บทที่ 3

บทที่3 

การใช้พระคริสตธรรมคัมภีร์อย่างถูกต้อง 

ซื่อตรงในการใช้คำแห่งความจริง

     บทเรียนสองบทแรกเราได้ศึกษากันถึงสองส่วนที่สำคัญของพระคัมภีร์  คือพระคริสตธรรมเดิม อันประกอบด้วยหนังสือ 39 เล่ม และพระคริสตธรรมใหม่ประกอบด้วยหนังสือ 27 เล่มด้วยกัน  ทั้งสองส่วนรวมกันเข้าก็เป็น 66 เล่ม  ซึ่งมีผู้เขียนประมาณ 40 คนด้วยกัน  หนังสือหลายเล่มในจำนวนนี้  มีผู้เขียนหลายคนมีชีวิตอยู่คนละทิศคนละทางในโลก  คนเหล่านี้พูดภาษาต่างกัน  บางคนอยู่กันคนละสมัยห่างไกลกันถึงพันห้าร้อยปี  แม้กระนั้นคนเหล่านี้ได้เขียนหนังสือกลมกลืนกันเป็นอย่างดีโดยไม่ขัดแย้งกันเลย  โดยข้อพิสูจน์ที่เหนือความสงสัยว่า  คนเหล่านี้ที่เขียนพระคัมภีร์ได้รับการทรงนำจากพระเจ้า  ในบทเรียนบทนี้เราจะได้ศึกษาดูว่า  ทำอย่างไรเราจึงเอาข้อเขียนอันยิ่งใหญ่นี้มาเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราได้
    ใน 2ติโมเธียว 2.15 พระคัมภีร์กล่าวว่า "จงอุตส่าห์สำแดงตนให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า เป็นคนงานที่ไม่ต้องอาย เพราะเป็นคนที่ซื่อตรงในการใช้คำแห่งความจริงนั้น"  ข้อความนี้ได้บ่งให้เราเห็นชัดทีเดียวถึงความสำคัญในการที่จะเข้าใจพระคัมภีร์โดยถูกต้องและสามารถที่จะเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างพระบัญญัติของพระเจ้าที่พระองค์ได้ทรงประทานให้มนุษย์ในยุคอื่น  และพระบัญญัติที่พระองค์ประสงค์จะให้เราถือรักษา คือยุคคริสเตียน

