือที่ผลิตออกมาน่าจะเป็นหนังสือที่มีความบกพร่อง คงจะขัดแย้งกัน สับสน ไม่สอดคล้องกันและคงไม่มีสาระอะไรเลย  แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้นเลย  กลับเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่เราคาดคิด  พระคริสตธรรมคัมภีร์เปิดเผยให้เห็นความสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างน่าอัศจรรย์  มีความสัมพันธ์สอดคล้องซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี  ความสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวอย่างน่าอัศจรรย์นี้ไม่สามารถอธิบายว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา ๆ แน่นอน
    ถ้าจะเปรียบพระคัมภีร์ก็เหมือนกับวงดนตรีซิมโฟนีวงใหญ่ ซึ่งถูกควบคุมโดยวาทยากรแต่เพียงผู้เดียว "นักดนตรี" แต่ละคนเล่นเครื่องดนตรีคนละชิ้นคนละอัน นั่งอยู่คนละตำแหน่ง เล่นกันคนละจังหวะของเวลา  แต่ภายใต้การควบคุมวงดนตรีของวาทยากรที่มีตาลันต์สูง  บวกกับนักดนตรีที่เล่นเครื่องดนตรีอื่นมารวมกัน ผลที่ได้ก็คือเสียงไพเราะที่มาจากวงดนตรีที่มีความสัมพันธ์กันอย่างยอดเยี่ยมสมกับเป็นงานชิ้นเอก  พิจารณาการเปรียบเทียบดังต่อไปนี้ สมมุติว่าท่านเชิญผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้สูงสุดในยุคปัจจุบันสี่สิบคนด้วยกัน ผู้เหล่านี้ทุกคนต่างก็มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่แต่ละคนถนัด (ตัวอย่าง เช่น เป็นโปรเฟสเซอร์ที่มีปริญญาเอกในสาขาประวัติศาสตร์) สมมุติว่าท่านนำผู้เชี่ยวชาญ 40 คนเหล่านี้มาอยู่ในห้องเดียวกัน ขอให้เขาแต่ละคนเขียนบทความประมาณยี่สิบห้าหน้าในเรื่องเดียวกัน เรื่องสาเหตุของการเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อคนเหล่านี้ได้เขียนบทความเรื่องเดียวกันเสร็จแล้ว ท่านคิดว่าผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะมีความเห็นลงเอยกันได้ไหม?
    สิ่งที่เราคาดคิดอันจะเกิดขึ้นก็คือว่าจะมีหลายประเด็นที่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้มีความขัดแย้งซึ่งกันและกัน  บทความของคนเหล่านี้จะได้ชื่อว่าเป็นบทความที่มีความขัดแย้งมากกว่าที่จะเป็นบทความสอดคล้องซึ่งกันและกัน แต่เมื่อเราพิจารณาดูผู้ที่เขียนพระคริสตธรรมคัมภีร์  เราพบว่าคนเหล่านั้นไม่ได้มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยเดียวกัน ไม่ได้ทำงานอยู่ด้วยกัน และบางครั้งก็ไม่รู้จักกันและกัน ผู้เขียนส่วนมากก็ไม่ได้มีการศึกษาสูงอะไรมากนัก  ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนอบรมก็ไม่ได้อยู่ในสาขาวิชาเดียวกัน  เมื่อเวลาที่พวกเขาเขียนพวกเขาก็ไม่ได้เขียนเรื่องเดียวกัน  แม้กระนั้นพวกเขาได้ผลิตหนังสือที่มีความสอดคล้องสัมพันธ์กันเป็นหนึ่งเดียวตั้งแต่จนจบ  หนังสือพงศาวดารกษัตริย์ฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 มีความสอดคล้องสัมพันธ์ในเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายของประวัติศาสตร์กับหนังสือโครนิกา ฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2  