บทที่ 8
โครงการของพระเจ้าในการไถ่โทษบาปของมนุษย์ ภาคสอง
40. การกลับใจบังเกิดใหม่ตามแบบพระคัมภีร์ เราได้เห็นแล้วว่า 3,000 คน ในวันเพ็นเตคอสกับเซาโลได้รับคำตอบเหมือนกันว่า "ควรทำประการใด?" การกลับใจบังเกิดใหม่ของขันที, นายคุก, และนางลุเดีย คนเหล่านี้ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขเดียวกันเพื่อจะรับพระคุณของพระเจ้าเพื่อจะรอดจากบาป บรรดาคนทั้งหลายได้มาเป็นคริสเตียนตามแบบพระคัมภีร์ใหม่ได้รับความรอดด้วยเงื่อนไขเหมือนกัน และเป็นสมาชิกของคริสตจักรเดียวกัน (เอเฟโซ 4:4-6)
41. ในกิจการบทที่ 8 พระเจ้าได้ส่งฟิลิปไปประกาศแก่ขันที นายคลังทรัพย์ของพระนางกันดาเกชาวอายธิโอบซึ่งกำลังนั่งอยู่บนรถม้า ขณะที่ฟิลิปกำลังสอนขันทีเรื่องพระเยซู ได้มาถึงที่แห่งหนึ่ง ขันทีกล่าวกับฟิลิปว่า "นี่แนะมีน้ำ มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมา?" เหมือนการกลับใจบังเกิดใหม่ตามตัวอย่างอื่น ๆ เมื่อท่านได้เชื่อพระเยซูตามที่ฟิลิปเทศนา ขันทีต้องการรับบัพติศมาทันที ทำไม?
42. การกลับใจบังเกิดใหม่ของนายคุกชาวต่างชาติ กับครอบครัวของเขา บันทึกไว้ในกิจการบทที่ 16 เพื่อสำแดงให้เห็นว่า มนุษย์ทุกคนไม่ว่าสถานการณ์ใดก็ตาม ได้รับความรอดโดยพระโลหิตของพระเยซูเจ้า ในทำนองเดียวกันหมด นายคุกที่ไม่เชื่อได้จับเปาโลกับซีลาล่ามติดกับขื่อในคุกทั้งสองได้ถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณเพราะได้ประกาศเรื่องพระเยซู ในเวลากลางคืนเปาโลกับซีลาได้อธิษฐาน และร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าทันใดนั้นเองเกิดแผ่นดินไหวทำให้รากคุกสั่นสะเทือน ทำให้โซ่ตรวนหลุดออก แต่นักโทษทุกคนไม่ได้หนีออกไป เมื่อนายคุกได้เห็นดังนั้นแล้วจึงกราบลงต่อหน้าเปาโลกับซีลาถามว่า "ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำอย่างไรจึงจะรอดได้" เปาโลตอบว่า "จงเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์" แล้วได้สอนนายคุกกับครอบครัวว่า จะเชื่ออย่างไร? เมื่อครอบครัวได้รับคำสอนแล้วความเชื่อของเขาเร้าใจให้พวกเขารับบัพติศมาในกลางคืนวันนั้น (กิจการ 16:25-34) อีกครั้งเราถามว่า ทำไม?