อุทาหรณ์
    เพื่อที่จะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องบัญญัตินี้  อุทาหรณ์ที่จะช่วยให้เราเข้าใจง่ายขึ้นก็คือว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงรับสั่งให้เราต่อเรือด้วยไม้โกเฟอร์  ในเมื่อพระองค์ได้ทรงรับสั่งโนฮาให้ต่อเรือ  ทุกคนสามารถเข้าใจได้ทันทีว่า  ถึงแม้ครั้งหนึ่งเคยเป็นคำสั่งของพระเจ้าก็ตาม  แต่คำสั่งนั้นมิได้บังคับเราในสมัยนี้  และพระเจ้าก็ไม่ประสงค์จะให้มนุษย์ไม่ว่าในยุคใดก็ตามรักษาคำสั่งอันนั้นที่ได้เขียนไว้ในพระคัมภีร์  ก็เพื่อจะได้เป็นประวัติศาสตร์ให้เราทราบว่าพระเจ้าเกี่ยวข้องกับมนุษย์อย่างไรบ้างในสมัยก่อนที่สมัยคริสเตียนจะเริ่ม
    ตัวอย่างเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับบัญญัติที่สั่งไว้ในพระคัมภีร์เดิม เช่น พระเจ้าได้สั่งให้ชนชาติยิศราเอลเอาโลหิตทาไว้ที่กรอบประตูบ้าน (เอ็กโซโด 12.7)  หรือเมื่อคนที่อยู่ภายใต้บัญญัติแห่งคำสัญญาไมตรีเดิมถูกสั่งให้นำสัตว์มาเผา เป็นเครื่องถวายบูชาแก่พระเจ้า  ในหนังสืออาฤธโม เราได้อ่าน  "...ของถวายคืออาหารของเครื่องบูชาของเรา ที่กระทำด้วยไฟ ที่เป็นโอชารสอันหอมแก่เรานั้น เจ้าทั้งหลายจงบูชา ถวายแก่เราตามเวลากำหนดนั้น... คือลูกแกะขวบหนึ่ง ปราศจากพิการสองตัววันละคู่ ๆ ให้กระทำเป็นนิตย์สำหรับเป็นเครื่องเผาบูชา  และลูกแกะนั้นจงบูชาถวายเวลาเช้าตัวหนึ่ง แลเวลาเย็นตัวหนึ่ง  แลเอาแป้งละเอียดทะนานหนึ่ง เจือด้วยน้ำมันสกัดดี สำหรับเป็นเครื่องกระยาอาหารถวายของเหล่านี้เป็นเครื่องเผาบูชาทำเป็นนิตย์ที่พระองค์ได้บัญชาตั้งไว้ที่ภูเขาซีนายนั้น เป็นเครื่องบูชากระทำด้วยไฟ เป็นโอชารสอันหอมแก่พระยะโฮวา" (อาฤธโม 28.1-6)
    นักศึกษาพระคัมภีร์ที่จริงใจก็จะเข้าใจได้ทีเดียวว่าคำตรัสสั่งของพระเจ้าเหล่านี้  พระองค์มิได้ทรงสั่งแก่เราทั้งหลายที่อยู่ในสมัยนี้  แต่เพื่อจะชี้ให้เราเห็นในแง่ประวัติศาสตร์ว่าพระเจ้าทรงเกี่ยวข้องกับมนุษย์อย่างไรในสมัยก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมา  และเป็นผู้ประทานพระคัมภีร์ใหม่ให้เราทั้งหลาย (โรม 15.4)  เพราะฉะนั้นความประสงค์ของบทเรียนก็คือ เพื่อจะเรียนรู้ว่าส่วนไหนของพระคัมภีร์เป็นบันทึกของประวัติศาสตร์  ส่วนไหนเป็นบัญญัติ  เป็นเหตุการณ์ของสมัยที่ผ่านมาแล้ว  และอันไหนใช้เป็นหลักปฏิบัติที่เราจะต้องถือรักษาในสมัยคริสเตียน