ยะโฮซูอะบทที่ 1 สนับสนุนเหตุการณ์ในหนังสือพระบัญญัติบทที่ 34  หนังสือผู้วินิจฉัยบทที่ 1 ข้อ 1 ยืนยันสิ่งที่ยะโฮซูอะ บันทึกในบทที่ 24:27-33  หนังสือยิระมะยาบทที่ 52:31-34 ยืนยันประวัติศาสตร์ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์ฉบับ 2 บทที่ 25:25, 27-30  รวมทั้งหนังสือเล่มอื่น ๆ อีกมาก  ความสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกันอันน่าทึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนตลอดทั้งพระคัมภีร์  ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ยืนยันความจริงให้เห็นว่ามีผู้ประกอบด้วยปัญญาล้ำเลิศที่อยู่เบื้องหลังในการเขียนเหล่านี้  หนังสือพระคัมภีร์เขียนโดยผู้เขียนมากมายใช้เวลาอันยาวนานในการเขียน  มีเนื้อหาสาระครอบคลุมมากมาย  หนังสือพระคัมภีร์ที่มีความสอดคล้องกันเป็นหนึ่งเดียวอันอัศจรรย์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยความบังเอิญแน่นอน

การจัดระบบของพระคัมภีร์  ORGANIZATION OF THE BIBLE
พระคริสตธรรมคัมภีร์เดิม  THE OLD TESTAMENT
    พระคริสตธรรมคัมภีร์ทั้งหมดแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ คือพระคริสตธรรมคัมภีร์เดิมและพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ (หรือในภาษาไทยใช้คำว่า "พันธสัญญาไมตรี" คำว่า "พันธสัญญาไมตรี" หมายถึงข้อตกลงร่วมกันหรือคำสัญญาไมตรีร่วมกัน  เพราะฉะนั้นพระคริสตธรรมคัมภีร์เดิมหมายความว่าคำสัญญาไมตรีฉบับเดิมของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์  ขณะเดียวกันพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่หมายถึงคำสัญญาไมตรีใหม่ของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ทุกชาติในโลก  พระคริสตธรรมคัมภีร์เดิมมีหนังสือ 39 เล่ม  ภาษาดั้งเดิมของพระคัมภีร์เดิมส่วนมากเขียนเป็นภาษาเฮ็บราย (มีส่วนน้อยที่เขียนเป็นภาษาอาราเมค) โมเซเป็นผู้เขียนหนังสือห้าเล่มแรกของพระคัมภีร์เดิม (ทั้งห้าเล่มนี้รวมเรียกว่า Pentateuch หรือ หมวดพระบัญญัติ) ได้เขียนเมื่อประมาณ 1500 B.C.  หนังสือมาลาคีเป็นหนังสือพระคัมภีร์เดิมที่เขียนขึ้นเป็นเล่มสุดท้ายเมื่อ 450 B.C.
    หนังสือเล่มแรกของพระคัมภีร์เดิมเรียกว่า เยเนซิศ ชื่อหนังสือหมายถึง "ปฐมกาล"  เพราะหนังสือเล่มนี้ได้เขียนเกี่ยวกับปฐมกำเนิดของจักรวาลและทุกสิ่งที่อยู่ในจักรวาล  อาดามและฮาวาเป็นมนุษย์คู่แรกที่พระเจ้าทรงสร้าง (ในวันที่หกของการทรงสร้าง)  ทั้งสองอาศัยอยู่ในสวนเอเดน  ทั้งสองมีอิสระในการเลือกที่จะทำตามใจปรารถนาได้ทุกสิ่ง ยกเว้นห้ามไม่ให้รับประทานผลไม้จากต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว (อ่านเยเนซิศ 1:16-17)  อยู่มาวันหนึ่งซาตานได้มาปรากฏตัวในร่างของงู  งูได้ล่อลวงฮาวาให้รับประทานผลไม้ที่พระเจ้าทรงห้ามที่อยู่ในสวน  ฮาวาได้นำผลไม้ไปให้อาดามรับประทานด้วย  แม้ว่าอาดามไม่ได้ถูกล่อลวง  แต่อาดามก็ได้ทำตามฮาวา (1ติโมเธียว 2:14)  อาดามได้รับประทานผลไม้นั้นด้วยดังนั้นความบาป (การล่วงละเมิด) ได้เข้ามาในโลกเป็นครั้งแรก ประมาณ 