43. ตัวอย่างสุดท้ายคือนางลุเดีย เธอเป็นนักธุรกิจและเธอเป็นคนเคร่งครัดในศาสนา เธอได้ร่วมประชุมอธิษฐานร่วมกับสตรีคนอื่นๆอยู่ที่ริมแม่น้ำตอนที่เปาโลได้สอนพวกเขาเรื่องพระเยซู เมื่อนางลุเดียกับครอบครัวของเธอเชื่อข่าวดีเรื่องพระเยซูพวกเขาได้รับบัพติศมา (กิจการ 16:14-15) ทำไม? เพื่อตอบคำถามนี้ให้เราสรุปความจริงจากพระคัมภีร์สามประการที่เราได้เรียนแล้ว
44. ประการแรก : เหมือนแกะที่หลงหายไปจากฝูงฉันใด เปรียบเหมือนมนุษย์ที่หลงหายไปจากพระคริสต์ฉันนั้น ปราศจากพระผู้ช่วยให้รอดความบาปของมนุษย์จะปรับโทษมนุษย์ให้พ้นจากพระเจ้าชั่วนิรันดร “เหตุว่าคนทั้งปวงได้ทำผิดทุกคน และขาดการถวายเกียรติยศแก่พระเจ้า” (โรม 3:23) หลังจากตายแล้วจะไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว
45. ประการที่สอง : รู้ว่ามนุษย์ไม่สามารถช่วยตัวเองให้พ้นจากบาปได้ ด้วยความรักพระเจ้าได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อแบกบาปโทษของมนุษย์บนไม้กางเขน คิดถึงความบาปทั้งหายมากมายก่ายกองสุดบรรยาย พระเยซูพระบุตรของพระเจ้าได้แบกบาปโทษไว้ พระองค์ทรงเปล่งเสียงดังว่า “พระเจ้าข้าฯ เหตุไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพเจ้า” (มัดธาย 27:46) พระเยซูได้สัมผัสกับนรกเนื่องจากความบาปของมนุษย์ทำให้พระเยซูแยกจากพระเจ้า ความเจ็บปวดทรมานมากยิ่งกว่าความตายฝ่ายร่างกาย
46. ประการที่สาม : การกลับใจบังเกิดใหม่ในพระคัมภีร์ ดังที่เราได้ศึกษาไปแล้วเราได้เห็นคำตอบของพระเจ้าที่ว่า “ข้าพเจ้าจะต้องทำประการใดเพื่อจะรอด?” คนเหล่านั้นได้ยอมรับความรักของพระเจ้าและได้รับการชำระความบาปโดยพระโลหิตของพระเยซูเหมือนกันหมด ความเชื่อในพระเยซูทำให้เขากลับใจเสียใหม่จากความบาป นำไปสู่การสารภาพพระองค์ต่อหน้ามนุษย์และนำไปสู่การรับบัพติศมาเพื่อยกบาปโทษทันทีโดยไม่รีรอ ทำให้เราย้อนหลังไปถึงคำถามแรก
47. ทำไม? ทำไมพวกเขาได้รับบัพติศมาทันทีที่เขาเชื่อพระเยซู? คำตอบง่ายๆ เพราะพระเยซูได้ตรัสสั่งไว้ว่า “ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด” นี่คือเหตุผลที่รักพระองค์จริงๆ ปรารถนาที่จะปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระองค์ แต่เพื่อที่จะเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า “ทำไม” ให้เราใช้อุทาหรณ์ที่เราคุ้นเคยกันดี
48. เมื่อเราเห็นว่ามือของเราสกปรก โดยธรรมชาติแล้วเราต้องการล้างมือให้สะอาดทันท่วงที จะเป็นการโง่เขลาเมื่อคนเห็นมือสกปรกแต่ไม่ยอมทำอะไรในเมื่อเราเห็นสิ่งที่จะช่วยล้างมือให้สะอาด
49. ทันทีที่เราใช้น้ำและสบู่ล้างมือของเราสะอาดทันที สำคัญมากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดเราควรรีบที่จะชำระจิตวิญญาณของเราที่มัวหมองด้วยความบาปถูกชำระล้างด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เจ้า (เฮ็บราย 9:13-14) นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ที่กลับใจบังเกิดใหม่ทุกรายในพระคัมภีร์ได้รับบัพติศมาเพื่อลบล้างความบาปโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ยิ่งเร็วยิ่งดีที่สุดเมื่อเขาเชื่อในพระเยซู อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า “เราเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์” (โรม 5:9)