ความประสงค์ของพระคริสตธรรมเดิม
    คำว่า "สัญญาไมตรี" มาจากภาษากรีกซึ่งมีความหมายว่า "ข้อตกลงหรือพินัยกรรม" ที่เราเรียกว่าคำสัญญาไมตรีเดิมก็เพราะว่าคำสัญญานี้เกี่ยวข้องกับข้อตกลงอัน "เก่า"  ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ทำกับมนุษย์  ข้อตกลงหรือคำสัญญาไม่ตรีอัน "เก่า" มาโดยอับราฮามซึ่งได้กระทำไว้แก่ชนชาติยิศราเอลบนภูเขาซีนาย  ซึ่งเป็นคำสัญญาไมตรีหรือข้อตกลงอันสำคัญซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานให้แก่มนุษย์ (เฮ็บราย 8.6-13)  ภายใต้คำสัญญาแต่ละอันพระเจ้าได้ทรงประทานบัญญัติโดยเฉพาะแก่มนุษย์  เพื่อให้มนุษย์รักษา  พระเจ้าได้ทรงสัญญาที่จะช่วยเหลือและคุ้มครองผู้ซื่อสัตย์เป็นการตอบแทน  คำสัญญาไมตรีเดิมได้สำเร็จครบเมื่อเวลาที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  พระองค์ทรงทำให้สำเร็จโดยการ "หยิบเอาเสียให้พ้น และทรงตั้งข้อตกลงอันที่สอง คือ พระคัมภีร์ใหม่แทนคำสัญญาไมตรีเก่า" (โกโลซาย 2.14, เฮ็บราย 9.15)
    ในเฮ็บราย 8.7 อ่านดังนี้ว่า "เพราะว่าถ้าคำสัญญาไมตรีเดิมนั้นปราศจากที่ติได้แล้วก็ไม่มีโอกาสที่จะแสวงหาคำสัญญาไมตรีที่สองอีก "  และบทที่ 10.9  ผู้เขียนเฮ็บรายกล่าวว่า "พระองค์ทรงยกเลิกเครื่องบูชาเดิมเสียแล้ว  เพื่อพระองค์จะได้ทรงตั้งเครื่องบูชาซึ่งมาภายหลังนั้นให้ถาวร"  คำสัญญาไมตรีอันแรกคือพระคัมภีร์เดิม  ได้ประทานให้ชนชาติเดียวโดยเฉพาะไม่ใช่แก่ประชาชาติทั้งหลายในโลกอันเป็นคำสัญญาที่เราอยู่ภายใต้บังคับเดี๋ยวนี้   แต่คำสัญญาไมตรีเดิมเป็นคำสัญญาที่กระทำระหว่างพระเจ้ากับชนชาติยิศราเอล (ยิว)  (พระบัญญัติ 5.1-3)  พระบัญญัติของพระเจ้าต่อชนชาติยิศราเอลภายใต้คำสัญญาไมตรีเดิมนี้ได้ทรงประทานให้โดยโมเซที่ภูเขาซีนาย (หรือเรียกว่า ภูเขาโฮเร็บ)  ซึ่งไม่เพียงแต่ประกอบด้วยบัญญัติสิบประการเท่านั้น  แต่รวมทั้งรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับข้อบังคับในการเผาสัตว์เป็นเครื่องบูชา  เครื่องบูชาถวาย  และยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างซึ่งเราจะนำมากล่าวต่อไป  คำสั่งเหล่านี้ไม่ได้ใช้บังคับเราซึ่งอยู่ภายใต้คำสัญญาไมตรีใหม่ (เลวีติโก 5.1-3, อาฤธโม 28.1-11)  ภายใต้พระคัมภีร์เดิมสัตว์บางชนิดพระเจ้านับว่าเป็น "สัตว์ไม่สะอาด"  เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ในสมัยนั้นรับประทานสัตว์ที่ไม่สะอาดเข้าไปก็ผิดพระบัญญัติ  สัตว์ที่ไม่สะอาดทั้งหลายในจำนวนนี้มีสัตว์ 2 ชนิด หมูและกระต่าย อันเป็นสัตว์ที่ห้ามรับประทาน (เลวีติโก 11.1-8)
    ข้อเพิ่มเติมของคำสัญญาไมตรีเดิม  หนังสือหลายเล่มในพระคัมภีร์เดิมได้มีบันทึกประวัติศาสตร์สั้น ๆ เกี่ยวกับการที่พระเจ้าเกี่ยวข้องกับมนุษย์อย่างไร  บันทึกไว้แม้ก่อนบัญญัติของโมเซในระยะนี้เป็นเวลาประมาณ 2500 ปี นับตั้งแต่การสร้างอาดามและฮาวา  จนถึงตอนที่พระเจ้าทรงประทานพระบัญญัติสิบประการบนภูเขาซีนาย  ในสมัยนั้นพระเจ้าไม่ได้ประทานพระบัญญัติที่เขียนเป็นตัวอักษรให้แก่มนุษย์  แต่พระองค์ทรงเกี่ยวข้องกับเขาทั้งหลายเป็นรายบุคคลคือโดยทางหัวหน้าครอบครัว  หัวหน้าครอบครัวในสมัยนั้นเรียกว่า "บรรพบุรุษ" ซึ่งหมายถึง "บิดา"  ฉะนั้นสมัยนี้จึงได้ชื่อว่า สมัยบรรพบุรุษ  รายละเอียดของสมัยนี้ที่เราได้รับมีน้อยมากเว้นไว้แต่ข้อความที่ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือเยเนซิศ  จุดเด่นที่สำคัญของหนังสือพระคัมภีร์เดิมอื่น ๆ ได้ถูกนับเข้าอยู่ในสมัยของโมเซทั้งสิ้น  และคำสัญญาไมตรีที่พระเจ้าทรงประทานให้โมเซบนภูเขาซีนาย  คำสัญญาไมตรีนี้ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะสิ้นสุดเมื่อพระคริสต์จะเสด็จมา  และจะเป็นผู้ที่ประทานคำสัญญาไมตรีใหม่ หรือ พินัยกรรมอันใหม่ให้แก่เราทั้งหลายซึ่งอยู่ในสมัยคริสเตียน  อันเป็นสมัยที่เราดำรงอยู่เดี๋ยวนี้ (ฆะลาเตีย 3.19, 16)