1600 ปี  หลังจากอาดามกับฮาวาได้ถูกไล่ออกไปจากสวนเอเดนแล้ว  มนุษย์ที่เกิดมาภายหลังได้กระทำบาปและประพฤติชั่วช้าเลวทรามมาก พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า "พระยะโฮวาทรงเห็นมนุษย์กระทำชั่วมากทวีขึ้นบนแผ่นดินและทรงเห็นว่าความคิดนึกในใจของเขาล้วนเป็นความชั่วเสมอไป" (เยเนซิศ 6:5)  เพราะมนุษย์ได้ประพฤติชั่ว พระเจ้าทำให้ให้น้ำท่วมทั้งโลกทำลายมนุษย์ทั้งหมด  ยกเว้นโนฮากับภรรยาและบุตรชายทั้งสามกับภรรยาของพวกเขา  รวมทั้งสัตว์ที่สะอาดอย่างละคู่และสัตว์อื่น ๆ อีกอย่างละคู่ที่อยู่ในนาวารอดตายหมด  หลังจากน้ำท่วมโลกมนุษย์ก็ได้ทวีเพิ่มมากขึ้นในโลก  มนุษย์เหล่านั้นส่วนมากได้ทำบาปด้วยการกราบไหว้รูปปั้นรูปเคารพเป็นเทพเจ้าหลายชนิด (รู้จักกันในชื่อว่า "Polytheism")  แทนที่จะนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เดียว  ที่สุดพระเจ้าได้ทรงเลือกอับราฮามเพื่อให้เป็นบิดาของประเทศชาติใหม่ซึ่งมีพลเมืองที่นมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว  อับราฮามได้เชื่อพระเจ้าแลปฏิบัติตามทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสสั่ง หลังจากนั้นพระเจ้าได้อวยพรให้อับราฮามกับซาราผู้เป็นภรรยามีบุตรชายชื่อยิศฮาค  ยิศฮาคมีบุตรฝาแฝดชื่อเอซาวกับยาโคบ (ภายหลังชื่อของยาโคบเปลี่ยนเป็นยิศราเอล)  ยาโคบมีบุตรชายสิบสองคนซึ่งสิบสองคนนี้เป็นหัวหน้าสิบสองตระกูลของยิศราเอล  ภายหลังยาโคบและบุตรชายทั้งหมดได้อพยพเข้าไปอยู่ในประเทศอียิปต์ ซึ่งในเวลาต่อมาพวกเขาตกเป็นทาสอยู่ที่นั่น  พระเจ้าได้อวยพรให้พวกเขามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในประเทศอียิปต์  ชนชาติยิศราเอลได้ใช้ชีวิตตกเป็นทาสอยู่ในประเทศอียิปต์เป็นเวลา 430 ปี  พระเจ้าได้ส่งโมเซและอาโรนเข้าไปในประเทศอียิปต์เพื่อปล่อยชนชาติยิศราเอลให้ออกจากการเป็นทาส  เมื่อพวกชนชาติยิศราเอลได้ออกไปจากประเทศอียิปต์พระเจ้าได้ประทานพระบัญญัติพิเศษให้แก่พวกยิศราเอลซึ่งทำให้เขาไม่เหมือนชนประเทศอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ  หนังสือ 5 เล่มแรกที่เรียกว่า Pentateuch ได้ชี้แจงว่าอับราอามได้เป็นบิดาของพวกยิวอย่างไร  และชี้แจงการที่พวกยิวเป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรร  กับได้ชี้แจงการที่พระเจ้าได้ประทานพระบัญญัติเดิมแก่โมเซเพื่อมอบให้แก่ชนชาติยิว  พระบัญญัติสิบประการเป็นบัญญัติที่สำคัญซึ่งชนชาติยิวจะต้องปฏิบัติตามภายใต้บัญญัติเดิม (ยังมีพระบัญญัติอื่น ๆ อีกมากมายนอกเหนือจากบัญญัติ 10 ประการ)
    หมวดต่อมาของพระคริสตธรรมคัมภีร์เดิมเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ของพวกยิว รวมทั้งบันทึกว่าพวกยิวขอให้พระเจ้าแต่งตั้งกษัตริย์เพื่อจะเป็นเหมือนกับบรรดาประเทศที่อยู่รอบ ๆ พวกเขา  ครั้นเมื่อพวกเขามีกษัตริย์พวกเขาถูกนำไปตามทิศทางที่ผิดในทางฝ่ายวิญญาณจิตต์ และในที่สุดได้หันไปกราบไหว้รูปปั้นรูปเคารพที่สมมุติเป็นเทพเจ้าต่าง ๆ (บันทึกใน 1และ2ซามูเอล, 1และ2กษัตริย์ และ 2โครนิกา)  