50. มีคนเป็นจำนวนมากเป็นคริสเตียน นับเป็นร้อยๆบางครั้งนับเป็นพันๆหลังจากที่ได้ฟังคำเทศนาจากพวกอัครสาวก (กิจการ 4:4-5:14) หัวข้อใหญ่คำเทศนาของพวกอัครสาวกเมื่อข่าวประเสริฐที่พระเจ้ารักเรา และพระเยซูได้ยอมพลีพระชนม์เพื่อความบาปของเรา พระองค์ได้ถูกฝังไว้และเสด็จฟื้นคืนพระชนม์โดยฤทธิ์เดชของพระเจ้าให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่ทรงพระชนม์ของเราทั้งหลาย (1โกรินโธ 15:1-4) เมื่อได้ยินความจริงเหล่านี้ผู้ฟังเหล่านั้นมีความรู้สึกร้อนรนที่จะถูกชำระโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์โดยการรับบัพติศมายิ่งเร็วยิ่งดีที่สุด
51. ความจริงขั้นพื้นฐานดังกล่าวทำให้คนเป็นอันมากเป็นคริสเตียน ซึ่งอัครสาวกทั้งหลายได้ย้ำให้เห็นในข้อเขียนของพวกเขา ข้อเขียนเหล่านี้มีอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่ทุกคนสามารถอ่านและศึกษาได้ ตัวอย่างเช่นเมื่ออัครสาวกเปาโลเขียนหนังสือโรมท่านได้เตือนให้คริสเตียนเหล่านั้นให้เห็นว่า การสิ้นพระชนม์ การถูกฝังไว้และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเกี่ยวข้องกันความรอดของเขาทั้งหลาย
52. อัครสาวกเปาโลตั้งคำถามสองคำถาม “พวกเราที่ตายแก่ความบาป (คือหมดความปรารถนาที่จะทำบาปแล้ว) จะมีชีวิตในความบาป (คือจะมีความปรารถนาทำบาป) ต่อไปอย่างไรได้ ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระเยซูคริสต์ ได้รับบัพติศมานั้นเข้าส่วนในความตายของพระองค์” (โรม 6:2-3) ประโยคที่บอกกว่า “ตายแก่การบาป” ในข้อ2 หมายความว่าคริสเตียนที่กลับใจบังเกิดใหม่แล้วจะไม่กลับไปใช้ชีวิตอยู่ความบาปอีก ในข้อ3 สอนว่า “เราทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระเยซูคริสต์ ได้รับบัพติศมานั้นเข้าส่วนในความตายของพระองค์”
53. แม้ว่าไม่มีใครสามารถตายบนไม้กางเขนเหมือนพระเยซู แม้กระนั้นก็ตามทุกคนที่ต้องการได้รับความรอดโดยพระองค์จะต้องตายแก่การบาป หมายความว่าเราตายที่หมดความปรารถนาหรือมีความโน้มนำที่จะทำบาป โดยการหันหลังให้ความบาปมุ่งไปหาพระเจ้า นี่คือการกลับใจเสียใหม่
54. หลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ มิตรสหายของพระองค์ได้ห่อพระศพของพระองค์ไว้อย่างเรียบร้อยด้วยผ้าลินินที่สะอาดแล้วฝังพระองค์ไว้ในอุโมงค์ใหม่ที่ยังไม่ได้ใช้ ทุกคนตระหนักดีว่าถ้ามีคนตายฝ่ายร่างกายก็ย่อมจะต้องมีการฝังเมื่อเราหันหลังให้กับความบาป และกลับไปหาพระเจ้าเปรียบเหมือนเราถูกฝังไว้แล้วแยกออกจากความบาปของเราในอดีต (โกโลซาย 2:12) จะเป็นไปได้อย่างไร?