ความประสงค์ของพระคริสตธรรมใหม่
    พระคริสตธรรมใหม่ หรือ คำสัญญาไมตรีใหม่  เป็นการสำแดงอันใหม่ที่พระเจ้าทรงประสิทธิ์ประสาทให้มนุษย์สำหรับบัญญัติเก่าของโมเซได้ทรงประทานให้แก่ชนชาติยิวโดยเฉพาะ  บัญญัติใหม่มาโดยพระบุตรของพระเจ้า คือ พระเยซูคริสต์  บัญญัติใหม่นี้สำหรับมนุษย์ทุกคนทั่วทุกหนทุกแห่ง (พระบัญญัติ 5.1-3, มาระโก 16.15-16, เฮ็บราย 12.24, 8.6)  ชื่อที่มักจะเรียกกันง่าย ๆ ก็คือ "พระกิตติคุณ"  ผู้ปฏิเสธไม่เชื่อฟัง ผลก็จะต้องพินาศนิรันดร์ (2เธซะโลนิเก 1.7-9)
    ภายใต้พระคริสตธรรมใหม่ กฎข้อบังคับขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่เหมือนกฎซึ่งอยู่ภายใต้บัญญัติเก่าของโมเซ  เพียงแต่ครั้งหนึ่งพระเจ้าได้สั่งให้โนฮาต่อเรือด้วยไม้โกเฟอร์  มิได้หมายความว่าพระเจ้าสั่งให้เราปฏิบัติตามเหมือนกับโนฮาในสมัยนั้นในทำนองเดียวกัน  พระเจ้าครั้งหนึ่งได้กำหนดให้พวกยิวซึ่งอยู่ก่อนพระเยซูคริสต์ให้เชื่อฟังและรักษา "บัญญัติ"  พระคริสตธรรมเดิม  แต่พระบัญญัติเดิมนั้นก็ได้สำเร็จไปแล้วและ "พระบัญญัติอันประเสริฐกว่า และได้ทรงตั้งขึ้นโดยคำสัญญาอันดีกว่า" (เฮ็บราย 8.6)  ได้แทนบัญญัติที่เก่าไปแล้ว  การเปลี่ยนแปลงคำสัญญาไมตรีก็ทำให้คำพยากรณ์ของยิระมะยาสำเร็จ (ยิระมะยา 31.31-34)  คำสัญญาไมตรีใหม่หรือพินัยกรรมของพระเจ้าอันใหม่แก่มนุษย์  ได้มีผลบังคับใช้เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพราะเราอ่านพบใน เฮ็บราย 9.15-17  "เพราะเหตุนี้พระองค์จึงทรงเป็นคนกลางแห่งคำสัญญาไมตรีใหม่  เพื่อเมื่อมีผู้หนึ่งตายสำหรับที่จะไถ่ความผิดของคนที่ได้ละเมิดต่อคำสัญญาไมตรีเดิมนั้น  แล้ว...ด้วยว่าถ้ามีหนังสือพินัยกรรม ผู้ทำหนังสือนั้นก็ต้องถึงแก่ความตายแล้ว ...แต่ว่าเมื่อผู้ทำยังมีชิวิตอยู่  หนังสือพินัยกรรมนั้นก็ใช้ไม่ได้"  จากข้อความนี้เราทราบว่าคำสัญญาไมตรีใหม่ยังไม่มีผลใช้บังคับจนกว่าพระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเสียก่อน  นี่ก็อธิบายว่าทำไมพระเยซูได้สอนอัครสาวกให้รักษาพระบัญญัติของโมเซระหว่างที่พระองค์ได้ออกกระทำการในที่สาธารณะ  เมื่อพระบัญญัติเก่ายังคงมีผลใช้บังคับได้โดยพระโลหิตของพระองค์เอง  พระเยซูคริสต์ทรงบังเกิดอยู่ภายใต้ในสมัยที่บัญญัติของโมเซมีผลใช้บังคับอยู่ (ฆะลาเตีย 4.4)
    หลังจากที่พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว  ไม่มีผู้เขียนที่ได้รับการดลใจสักคนเดียวสอนคนทั้งหลายให้เชื่อฟังพระคริสตธรรมเดิม  ว่าเป็นบัญญัติของพระเจ้าสำหรับยุคนี้  เราถูกกำหนดให้ถือตามคำสัญญาใหม่  หรือพระคริสตธรรมใหม่   ไม่ใช่บัญญัติแห่งสัญญาไมตรีเดิมอันเป็นคำสัญญาที่ว่าด้วยการถวายสัตว์เป็นเครื่องสักการบูชาและถวายเครื่องบูชายัญด้วยไฟ  เกี่ยวกับหลักการแห่งบัญญัติสิบประการนั้น  เราไม่ต้องปฏิบัติตามทุกวันนี้  เพราะการที่พระเจ้าตรัสสั่งแก่พวกยิว  ซี่งอยู่ภายใต้คำสัญญาไมตรีเดิม ไม่ใช่แก่เราซึ่งอยู่ในสมัยนี้  บัญญัติ 10 ประการของโมเซได้ถูก "กำจัด" หรือถูกเอาไปเสีย (เอเฟโซ 2.15)  เหตุที่เรายังคงรักษาหลักการแห่งบัญญัติสิบประการทุกวันนี้เพราะว่าหลักการเหล่านี้  ยกเว้น "จงระลึกถึงวันซะบาโต"  ได้ตรัสสั่งไว้ในพระคริสตธรรมใหม่ คือ พระกิตติคุณของพระคริสต์อีกด้วย
    วันซะบาโตแห่งพระคริสตธรรมเดิม เป็นวันตรงกับวันเสาร์ ไม่ใช่วันอาทิตย์ ไม่ได้กล่าวอีกครั้งว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระกิตติคุณของพระคริสต์ (เลวีติโก 23.3)  แทนที่จะประชุมกันวันเสาร์ พวกสานุศิษย์ได้มาร่วมประชุมกัน "วันต้นสัปดาห์" (วันอาทิตย์) (กิจการ 20.7, 1โกรินโธ 16.1-2)