พระเจ้าได้ส่งศาสดาพยากรณ์จำนวนมากให้แก่พวกยิวเพื่อเรียกร้องให้พวกเขาหันกลับมานมัสการพระเจ้าผู้ทรงสร้างที่แท้แต่พวกเขาดื้อด้านกบฏพยศไม่ยอมฟังคำวิงวอนของพวกศาสดาพยากรณ์ (ยะซายา-มาลาคี)  เพราะพวกยิวใช้พระบัญญัติเดิมไปในทางที่ผิด และไม่สนใจใยดีต่อพระบัญญัติเดิม และเพราะคำวิงวอนของบรรดาศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายไม่เป็นผล  พระเจ้าสัญญาว่าจะส่งศาสดาพยากรณ์คนใหม่ โมเซกล่าวว่า "พระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าจะทรงโปรดให้ผู้พยากรณ์บังเกิดขึ้นในท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย  แต่พวกพี่น้องของเจ้าเหมือนเราเอง  เจ้าทั้งหลายจงเชื่อฟังท่านผู้นั้น" (พระบัญญัติ 18:15)  ศาสดาพยากรณ์คนใหม่จะมาพร้อมด้วยบัญญัติใหม่ "นี่แน่ะวันคืนทั้งหลายจะมาเมื่อเราจะกระทำความสัญญาใหม่กับตระกูลยิศราเอล, แลตระกูลยะฮูดา พระยะโฮวาได้ตรัส" (ยิระมะยา 31:31)  พวกยิวในพระคัมภีร์เดิมเฝ้ารอการเสด็จมาของพระมาซีฮาอย่างใจจดใจจ่อ  ได้มีคำพยากรณ์ว่าพระองค์จะนำความรอดและจะตั้งคำสัญญาไมตรีใหม่  แต่พระองค์ไม่ใช่เป็นผู้นำการทหารหรือผู้มีอำนาจทางการเมือง  อันที่จริงศาสดาพยากรณ์ได้พยากรณ์เกี่ยวกับการมาของพระองค์ว่า พระองค์จะ "เป็นที่ดูหมิ่นและคนไม่คบหา เป็นคนเจ้าทุกข์ และคุ้นเคยกับความเจ็บปวด" (ยะซายา 53:3)  ศาสดาพยากรณ์ยะซายาได้เขียนเกี่ยวกับพระมาซีฮาดังนี้ว่า "พระองค์ตรัสดังนี้ การเป็นผู้รับใช้ของเรานั้น ถ้าเพียงแต่ฟื้นตระกูลของยาโคบขึ้น และนำชนชาติยิศราเอลที่ยังเหลืออยู่กลับคืนมาเท่านั้นก็ดูเป็นการเล็กน้อยเกินไป ดังนั้นเราจึงจะตั้งเจ้าให้เป็นดวงสว่างแก่ประชาชาติเพื่อความรอดของเราจะแผ่ไปถึงกระทั่งปลายพิภพโลก" (ยะซายา 49:6)  ดังนั้นภายใต้บัญญัติใหม่ซึ่งจะตั้งโดยพระมาซีฮา (พระเยซูพระบุตรของพระเจ้า)  พระเจ้าจะต้อนรับบรรดาประชาชาติทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะพวกยิวเท่านั้นให้เป็นพลไพร่ของพระเจ้า

พระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่  THE NEW TESTAMENT
พระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่มี 27 เล่ม
    มัดธายเป็นหนังสือเล่มแรกและวิวรณ์เป็นหนังสือเล่มสุดท้าย  ทั้ง 27 เล่มแบ่งออเป็น 4 หมวดใหญ่
หมวดพระกิตติคุณ  The Gospels คำว่ากิตติคุณหมายความว่า "ข่าวประเสริฐ" หนังสือสี่เล่มแรกของพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่คือ มัดธาย  มาระโก  ลูกา และโยฮัน รู้จักกันดีว่าเป็นหมวดพระกิตติคุณ  เพราะบอกเรื่องชีวิตการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู เพราะเรื่องราวของพระเยซูเป็นเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐสำหรับมนุษย์ที่เป็นคนบาปจึงเรียกว่า กิตติคุณ
หมวดประวัติศาสตร์ :  History