55. พระเจ้าได้กำหนดไว้แล้วว่า คนที่ตัดสินใจที่จะตายแก่การบาปคือหมดความปรารถนาที่จะทำบาปจะต้อง “ถูกฝังร่วมกับพระเยซูคริสต์” ในบัพติศมา ผู้ที่จะทำหน้าที่ให้คนรับบัพติศมาไม่จำเป็นต้องเป็นนักเทศน์ก็ได้ ในภาพนี้ผู้สอนพระคัมภีร์ได้ให้สามีภรรยารับบัพติศมาเข้าส่วนกับพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์สอนว่าในบัพติศมานั้นเราได้ถูกฝังกับพระเยซูในความตายของพระองค์
56. “เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายก็ถูกฝังไว้กับพระองค์แล้วโดยบัพติศมาเข้าส่วนในความตายนั้น เพื่อพระคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายโดยเดชพระรัศมีของพระบิดาเจ้าอย่างไร เราทั้งหลายจะได้ประพฤติตามชีวิตใหม่อย่างนั้น” (โรม 6:4) โปรดสังเกตว่าในบัพติศมาเราถูกฝังเข้าส่วนในความตายกับพระเยซูได้สละพระโลหิตเพื่อชำระล้างความผิดบาป (มัดธาย 26:28, โยฮัน 19:33-35) นี่เป็นเหตุที่เราได้เป็นขึ้นประพฤติชิวิตใหม่ฉันนั้น ภาษากรีก “แบพติศโซ่” แปลว่า “จุ่มมิดน้ำ” อย่างเดียวเท่านั้น
57. เมื่อคนได้รับการฝังโดยบัพติศมาเข้าส่วนในความตายกับพระคริสต์ เขาต้องเชื่อจริงๆว่าพระเจ้าลบล้างความผิดบาปในอดีตโดยพระโลหิตของพระเยซูทั้งสิ้นหมดไป (มาระโก 16:15-16) การรับบัพติศมาตามแบบพระคัมภีร์ผู้เชื่อที่กลับใจเสียใหม่แล้วถูกหล่อนลงไปในน้ำเหมือนหย่อนลงไปในหลุมฝังศพ นี่เป็นภาพของทุกคนที่เข้าสนิทกับความตาย และการถูกฝังไว้ของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้อต่อไปอัครสาวกเปาโลกล่าวต่อไปว่า
58. “เพราะว่าถ้าเราร่วมสนิทกับพระองค์แล้วโดยได้ตายเหมือนอย่างพระองค์ เราคงจะร่วมสนิทกับพระองค์โดยได้เป็นขึ้นมาเหมือนอย่างพระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายนั้นด้วย” (โรม 6:5) เราได้เรียนรู้แล้วว่าเราไม่สามารถตายบนไม้กางเขนเหมือนพระเยซู หรือถูกฝังไว้ในอุโมงค์ของพระองค์ อย่างไรก็ตามเมื่อคนรับบัพติศมาตามแบบพระคัมภีร์ นี่เป็นภาพสะท้อนให้เห็นการสิ้นพระชนม์ การถูกฝังไว้ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์
59. เมื่อคนได้ยอมให้ร่างกายของตนหย่อนลงไปในน้ำ คนนั้นสำแดงให้เห็นการถ่อมใจลงอยู่ใต้อำนาจของพระคริสต์ ซึ่งไม่ใช่เป็นการสร้างคุณงามความดีเพื่อจะได้มาซึ่งความรอดบาป บัพติศมาเป็นการปฏิบัติที่สำแดงให้เห็นว่าคนที่รับบัพติศมาอนุญาตให้ผู้อื่นประกอบพิธีบัพติศมาให้ โดยความเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้าที่จะยกโทษบาปในอดีต คนที่รับบัพติศมาแล้วก็ลุกขึ้นจากบัพติศมาในน้ำประพฤติตามชีวิตใหม่ในพระคริสต์ (1เปโตร 3:21-22, โกโลซาย 2:12)
60. สามวันหลังจากที่พระเยซูถูกฝังไว้ในอุโมงค์ พระองค์ได้เสด็จฟื้นคืนพระชนม์และประทานชีวิตใหม่โดยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ภายหลังพระเยซูได้ตรัสแก่โยฮันว่า “และเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่ถึง เราเป็นผู้ที่ตายแล้ว แต่นี่แน่ะเราก็ยังมีชีวิตอยู่สืบๆ ไปเป็นนิตย์ และเราถือลูกกุญแจแห่งความตายและแห่งเมืองผี” (วิวรณ์ 1:18)