ข้อพระคำเพิ่มเติม
    บัญญัติแห่งคำสัญญาไมตรีเดิมบางทีเรียกว่า "บัญญัติของโมเซ"  และบางทีก็เรียกว่า "พระบัญญัติของพระเจ้า" (ลูกา 2.22-24)  บัญญัติเดิมนี้บางทีได้กล่าวไว้ในพระคัมภีร์เพียงแต่ "พระบัญญัติ"  อันเป็นพระบัญญัติของพระเจ้าแก่พวกยิวนับเป็นเวลามากกว่า 1500 ปี อัครสาวกเปาโลมักจะกล่าวถึงบัญญัติเดิมไว้ในหนังสือโรมและฆะลาเตีย...เมื่อเปาโลกล่าวอ้างถึงพระบัญญัติของโมเซ (โรม 7.7, เอ็กโซโด 20.17)
    ข้อความในพระคัมภีร์ที่จะหยิบยกมากล่าวดังต่อไปนี้  เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าเราไม่ได้อยู่ภายใต้ "คำสัญญาอันเดิม"  ทุกวันนี้  ขอโปรดได้ตรวจดูข้อพระธรรมต่อไปนี้ถ้าท่านมีเวลา
    โรม 7.1-4  คริสเตียนได้ "ตายแก่พระบัญญัติ"  การที่เราถือตามพระบัญญัติก็เท่ากับว่าเราได้ผิดประเวณีในจิตวิญญาณ
    ฆะลาเตีย 5.3-4  ผู้ที่ "ปรารถนาจะได้ความชอบธรรมโดยพระบัญญัติ" ก็ทำให้พระคุณหลุดหายไปเสียแล้ว
    ฆะลาเตีย 3.19  "พระบัญญัติ" ใช้ได้จนถึงพระคริสต์เสด็จมา (คำว่า "พงศ์พันธุ์" พระบัญญัติในข้อความนี้หมายถึงพระคริสต์ ข้อ 16)
    ฆะลาเตีย 5.18  ผู้ที่พระวิญญาณทรงนำ "ไม่อยู่ใต้พระบัญญัติ"
    ฆะลาเตีย 3.24-25  "พระบัญญัติจึงเป็นครูสอนซึ่งนำเรามาถึงพระคริสต์"  แต่เราหาได้อยู่ใต้บังคับครูสอนต่อไปไม่"  โปรดดู กิจการ 15.1-6, และ 22-27,  เฮ็บราย 7.12, เอเฟโซ 2.13-15,  ฆะลาเตีย 4.21-31