    หนังสือในหมวดนี้มีเล่มเดียวคือหนังสือกิจการ  หนังสือกิจการเขียนโดยนายแพทย์ลูกา ท่านได้เขียนประวัติเกี่ยวกับ "กิจการ" ของอัครสาวก การเริ่มต้นคริสตจักร และประวัติของคริสตจักรตอนแรก หลังจากที่พระเยซูได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์บรรดาสาวกของพระองค์ได้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับชีวิต การสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู  เพราะการออกไปประกาศของพวกสาวกพระคำของพระเจ้าได้เผยแพร่กระจายไปทั่วโลก  และคริสตจักรที่พระเยซูสัญญาที่จะตั้งได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟไหม้ป่า (มัดธาย 16:18)
หมวดจดหมาย : The Epistles (อีพิสเซิล)
    เมื่ออัครสาวกได้ประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้ตั้งคริสตจักรมากมายตามเมืองต่าง ๆ อัครสาวกและผู้เขียนคนอื่น ๆ มองเห็นความจำเป็นในการอธิบายแก่คริสตจักรต่าง ๆ เหล่านี้ให้รู้ว่าจะดำเนินชีวิตและนมัสการพระเจ้าอย่างไร  เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงได้เขียนจดหมายไปถึงคริสตจักรต่าง ๆ เหล่านี้  ตัวอย่างเช่นเปาโลเขียนจดหมายไปถึงคริสตจักรที่กรุงโรม  บางครั้งจดหมายต่าง ๆ เหล่านี้ก็เขียนไปถึงส่วนบุคคล เช่น หนังสือ 1และ2 ติโมเธียว  ซึ่งเขียนโดยอัครสาวกเปาโลไปยังติโมเธียวผู้ช่วยของท่าน  จดหมายต่าง ๆ เหล่านี้ได้เขียนไปถึงคนเหล่านั้นที่เป็นคริสเตียนแล้วเพื่อหนุนใจพวกเขา เพื่อตอบปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ เพื่อสั่งสอนทางฝ่ายวิญญาณจิตต์  และก็แน่นอนแม้กระทั่งเป็นการใช้วินัยสั่งสอนพวกเขา  อัครสาวกเปาโลเขียนจดหมายหลายฉบับในพระคัมภีร์ใหม่  พระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมดมี 27 เล่ม เปาโลเขียนจดหมาย 13 ฉบับ (ซึ่งเป็นจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด)
หมวดคำพยากรณ์ : Prophecy
    หนังสือในหมวดนี้มีเล่มเดียวคือหนังสือวิวรณ์  เหตุที่เรียกว่าเป็นคำพยากรณ์ก็เพราะว่าหนังสือนี้มีเนื้อหาที่บอกกับคนในศตวรรษแรกว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต  สิ่งที่ได้บอกเล่าในหนังสือวิวรณ์ส่วนมากได้เกิดขึ้นแล้ว  น่าเสียดายมากมีคนเป็นอันมากใช้หนังสือเล่มนี้ไปในทางที่ผิด  ทำให้ความหมายผิดไปจากความจริง เขาแปลหนังสือวิวรณ์ผิดโดยใช้หนังสือนี้ทำนายเกี่ยวกับวันสิ้นโลก  เมื่ออ่านหนังสือวิวรณ์มีสิ่งสำคัญสองประการที่ท่านจะต้องจดจำ 
(1) หนังสือวิวรณ์ใช้ภาษาสัญลักษณ์มากซึ่งส่วนมากมาจากพระคัมภีร์เดิม  เช่น หนังสือดานิเอลและยะเอศเคล  เพราะเมื่อพวกยิวอ่านเขาสามารถเข้าใจภาษาสัญลักษณ์ได้  ขณะเดียวกันพวกศัตรูอ่านแล้วจะไม่เข้าใจ  และ
(2) ไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกับหนังสือพระคัมภีร์เล่มอื่น ๆ ทั้งหมด  หนังสือพระคัมภีร์ใหม่ได้เขียนเสร็จสมบูรณ์ 550 ปี หลังจากหนังสือมาลาคี  (มาลาคีเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายของพระคัมภีร์เดิม)  อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์ใหม่ได้เขียนต่อเนื่องสิ่งที่พระคัมภีร์เดิมได้จบลง  บรรดาผู้พยากรณ์ทั้งหลายในพระคัมภีร์เดิมต่างก็ได้พยากรณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระมาซีฮา ซึ่งพระองค์จะเป็นพระผู้ช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความบาป  และจะทรงสถาปนาอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจิตต์ขึ้น  ชนชาติยิศราเอลทั้งชาติต่างก็เฝ้ารอคอยการเสด็จมาของพระมาซีฮา  หนังสือพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มได้บอกเรื่องราวของพระเยซูว่า พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก  พระองค์ได้เสนอข้อพิสูจน์โดยการสำแดงอิทธิฤทธิ์มหัศจรรย์และคำสั่งสอนของพระองค์เพื่อยืนยันว่าคำพยากรณ์ต่าง ๆ ในพระคัมภีร์เดิมได้เล็งถึงพระองค์ทั้งสิ้น
    หนังสือที่เหลือในพระคัมภีร์ใหม่ได้ชี้แจงเค้าโครงของคำสัญญาไมตรีใหม่ที่พระเยซูได้ทรงตั้งขึ้นว่าจะไม่ต้องนำเอาสัตว์เช่นโค หรือแกะ (เหมือนที่ทำในพระคัมภีร์เดิม) มาเผาถวายเป็นเครื่องบูชาเพื่อไถ่โทษความผิดบาปอีกต่อไป ภายใต้ คำสัญญาไมตรีใหม่ ของพระเยซูการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนไม้กางเขนนับว่าเป็นเครื่องบูชาอย่างเดียวเท่านั้นเพื่อไถ่โทษบาปมนุษย์  เป็นสิ่งสำคัญมากที่จะต้องเข้าใจว่าคำสัญญาไมตรีใหม่ (New Testament) เข้ามารับหน้าที่แทนคำสัญญาไมตรีเดิม (Old Testament)  นี่เป็นเหตุที่ผู้เขียนหนังสือเฮ็บรายได้กล่าวว่า "ที่พระองค์ตรัสว่าคำสัญญาไมตรีใหม่ พระองค์จึงได้ทรงกระทำให้ คำสัญญาไมตรีเดิมนั้นเก่าไปแล้ว ฝ่ายสิ่งที่เก่าและแก่ไปนั้นใกล้จะ ศูนย์ไปแล้ว" (เฮ็บราย 8:13) หนังสือพระคัมภีร์เดิมเป็นหนังสือที่ดีมากที่สามารถสอนให้เรารู้ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า  อันที่จริงพระคัมภีร์เดิมตระเตรียมโลกเพื่อการเสด็จมาของพระเยซูซึ่งเป็นพระมาซีอา  แต่หลังจากที่พระเยซูทรงพระชนม์อยู่บนโลกนี้ สิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์จากความตาย  พระเจ้าได้ตั้งระบบพันธสัญญาไมตรีใหม่ขึ้นสำหรับมนุษย์ทุกคน รายละเอียดของพันธสัญญาไมตรีสามารถพบได้ในพระคัมภีร์ใหม่  เป็นศูนย์กลางในการที่มนุษย์จะพบความรอดได้แห่งเดียวเท่านั้น

สรุป
    นับตั้งแต่ ค.ศ. 1947 สมาคมพระคริสตธรรมได้แจกจ่ายพระคัมภีร์มากกว่า 9 พันล้านเล่ม  หนังสือพระคัมภีร์บางส่วนได้แปลออกเป็นภาษาและสำเนียงต่าง ๆ ถึง 2,123 ภาษา และพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมดสามารถอ่านได้มากกว่า 800 ภาษา  พระคัมภีร์ได้แจกจ่ายไปตามประเทศต่าง ๆ มากกว่า 200 ประเทศ ในสหรัฐอเมริกาหนังสือพระคัมภีร์เป็นหนังสือที่มียอดขายดีมากที่สุดมากกว่าหนังสืออื่นใด  หนังสือพระคัมภีร์แต่ละเล่มต่างก็สนับสนุนกันและกันเป็นหนึ่งเดียวจากหนังสือเยเนซิศถึงหนังสือวิวรณ์  เป็นการเผยให้เห็นความมหัศจรรย์ของโครงการของพระเจ้านับตั้งแต่มนุษย์ได้พลาดล้ม (พระเจ้าได้วางโครงการอย่างละเอียดเป็นเวลาหลายศตวรรษ)  เพื่อช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากบาปและเผยให้เห็นชัยชนะของความสำเร็จในระบบของศาสนาคริสต์  แก่นแท้ของพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับปัญหาเดียวคือความบาป  มีข้อสรุปอันเดียวในการแก้ไขคือ โดยพระเยซูคริสต์
 

ตอบคำถามแบบทดสอบ บทที่ 7  คลิกที่นี่

บทที่8