61. จากการถูกฝังร่วมกับพระคริสต์ เราได้เป็นขึ้นกับพระองค์ความบาปทั้งหมดในอดีตถูกยกไปแล้ว เราเริ่มต้นชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์เจ้า เพราะชีวิตใหม่เริ่มหลังจากบัพติศมาแล้ว พระเยซูได้สอนเรื่องการบังเกิดใหม่ด้วยน้ำและพระวิญญาณว่า “การบังเกิดใหม่” (โยฮัน 3:5) เปาโลกล่าวถึงชีวิตของเราก่อนรับบัพติศมาว่าเป็น “มนุษย์เก่า”
62. “เราทั้งหลายรู้แล้วว่ามนุษย์เก่าของเรานั้นได้ตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปจะสูญสิ้นไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสของบาปนั้นต่อไป เพราะว่าผู้ที่ตายแล้วก็ปราศจากโทษของบาป” (โรม 6:6-7) นั่นหมายความว่าคนที่ตายแก่การบาปจะไม่ทำบาปอีกต่อไปจะไม่เป็นทาสบาปต่อไป
63. เมื่อเราเข้าใจจริงๆว่าเราพ้นจากความบาปโดยพระโลหิตของพระเยซู ดังนั้นบัพติศมาเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ทำให้มีความยินดีและเป็นเหตุการณ์ที่มีความหมายที่สุดในชีวิตของเรา แม้สำคัญมากยิ่งกว่าการสมรส อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า “เหตุว่าคนทั้งหลายที่รับบัพติศมาเข้าสนิทกับพระคริสต์แล้ว ก็ได้ตกแต่งตัวด้วยพระคริสต์” (ฆะลาเตีย 3:27) บรรดาผู้ที่ได้รับบัพติศมาแล้วมีความปิติยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าพร้อมกับผู้ที่รักและมิตรสหายเมื่อเขาเข้าส่วนกับพระเยซูคริสต์ในบัพติศมา ส่วนมากสามีภรรยาจะยอมมอบชีวิตให้กับพระเยซูด้วยการรับบัพติศมาพร้อมๆกัน
64. ผังนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าความรอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อเกี่ยวข้องกับบัพติศมา ความเชื่อที่นำไปถึงความรอดต้องเกี่ยวข้องกับบัพติศมา ความเชื่อที่นำไปถึงความรอดกระตุ้นให้คนบาปยอมปฏิบัติตามน้ำพระทัยพระเจ้า โดยพระกรุณาธิคุณของพระองค์ พระเจ้ายกโทษและอวยพรแก่ผู้ที่เชื่อฟัง เมื่อคนรับบัพติศมาเข้าสนิทกับพระคริสต์เขาได้ตกแต่งตัวด้วยพระคริสต์ (ฆะลาเตีย 3:27) ขณะเดียวกันเขา “รับบัพติศมาเข้าส่วนในความตายของพระองค์” เพราะฉะนั้นเขาได้รับพระพรจากการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ (โรม 6:3) การเชื่อฟังดังกล่าวนี้คนได้รับการฝัง กับพระคริสต์และเป็นขึ้นเพื่อประพฤติตาม “ชีวิตใหม่” (โรม 6:4) เขาได้ตายเหมือนอย่างพระองค์และเป็นขึ้นเหมือนอย่างพระองค์ฟื้นขึ้นจากความตาย (โรม 6:5) โดยพระคุณของพระเจ้ามนุษย์เก่าได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อบาปจะสูญสิ้นไปเมื่อคนได้รับบัพติศมาเพื่อความผิดบาปจะยกเสีย (โรม 6:6)
65. หลังจากรับบัพติศมาแล้ว เราควรประพฤติตามชีวิตใหม่ เมื่อรับบัพติศมาแล้วมิตรสหายต่างก็แสดงความยินดีกับประสบการณ์อันใหม่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย เดี๋ยวนี้เขาทั้งสองใช้ชื่อว่า “คริสเตียน” เมื่อได้บังเกิดใหม่ด้วยน้ำและพระวิญญาณเดี๋ยวนี้ทั้งสองเป็นบุตรของพระเจ้าใช้ชีวิตที่ถูกชำระโดยพระโลหิตของพระเยซูอย่างต่อเนื่องตลอดไป เดี๋ยวนี้เราเป็นคริสเตียนแล้วเมื่อเขาทำบาปเขาจะได้รับการยกโทษบาปทุกวันโดยพระโลหิตของพระเยซู โดยกลับใจเสียใหม่และอธิษฐานขออภัยโทษบาป (1โยฮัน 1:7-9)