ข้อความนี้หมายความว่ากระไร?
    ข้อพระธรรมต่าง ๆ ซึ่งเรากำลังศึกษาในบทเรียนนี้  มีความสำคัญยิ่งยวดในการที่จะศึกษาพระคัมภีร์ให้ถ่องแท้ดียิ่งขึ้น  คำถามต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทำให้นักศึกษาพระคัมภีร์หลายคน  รู้สึกฉงนสนเท่ห์ไปตามกันแต่คำถามเหล่านั้นจะหมดสิ้นไป  ถ้าเราตระหนักว่าทุกวันนี้  เราไม่ได้อยู่ภายใต้พระบัญญัติเก่า  ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเราไม่มีความเชื่อพระคริสตธรรมเดิม  หรือให้ความยกย่องนับถือน้อยไปกว่าพระคริสตธรรมใหม่  ทั้งพระคริสตธรรมคัมภีร์เดิมและพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่   ได้รับการดลใจจากพระเจ้า  เพราะฉะนั้นเราควรจะยกย่องนับถือไว้อย่างสูงทีเดียว  เหมือนกับนักศึกษาในวิทยาลัยที่มีความเชื่อมั่นในชั้นเตรียมอุดมศึกษาในสมัยที่ตนเคยเป็นนักศึกษาอยู่ในชั้นนั้น  ถึงแม้นักศึกษาคนนั้นไม่ได้อยู่ภายใต้บังคับของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและครูก็ตาม  เพราะฉะนั้นในทำนองเดียวกันเราควรยึดมั่นและเชื่อข้อความทุก  ๆ ตอนในพระคัมภีร์เก่า  แม้ว่าเดี๋ยวนี้เราไม่ได้อยู่ภายใต้พระคริสตธรรมเดิมก็ตาม
    เราควรจะศึกษาพระคริสตธรรมเดิมโดยละเอียดถี่ถ้วนดูว่า  พระเจ้าทรงบำเหน็จรางวัลแก่ผู้ที่เชื่อฟัง  และลงโทษผู้ที่ไม่เชื่อฟังอย่างไรในทุกยุคทุกสมัย  เปาโลได้กล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า  "ด้วยว่าสิ่งสารพัดที่เขียนไว้แล้วคราวก่อนนั้นก็ได้เขียนไว้เพื่อสั่งสอนเราทั้งหลาย  เพื่อเราทั้งหลายจะได้มีความหวังโดยความเพียรและชูใจตามคำที่เขียนไว้แล้วนั้น" (โรม 15.4)  ในขณะที่เราเชื่อฟังพระคัมภีร์ใหม่  คือ พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เจ้า  ขอให้เราระลึกถึงบทเรียนต่าง ๆ ที่เราได้รับจากพระคัมภีร์เดิม  เมื่อเราพยายามต่อสู้เพื่อจะได้รับชีวิต  ใกล้ชิดกับพระเจ้าให้ดียิ่งขึ้นในอนาคตมากยิ่งกว่าในอดีต

ข้อสงสัยที่มักถามกันเสมอ
    เมื่อเรามาถึงตอนสรุปของเรื่อง  "ซื่อตรงในการใช้คำแห่งความจริง"  ข้อสงสัยหรือคำถามอันควรแก่การที่เราจะเอาใจใส่เป็นพิเศษ เราทราบในบทเรียนตอนต้นแล้วว่าคำสัญญาไมตรีใหม่จะไม่มีผลใช้บังคับจนกว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  (เฮ็บราย 9.15-17)  เพราะฉะนั้นก่อนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์  บัญญัติแห่งคำสัญญาไมตรีเดิมก็ยังมีผลใช้บังคับอยู่  ข้อความต่อไปที่นำมาในที่นี้เป็นคำถามที่เกิดขึ้นจริง ๆ ซึ่งมักจะทำให้ผู้ที่ศึกษาพระคัมภีร์สับสน