66. ความยินดีอีกประการหนึ่งในการเป็นคริสเตียน คือการที่พระเจ้าทรงโปรดเพิ่มผู้ที่รอดแล้วเข้าไปสู่ครอบครัวฝ่ายวิญญาณจิตคือคริสตจักร (กิจการ 2:47) คริสเตียนเป็นพี่น้องกันเพราะฉะนั้นพวกเขามาร่วมประชุมพร้อมกันเป็นประจำเพื่อนมัสการพระเจ้า เพื่อศึกษาพระคำของพระเจ้า และเพื่อร่วมสามัคคีธรรมกับพระเจ้าและกับพี่น้องคริสเตียนซึ่งกันและกัน สิ่งที่ช่วยให้ทุกคนใช้ชีวิตเพื่อพระคริสต์ต่อๆไปและเพื่อจะได้เจริญเติบโตขึ้นในทางฝ่ายวิญญาณจิต ทุกคนที่ได้กลับใจบังเกิดใหม่เป็นคริสเตียนจริงๆเขาก็จะเฝ้าหาทุกโอกาสที่จะไปร่วมประชุมนมัสการร่วมกับพลไพร่ของพระเจ้า (เฮ็บราย 10:24-25)
67. เป็นไปได้ไหมที่เราจะรู้ว่าเขาเป็นคริสเตียน และพระเจ้าทรงนับเขาเพิ่มเข้าไปสู่คริสตจักร หรือพูดง่ายๆว่าเป็นไปได้ไหมที่เขาจะรู้ว่าเขาได้รับความรอด? พระคัมภีร์ตอบว่า “ใช่” (2ติโมเธียว 1:12, 1โยฮัน 2:3,3:14)
68. เราสามารถเรียนรู้ว่าขณะนี้เรากำลังอยู่ที่ไหนเหมือนการเดินทาง เราสามารถรู้ว่าเรารอดแล้วหรือเปล่า เหมือนการเดินทางไปตามเมืองต่างๆ จากเมืองนี้ไปยังอีกเมืองหนึ่งได้โดยอาศัยแผนที่ ผู้เดินทางสามารถรู้จักเส้นทางไปถึงที่หมายได้โดยแผนที่เขาสามารถรู้ได้ว่าเขาอยู่ห่างจากจุดหมายปลายทางเท่าใด
69. สมมุติว่าคนเดินทางจากแคลิฟอร์เนียไปฟลอริดา ขณะเดินทางไปเขาคาดหวังว่าจะได้รับคำตอบต่างกันแตะละจุดตามเส้นทางแต่เป็นคำถามเดียวกัน “ฟลอริดาไกลเท่าใด?” ถามคนที่อยู่แคลิฟอร์เนียจะตอบว่า “2310 ไมล์จะถึงฟลอริดา” ถามคนที่ยูทาห์จะตอบว่า “1840 ไมล์จะถึงฟลอริดา” ถามคนที่โอกลาโฮมาจะให้คำตอบต่างกัน “960 ไมล์จะถึงฟลอริดา” ถามคนที่มิสซิสซิปปี้จะตอบว่า “400 ไมล์ จะถึงฟลอริดา” นักเดินทางคนนี้จะไม่ตกใจที่ได้รับคำตอบต่างกัน “ฟลอริดาอยู่ไกลเท่าใด?” คำตอบที่เขาได้รับต่างกันแสดงให้เห็นว่าเขากำลังเดินทางเข้าใกล้จุดหมายปลายทางมากขึ้น
70. ในทำนองเดียวกับผู้ที่เดินทางไปสู่ความรอด คำถามเดียวกันแต่จะได้รับคำตอบต่างกัน “ข้าพเจ้าจะต้องทำประการใดเพื่อจะรอด?” คำตอบขึ้นอยู่กับว่าผู้ตามอยู่ใกล้ความรอดแค่ไหน ที่จะรู้ได้ก็โดยอาศัยแผนที่ทางฝ่ายวิญญาณจิตคือพระคัมภีร์ (บทเพลงสรรเสริญ 119:105)
71. พระเยซูได้ชี้ให้ขุนนางหนุ่มเห็นจากพระคัมภีร์ เกี่ยวกับคำถามของเขา “ข้าพเจ้าจะทำประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร?” เพราะว่าพระบัญญัติของพระคัมภีร์เดิมยังมีผลบังคับใช้อยู่ในเวลานั้น พระเยซูตอบคำถามของขุนนางให้รักษาบัญญัติของโมเซ (ลูกา 18:18-27) คำตอบของพระเยซูเหมาะสมที่สุดในเวลานั้น พระบัญญัติของพระคัมภีร์เดิมของโมเซเป็นแผนที่ฝ่ายวิญญาณจิตของพระเจ้าที่ชี้ไปจนถึงพระเยซูช่วยให้รอดสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