คำสัญญาไมตรีเดิม     คำสัญญาไมตรีใหม่
บัญญัติของโมเซ     กิตติคุณของพระคริสต์
(สิ้นสุดบนไม้กางเขน)     (มีผลบังคับใช้ที่กางเขน)
โกโลซาย 2.13-14     เฮ็บราย 9.15-17
เอเฟโซ 2.13-16     โรม 1.16-17
ดาวิด     คำตรัสสั่งอันยิ่งใหญ่
วันซะบาโต     คริสตจักรตั้งขึ้นแล้ว
โจรบนไม้กางเขน     สานุศิษย์เรียกว่า "คริสเตียน"

     มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับโจรบนไม้กางเขน?  บางคนรู้สึกสับสน  คือ มีความรู้สึกว่า เราย่อมไม่ปฏิบัติตามคำตรัสสั่งที่ชัดเจนในพระคัมภีร์ใหม่ก็ได้  เพราะว่าเขาไม่สามารถเข้าใจว่ามีอะไรขัดขวางไม่ให้โจรบนไม้กางเขนได้รับความรอด  จากตารางพอสังเขปข้างบนทำให้การเข้าใจผิดนั้นเข้าใจแจ่มแจ้งดียิ่งขึ้น  เพราะว่าโจรบนไม้กางเขนมีชีวิตอยู่ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะสิ้นพระชนม์  ฉะนั้นโจรผู้นั้นจึงอยู่ในสมัยที่คำสัญญาไมตรีใหม่ยังไม่มีผลใช้บังคับ  เราทั้งหลายอย่างไรก็ตามอยู่ภายใต้คำสัญญาไมตรีใหม่  เพราฉะนั้นเราจะต้องปฏิบัติตามคำสัญญาไมตรีใหม่  การที่เราละเลยไม่ปฏิบัติตามพิสูจน์ว่าเราไม่รักพระเยซูคริสต์  เพราะพระเยซูกล่าวว่า  "ผู้ใดรักเรา  ผู้นั้นจะประพฤติตามคำของเรา" (โยฮัน 14.23)  เป็นที่น่าสังเกตว่าคำตรัสสั่งอันยิ่งใหญ่ยังไม่ได้ให้จนหลังจากที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว (มาระโก 16.15-16)

    มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับดาวิด  คำถามใกล้ ๆ กันซึ่งมักจะเกิดขึ้นเกี่ยวกับการนมัสการซึ่งสอนไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ซึ่งเราจะได้ศึกษากันต่อไป  ไม่เป็นการถูกต้องในสมัยนี้ถึงการที่เราจะนมัสการพระเจ้าตามคำตรัสสั่งในพระคัมภีร์เดิม  ในการที่เราจะสร้างเรือด้วยไม้โกเฟอร์เพื่อเราจะได้รับความรอดเหมือนกับที่พระเจ้าทรงตรัสสั่งกับโนฮานั้น ย่อมทำไม่ได้
    การนมัสการตามที่พระเจ้าทรงตรัสสั่งไว้ในพระคัมภีร์ใหม่  ไม่ได้คลุมไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ครั้งหนึ่งเคยปฏิบัติในพระคัมภีร์เดิม  การถวายสัตว์เป็นเครื่องบูชา  และหลายสิ่งหลายอย่างซึ่งพบในพระคัมภีร์เดิม  ไม่มีส่วนเกี่ยวพันกันในการนมัสการตามแบบพระคัมภีร์ใหม่  การที่ดาวิดนมัสการพระเจ้าตามที่ไม่ได้สอนไว้ในพระคัมภีร์ใหม่  ไม่ใช่เหตุผลเพียงพอที่เราจะเรียนแบบอย่างดาวิด และควรสังเกตว่าดาวิดไม่ได้อยู่ภายใต้คำสัญญาไมตรีใหม่เหมือนกับเราทั้งหลายทุกวันนี้  ดาวิดได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างโดยพระคัมภีร์แล้วเราไม่สามารถปฏิบัติได้เหมือนกับดาวิดภายใต้พระคัมภีร์ใหม่  การที่จะทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยในสมัยนี้ก็คือ  การที่จะปฏิบัติตามอำนาจที่ได้ทรงสั่งไว้ในพระคัมภีร์ใหม่  สำหรับการปฏิบัติทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการนมัสการหรือการสั่งสอนก็ตาม
 

ตอบคำถามแบบทดสอบ บทที่ 3  คลิกที่นี่

บทที่4