72. ตอนที่ชีวิตของพระเยซูบนโลกนี้ใกล้สิ้นสุดลง ขณะที่พระองค์ถูกแขวนไว้บนไม้กางเขนระหว่างโจรผู้ร้ายสองคน ในขณะนั้นพระคัมภีร์เดิมยังมีผลบังคับใช้อยู่ (โกโลซาย 2:14) โจรบนไม้กางเขนคนหนึ่งสนใจเรื่องความรอด พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” (ลูกา 23:43) คำตอบนี้ต่างจากคำตอบที่พระเยซูให้แก่มนุษย์ในสมัยนี้ เพราะโจรบนไม้กางเขนใช้ชีวิตและตายขณะกำลังอยู่ภายใต้บัญญัติของโมเซก่อนบัญญัติของพระคัมภีร์ใหม่จะมีผลบังคับใช้ คนจะฝังในบัพติศมาก่อนที่พระเยซูจะถูกฝังไว้ในอุโมงค์ได้อย่างไร? (โกโลซาย 2:12)
73. แต่เดี๋ยวนี้พระเยซูได้สิ้นพระชนม์เพื่อความบาปของเรา สถานะภาพของคนกำลังตกอยู่ในความหลงหายตามที่แสดงให้เห็นในภาพนี้ คนที่ตกอยู่ในสถานะภาพของคนหลงหายจะต้องมองดูที่พระคัมภีร์ใหม่ เพื่อหาคำตอบว่า “ข้าพเจ้าจะต้องทำประการใดเพื่อจะรอดได้?” (โยฮัน 8:24) เพราะคนผู้นี้เริ่มต้นเส้นทางฝ่ายวิญญาณจิตในสภาพของคนที่ “ไม่เชื่อ” คำตอบของท่านผู้นี้เป็นคำตอบเดียวกันที่ให้ไว้กับนายคุกชาวฟิลิปปอย“จงเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เจ้า” (กิจการ 16:31)
74. คนมาถึงสถานะภาพของ “คนที่มีความเชื่อ” เมื่อเขาเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าความเชื่อจะเกิดขึ้นได้ก็โดยการฟังหรือการอ่านพระคำของพระเจ้า เป็นที่น่าเสียดายมีคนเป็นอันมากใช้ชีวิตและตายในขณะที่ยังอยู่ใน “สถานะภาพของความเชื่อ” เข้าใจผิดมีความรู้สึกว่าเขาได้รับความรอดแล้ว แต่เมื่อเขาดูแผนที่ฝ่ายวิญญาณจิต (พระคัมภีร์) อย่างละเอียดเขาจะพบว่าความเชื่อของเขาจะต้องขับเคลื่อนไปข้างหน้าอีกหลายจุดกว่าจะถึง “สถานะภาพของความรอด” ซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร คนที่กำลังอยู่ในสถานะภาพของความเชื่อจำเป็นต้องถามว่า “ข้าพเจ้าจะทำประการใดจึงจะรอดได้?” เพราะคนที่มีความเชื่อแล้วอยู่ใกล้กับความรอดมากกว่าตอนที่เขายังไม่เชื่อ คำตอบของเขาจะมีความแตกต่างกัน ดูอุทาหรณ์เหตุการณ์ในวันเพ็นเตคอส ที่นั่นคนที่มีความเชื่อแล้วได้รับคำสั่งให้ทำอย่างไรเพื่อจะได้รับความรอด
75. เราได้ศึกษาในเหตุการณ์ตอนนั้น ที่พวกยิวหลายพันคนเชื่อคำเทศนาของเปโตรว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า หลังจากที่พวกเขามีความเชื่อแล้วพวกเขายังถามต่อไปว่า “พี่น้องเอ๋ยเราจะทำอย่างไร?” เปโตรตอบว่า “จงกลับใจเสียใหม่และรับบัพติศมา ....” (กิจการ 2:36-38) คำตอบที่เหมาะสมสำหรับคนที่ผ่านเส้นทางมาถึงสถานะภาพของคนที่มีความเชื่อแล้ว
76. ผู้เชื่อที่กลับใจเสียใหม่แล้ว เคลื่อนไปสู่ “สถานะภาพของการหันกลับ” ก่อนที่เขาจะรับบัพติศมา ผู้เชื่อจะต้องกลับใจเสียใหม่ หมายความว่าเขาจะต้องเลิกกระทำบาปและตัดสินใจยอมมอบชีวิตทั้งหมดให้กับพระเจ้า การกลับใจเสียใหม่เกิดขึ้นภายในใจของคนบาป ขณะที่การยกโทษบาปเกิดขึ้นจากในพระทัยของพระเจ้า เพราะฉะนั้นการกลับใจเสียใหม่เคลื่อนผู้เชื่อเข้าไปใกล้ความรอด ผู้เชื่อที่กลับใจแล้วจะต้องถามต่อไปว่า“ข้าพเจ้าจะต้องทำประการใดที่จะรอดได้?”
77. ตัวอย่างนายคลังทรัพย์ชาวเอธิโอเปีย ได้เชื่อสิ่งที่ฟิลิปได้เทศนาเกี่ยวกับพระเยซูให้ฟัง เพราะท่านได้สำแดงจิตใจที่กลับใจเสียใหม่และยอมถวายชีวิตให้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า คำถามที่เขาถามเหมาะสมที่สุด “มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมา” ฟิลิปตอบว่า “ถ้าท่านเต็มใจเชื่อท่านก็รับได้” (กิจการ 8:26-39) โปรดสังเกตว่าคำตอบที่มาจากพระคัมภีร์จะชี้ให้เห็นความก้าวหน้าทางฝ่ายวิญญาณจิตของคนขณะเคลื่อนไปถึงที่รอด
78. เมื่อนายคลังทรัพย์สารภาพความเชื่อในพระเยซู เขาเคลื่อนไปถึง “สถานะภาพของการบอกเล่า” ขั้นตอนนี้เป็นการก้าวหน้าทางฝ่ายวิญญาณจิตของผู้เชื่อ มาถึงขั้นตอนนี้ผู้เชื่อกระหายที่จะบอกให้ผู้อื่นทราบว่าเขามีความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า โรม 10:10 กล่าวว่า “ด้วยว่าซึ่งมีใจเชื่อก็เป็นการชอบธรรม และซึ่งรับด้วยปากก็เป็นที่รอด”
79. ผู้เชื่อที่ได้สารภาพแล้วว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า เคลื่อนไปไม่ถึง “สถานะภาพของความรอด” (มัดธาย 7:21) พระโลหิตของพระเยซูยังคงแยกระหว่างสมาชิกคริสตจักรของพระคริสต์ กับผู้เหล่านั้นที่ยังไม่ได้รับความรอด พระโลหิตของพระเยซูเท่านั้นสามารถลบล้างความผิดบาปและนำบุคคลนั้นเข้ามาสู่ความรอดโดยพระคุณของพระเจ้า เพราะฉะนั้นคำถามพื้นฐานที่ต้องถามอีกครั้งก็คือ “ข้าพเจ้าจะต้องทำประการใดเพื่อจะรอดได้?” คำตอบแก่คนที่มีความเชื่อซึ่งได้กลับใจเสียใหม่และสารภาพความเชื่อในพระเยซูแล้วคำตอบอยู่ในกิจการ 22:16 “เดี๋ยวนี้ท่านจะรอช้าอยู่ทำไม จงลุกขึ้นรับบัพติศมาลบล้างความผิดของท่านเสีย และอธิษฐานออกพระนามของพระองค์เถิด”
80. เพราะพระเยซูได้ทรงสัญญาไว้ว่า “ผู้ใดได้เชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด” เดี๋ยวนี้ผู้เดินทางก้าวไปสู่ “สถานะภาพของความรอด” ซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร นี่คือคริสตจักร อาณาจักรของพระเจ้า เพราะพระเจ้าได้ทรงโปรดเพิ่มผู้ที่รอดแล้วเข้าสู่คริสตจักรของพระองค์ (กิจการ 2:47) ถ้าไม่มีความรักของพระเจ้าและการเสียสละพระชนม์ของพระเยซูจะไม่มี “สถานะภาพของความรอด” เมื่อได้ติดตามแผนที่ฝ่ายวิญญาณจิตของพระเจ้าโดยความเชื่อ, กลับใจเสียใหม่, สารภาพความเชื่อและรับบัพติศมา คนจะรู้ว่าเขาอยู่ใน “สถานะภาพแห่งความรอด” ไม่ใช่คุณงามความดีของตนแต่โดยพระคุณของพระเจ้า (ติโต 3:5) เดี๋ยวนี้คนที่รอดพร้อมแล้วโดยความช่วยเหลือของพี่น้องคริสเตียนและจากพระบิดาเจ้าแห่งสวรรค์ เขาจะเริ่มต้นชีวิตคริสเตียน ความหวังในชีวิตนิรันดรเดี๋ยวนี้กลายเป็นสมอของจิตวิญญาณ (เฮ็บราย 6:19-20)
81. เดี๋ยวนี้ฝ่ายวิญญาณจิตของท่านกำลังอยู่ที่ไหน? ท่านกำลังอยู่ในสถานะภาพอะไร? ท่านได้เรียนรู้จากพระคำของพระเจ้าว่าถ้าท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าท่านกำลังอยู่ใน “สถานะภาพของความเชื่อ” ถ้าความเชื่อนำท่านหันไปจากความบาปและเคลื่อนไปทางพระเจ้าท่านกำลังอยู่ใน “สถานะภาพของการหันกลับ” ถ้าท่านกระตือรือร้นที่จะสารภาพความเชื่อในพระคริสต์แล้วมีสิ่งเดียวที่ขวางทางระหว่างท่านกับความรอดชำระโดยพระโลหิตของพระคริสต์ ท่านยืนอยู่ที่ไหนในขณะนี้จะเป็นเครื่องตัดสินว่าท่านจะไปที่ไหนตลอดชั่วนิรันดร
82. พระเยซูตรัสว่า “มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในเมืองสวรรค์แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์นั้นจึงจะเข้าได้” (มัดธาย 7:21) เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าต้องการให้ท่านรอด พระองค์ได้ส่งพระบุตรของพระองค์เพื่อทำให้ความรอดเป็นไปได้ พระองค์ได้ประทานพระคัมภีร์ที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าเพื่อชี้ทางให้ท่าน พระเยซูกำลังรอท่านอยู่เพื่อให้ท่านยอมมอบชีวิตของท่านทั้งหมดให้กับพระองค์ แต่ในที่สุดท่านเองจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจ