คริสเตียนเป็นสมาชิกในกายเดียวกัน
คริสตจักรเป็นพระกายของพระคริสต์ เอเฟโซ 1.22-23 "พระองค์ได้ทรงปราบสิ่งสารพัดทั้งปวงลงไว้ใต้พระบาทของพระองค์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจ้กรซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ คือซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ ผู้สถิตอยู่ทั่วทุกแห่งทุกตำบล" โกโลซาย 1.18 "พระองค์เป็นศีรษะของกายคือคริสตจักรนั้น ด้วยพระองค์นั้นเป็นปฐม เป็นคนแรกที่เป็นขึ้นมาจากตาย เพื่อพระองค์จะได้เป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวง" ประกอบด้วยสมาชิกหลาย ๆ คน สมาชิกเหล่านี้มีความรับผิดชอบร่วมกันและต่อกันและกัน (1โกรินโธ 12.12-27) โรม 12.5 "เราทั้งหลายผู้เป็นหลายคนยังเป็นกายอันเดียวในพระคริสต์ และเป็นอวัยวะแก่กันและกันฉันนั้น" ขอให้เราศึกษาหน้าที่รับผิดชอบบางอย่างดังต่อไปนี้
1. "จงต้อนรับเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน"
"ท่านทั้งหลายจงต้อนรับเลี้ยงดูซึ่งกันและกันโดยไม่บ่น" (1เปโตร 4.9) โปรดศึกษาโรม 12.13 "จงเข้าส่วนช่วยสิทธิชนในการขัดสนของเขา จงมีน้ำใจรับรองแขก" เฮ็บราย 13.2 "อย่าลืมแสดงกริยาต้อนรับแขกแปลกหน้า เพราะว่าโดยอาการกระทำเช่นนั้น บางคนก็ได้รับรองทูตสวรรค์โดยไม่ทันรู้ตัว" (1ติโมเธียว 5.10, 3.2, ติโต 1.8)
(1) ตัวอย่างผู้ที่ต้อนรับเลี้ยงดู อับราฮาม เยเนซิศ 18.6 "ฝ่ายอับราฮามก็รีบเข้าไปในทับอาศัยบอกนางซาราว่า จงเร่งจัดแจงแป้งที่ละเอียดสามทะนานมาขยำทำขนม" หญิงชาวซุเนม 2พงศาวดารกษัตริย์ 4.8 "อยู่มาวันหนึ่งอะลีซาไปยังเมืองซุเนม มีหญิงผู้ดีคนหนึ่งอยู่ที่นั่น หญิงนั้นก็ชักชวนเชิญท่านเข้าไปรับประทานอาหาร เมือท่านผ่านมาทางนั้นทุก ๆ ครั้ง ก็เคยแวะรับประทานอาหารที่นั่นเสมอ" และมาธา ลูกา 1.38-42 คนเหล่านี้เป็นผู้ต้อนรับแขกดี
(2) การต้นรับแขกในบ้านของเราปัจจุบัน เชิญสมาชิกคริสตจักรไปบ้านแขกที่มาเยี่ยม เชิญพวกอนุชน การจัดประชุมโซนที่บ้าน เชิญสมาชิกคริสเตียนใหม่ ฯลฯ
2. "รักซึ่งกันและกัน"
"สิ่งเหล่านี้เราสั่งท่านทั้งหลายไว้เพื่อท่านจะรักซึ่งกันและกัน" (โยฮัน 15.17) โปรดศึกษา 1เปโตร 1.22-23 "โดยเหตุที่ท่านทั้งหลายได้ชำระจิตใจของตนแล้วด้วยเชื่อฟังความจริง จนมีใจรักพวกพี่น้องด้วยความรักอันแท้ ท่านทั้งหลายจงรักซึ่งกันและกันเป็นอันมากด้วยน้ำใสใจจริงด้วยว่าท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่ ไม่ใช่จากพืชที่จะเปื่อยเน่าเสีย แต่จากพืชอันไม่รู้เปื่อยเน่าคือด้วยพระคำของพระเจ้า" เฮ็บราย 13.1 "จงให้ความรักพวกพี่น้องมีต่อกันอยู่เสมอไป" (เอเฟโซ 4.31-32)
(1) ความจำเป็นสำหรับความรักฉันพี่น้อง
(ก) เป็นเครื่องหมายของการเป็นศิษย์แท้ โยฮัน 13.35 "คนทั้งปวงจะรู้ได้ว่าเจ้าเป็นเหล่าสาวกของเราก็เพราะว่าเจ้าทั้งหลายซึ่งกันและกัน"
(ข) เป็นคำสั่ง โยฮัน 15.12 "นี่แหละเป็นบัญญัติของเรา คือให้ท่านทั้งหลายรักกันและกันเหมือนเราได้รักท่าน" 1โยฮัน 4.21 "พระบัญญัตินี้แหละเราทั้งหลายได้มาจากพระองค์คือว่า ให้คนที่รักพระเจ้ารักพี่น้องของตนด้วย"
โปรดอ่าน 1โยฮัน 2.3-4 "ถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ เราคงทราบว่าเรารู้จักพระองค์ คนใด ๆ ที่ว่า "ข้าพเจ้ารักพระองค์ แต่มิได้ประพฤติตามบัญญัติของพระองค์ คนนั้นเป็นคนพูดมุสาและความจริงไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย" (วิวรณ์ 22.14, 1โยฮัน 3.23-24)
(ค) เป็นสิ่งเยี่ยมที่สุด 1เปโตร 4.8 "ยิ่งกว่าอะไรหมดก็จงรักซึ่งกันและกันให้มาก ด้วยว่าความรักก็ปกปิดความผิดไว้มากหลาย"
(ง) เป็นการทำให้พระบัญญัติสำเร็จ โรม 13.10 "ความรักไม่ประทุษร้ายแก่เพื่อนบ้าน เหตุฉะนั้นความรักจึงเป็นที่ให้พระบัญญัติสำเร็จ"
(จ) เป็นพระบัญญัติที่สำคัญอันดับสอง มัดธาย 22.37-40 "พระเยซูทรงตอบเขาว่า จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อต้นข้อใหญ่ ข้อที่สองก็เหมือนกันคือจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง บัญญัติและคำพยากรณ์ทั้งสิ้นก็รวมอยู่ในบัญญัติสองข้อนี้"
(ฉ) จะต้องรักษาพระบัญญัติข้อนี้เพื่อจะไม่สะดุด 1โยฮัน 2.10 "ผู้ที่รักพี่น้องของตนจึงอยู่ในความสว่าง และไม่มีช่องที่จะให้สะดุดสะดากในคนนั้นเลย"
(ช) เราต้องรักษาพระบัญญัติข้อนี้ ถ้าเราจะดำเนินอยู่ในความสว่าง 1โยฮัน 2.9-11 "คนใดที่กล่าวว่าตนอยุ่ในความสว่างและยังเกลียดชังพี่น้องของตัวก็อยู่ในความมืด และไม่รู้ว่าตัวไปข้างไหนเพราะว่าความมืดทำให้ตาของเขาบอดไปเสียแล้ว"
(ซ) เป็นเครื่องหมายของการเป็นบุตรของพรเจ้า 1โยฮัน 3.10 "เช่นนั้นแหละจึงได้ปรากฏว่าใครเป็นบุตรของพระเจ้า และใครเป็นลูกของมารคือว่าคนใดที่ไม่ได้ประพฤติตามความชอบธรรมและไม่ได้รักพี่น้องของตน คนนั้นก็ไม่ได้บังเกิดมาจากพระเจ้า"
(ฌ) เป็นเครื่องหมายของการกลับใจบังเกิดใหม่และชีวิตฝ่ายวิญญาณจิต 1โยฮัน 3.14 "เราทั้งหลายรู้ว่าเราพ้นจากความตายไปถึงซึ่งชีวิตแล้ว เพราะเรารักพวกพี่น้องคนใดที่ไม่มีความรักผู้นั้นก็ยังอยู่ในความตาย"
(ญ) ถ้าปราศจากความรัก เราเป็นดุจฆาตกร 1โยฮัน 3.15 "ผู้หนึ่งผู้ใดที่เกลียดชังพี่น้องของตนก็ย่อมเป็นผู้ฆ่าคนและท่านทั้งหลายรู้แล้วว่า ผู้ฆ่าคนไม่มีชีวิตนิรันดร์อยู่ในตัวเลย"
(ฎ) เราต้องยึดถือเพื่อเป็นของพระเจ้า เพื่อบังเกิดจากพระเจ้าและเพื่อรู้จักพระเจ้า 1โยฮัน 4.7-8 "ดูก่อนพวกพี่รัก ให้เราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน เพราะว่าความรักเป็นมาจากพระเจ้า และทุกคนที่รักก็บังเกิดมาจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก"
(ฏ) เราควรรักซึ่งกันและกันเพราะพระเจ้าทรงรักเรา 1โยฮัน 4.11 "ดูก่อนพวกที่รัก ถ้าพระเจ้าทรงรักเราทั้งหลายเช่นนั้น เราก็ควรจะรักซึ่งกันและกันด้วย"
(ฐ) เราควรรักซึ่งกันและกันเพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา ความรักของพระองค์สำเร็จในเรา 1โยฮัน 4.12 "หามีคนใดได้แลเห็นพระเจ้าในเวลาใดไม่ ถ้าเราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน พระเจ้าสถิตอยู่ในเราทั้งหลายและความรักของพระองค์ก็สำเร็จในเรา"
(ฑ) ถ้าเราไม่รักซึ่งกันและกัน เราก็ไม่มีความรักต่อพระเจ้า 1โยฮัน 4.20 "ถ้าผู้ใดว่า ข้าพเจ้ารักพระเจ้า และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตัวผู้นั้นเป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้วจะรักพระเจ้าที่ยังไม่ได้แลเห็นอย่างไรได้?"
(2) ข้อปฏิบัติในการักพี่น้อง
(ก) เราควรรักซึ่งกันและกันเหมือนองค์พระผู้เป็นเจ้ารักเรา โยฮัน 13.34 "เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วฉันใด เจ้าจงรักซึ่งกันและกันด้วยฉันนั้น" พระองค์ทรงรักเรามากจนยินดีเสียสละชีวิตของพระองค์ โยฮัน 3.16 "เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะมิได้พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์"
(ข) เราควรรักซึ่งกันและกันเหมือนเรารักตนเอง มัดธาย 22.39 "ข้อที่สองก็เหมือนกันคือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง"
(ค) เราควรรักซึ่งกันและกันด้วยความรักอันแท้ และด้วยน้ำใสใจจริง 1เปโตร 1.22 "โดยเหตุที่ท่านทั้งหลายได้ชำระจิตใจของตนแล้วด้วยเชื่อฟังความจริง จนมีใจรักพวกพี่น้องด้วยความรักอันแท้ ท่านทั้งหลายจงรักซึ่งกันและกันเป็นอันมากด้วยน้ำใสใจจริง" คำว่า "ด้วยน้ำใสใจจริง" หมายความว่า รักแท้, จริงใจ, อดทน ใจของเราควรบริสุทธิ์จากการอิจฉา, แค้น, เกลียด, ขุ่นเคือง, ริษยา, ใจอคติ ฯลฯ
(ง) เราควรรักซึ่งกันและกันด้วยการกระทำมิใช่ด้วยวาจาเท่านั้น 1โยฮัน 3.18 "ดูก่อนลูกเล็ก ๆ ทั้งหลาย อย่าให้เรารักเพียงแต่ถ้อยคำและลิ้นเท่านั้น แต่ให้เรารักด้วยการประพฤติและด้วยความจริง" โปรดดู ฆะลาเตีย 6.10, ลูกา 10.30-37, มัดธาย 25.31-46, กิจการ 11.27-30
(จ) พิจารณาดู 1โกรินโธ 13.4-7 "ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวยตัว ไม่จองหอง ไม่ได้กระทำสิ่งอันเป็นที่น่าอายกระดาก ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่มีใจหงุดหงิด ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ยินดีในการประพฤติผิด แต่มีความยินดีในการประพฤติชอบ ไม่แคะไค้คุ้ยเขี่ยความผิดของเขา และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และเพียรทนเอาทุกอย่าง" จะช่วยให้เข้าใจการแสดงความรักต่อพี่น้องได้เป็นอย่างดี
3. "จงอธิษฐานเพื่อกันและกัน"
ยาโกโบ 5.16 "เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงสารภาพรับผิดต่อกันและกัน, และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน, เพื่อท่านทั้งหลายจะได้หายโรค คำอธิษฐานด้วยใจร้อนรนแห่งผู้ชอบธรรมก็มีอำนาจมาก ซึ่งจะนำให้เกิดผล" การที่ไม่อธิษฐานเพื่อกันและกันเป็นการบาป 1ซามูเอล 12.23 " อีกประการหนึ่ง, ส่วนข้าพเจ้า, ขอพระยะโฮวาทรงห้ามปรามอย่าให้ข้าพเจ้ากระทำผิดต่อพระองค์, โดยเว้นคำอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลาย, แต่ข้าพเจ้าจะสั่งสอนให้ท่านทั้งหลายรู้ทางดี, และทางชอบธรรม" เราต้องหลีกเลี่ยงความเห็นแก่ตัวเมื่อเราอธิษฐาน
ลูกา 18.14 "เราบอกท่านทั้งหลายว่า, คนนี้แหละเมื่อกลับไปยังบ้านของตนก็นับว่าชอบธรรมยิ่งกว่าอีกคนหนึ่งนั้น เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง, แต่ทุกคนที่ได้ถ่อมตัวลงจะต้องถูกยกขึ้น"
(1) ตัวอย่างของผู้ที่อธิษฐานเพื่อผู้อื่น เช่น (1) อัครสาวกเปาโล ฟิลิปปอย 1.4, 9 "และทุกเวลาที่ข้าพเจ้าอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าไดทูลขอด้วยใจยินดี" (ข้อ 9) "และข้าพเจ้าอธิษฐานขอดังนี้ว่า ให้ความรักของท่านทั้งหลายจำเริญยิ่ง ๆ ขึ้นในความรู้ และในการสังเกตทุกอย่าง" (โกโลซาย 1.3, 9-11, 1เธซะโลนิเก 1.2, 2ติโมเธียว 1.3) (2) โมเซ เอ็กโซโด 32.31 "โมเซจึงกลับไปเฝ้าพระยะโฮวาทูลว่า โอพระเจ้าข้า พลไพร่นี้ได้ทำผิดใหญ่ยิ่ง เขาได้ทำพระด้วยทองคำ" (3) พระเยซู โยฮัน 17.3 "นี่แหละเป็นชีวิตนิรันดร์ คือว่าให้เขารู้จักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักผู้ที่พระองค์ทรงใช้มาคือพระเยซูคริสต์" ทั้งหมดที่กล่าวมาได้อธิษฐานเพื่อผู้อื่น
(2) ในการอธิษฐานเพื่อผู้อื่นนั้น เราควรอธิษฐานเพื่อผู้ใดโดยเฉพาะ?
1) เผื่อผู้ปกครอง เฮ็บราย 13.17 "ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังและยอมอยู่ในโอวาทของคนเหล่านั้นที่ปกครองท่าน ด้วยว่าท่านเหล่านั้นคอยระวังดูจิตต์วิญญาณของท่าน, เหมือนกับผู้ที่จะต้องรายงาน เพื่อเขาจะได้ทำการนี้ด้วยความชื่นใจ, ไม่ใช่ด้วยความเศร้าใจ เพราะว่าที่ทำดังนั้นก็จะไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่ท่านทั้งหลาย"
2) เพื่อนักเทศน์ เอเฟโซ 6.18-20 "และโดยคำอธิษฐานวิงวอนทุกอย่าง จงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่าง และอธิษฐานเพื่อสิทธิชนทั้งหมด, และอธิษฐานเพื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อจะทรงประทานให้ข้าพเจ้ามีคำพูดและเกิดใจกล้าออกปากสำแดงข้อลับลึกแห่งกิตติคุณ เพราะกิตติคุณนั้นแหละข้าพเจ้าเป็นทูตแต่ต้องติดโซ่อยู่ เพื่อข้าพเจ้าจะได้เล่ากิตติคุณนั้นด้วยใจกล้าตามที่ข้าพเจ้าควรจะกล่าว"
3) เพื่อคนเจ็บ ยาโกโบ 5.14 "ในพวกท่านมีผู้ใดป่วยหรือ ก็ให้ผู้นั้นเชิญพวกผู้ปกครองในคริสตจักรมาอธิษฐานเพื่อเขา และชะโลมทาเขาด้วยน้ำมันในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า"
4) เพื่อสมาชิกทุกคน ฟิลิปปอย 1.9 " และข้าพเจ้าอธิษฐานขอดังนี้ว่า, ให้ความรักของท่านทั้งหลายจำเริญยิ่งๆ ขึ้นในความรู้, และในการสังเกตทุกอย่าง เพื่อท่านทั้งหลายจะพิจารณาได้ว่าไหนประเสริฐ และเพื่อท่านจะได้เป็นคนสัตย์ซื่อ และไม่เป็นที่ติได้จนถึงกาลวันแห่งพระคริสต์"
4. "จงสารภาพรับผิดต่อกันและกัน"
ยาโกโบ 5.16 " เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงสารภาพรับผิดต่อกันและกัน, และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน, เพื่อท่านทั้งหลายจะได้หายโรค คำอธิษฐานด้วยใจร้อนรนแห่งผู้ชอบธรรมก็มีอำนาจมาก ซึ่งจะนำให้เกิดผล" โปรดดู 1โยฮัน 1.8-10
(1) หมายถึง สารภาพความอ่อนแอของตนเพื่อขอคำแนะนำช่วยเหลือจากพี่น้องเพื่อจะได้รับชัยชนะ
(2) อาจหมายถึงการสารภาพต่อหน้าที่ประชุม เพื่อขอให้คริสตจักรอธิษฐานเผื่อเขา เพื่อจะได้รับการหนุนใจเพื่อชีวิตที่ดีต่อไป
(3) หมายถึง การขอโทษจากพี่น้องเมื่อเราทำผิดแล้วกลับใจ
ลูกา 17.3-4 "จงระวังตัวให้ดีถ้าพี่น้องผิดต่อท่าน, จงต่อว่าเขาและถ้าเขากลับใจแล้ว, จงยกโทษให้เขา แม้เขาจะผิดต่อท่านวันละเจ็ดหน, และจะกลับมาหาท่านทั้งเจ็ดหนนั้นแล้วว่า ‘ฉันกลับใจแล้ว’ จงยกโทษให้เขาเถิด"
5. "พิจารณาดูกันและกัน"
เฮ็บราย 10.24 "และให้เราพิจารณาดูกันและกัน, เพื่อเป็นเหตุให้บังเกิดใจรักซึ่งกันและกันและกระทำการดี" เราควรพิจารณาความรู้สึกของกันและกัน
(1) เราควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้เกิดความหมางใจกัน ฟิลิปปอย 2.4 "อย่าให้ต่างคนต่างคิดแต่การงานของตนฝ่ายเดียว, แต่ให้คิดถึงการงานของคนอื่นๆ ด้วย ท่านทั้งหลายจงมีน้ำใจอย่างนี้, เหมือนอย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงมีด้วย"
(2) เราควรพิจารณาชื่อเสียงและอิทธิพลซึ่งกันและกัน ควรหลีกเลี่ยงคำพูดที่อาจทำลายชื่อเสียงของผู้อื่น เพราะจะเป็นการทำลายอิทธิพลความนับถือของผู้นั้นไปเสีย 1ติโมเธียว 4.11-12 "จงบัญชาและสั่งสอนข้อความเหล่านี้เถิด อย่าให้ผู้ใดหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่นของท่าน, แต่จงเป็นแบบแก่คนทั้งปวงที่เชื่อ ในทางวาจา, การประพฤติ, ความรัก, ความเชื่อ, และความบริสุทธิ์"
(3) เราควรพิจารณาใจวินิจฉัยของผู้อื่น 1โกรินโธ 8.12-13 "และเมื่อท่านทำผิดอย่างนั้นต่อพวกพี่น้อง โดยทำร้ายแก่ใจวินิจฉัยผิดและชอบอันอ่อนของเขา, ดังนั้นท่านจึงได้กระทำผิดต่อพระคริสต์ด้วย เหตุฉะนั้นถ้าอาหารเป็นเหตุให้พี่น้องของข้าพเจ้าหลงผิด, ข้าพเจ้าก็จะไม่กินเนื้อสัตว์ต่อไปเป็นนิตย์, เกรงว่าข้าพเจ้าจะทำให้พี่น้องหลงผิดไป"
6. "จงปรนนิบัติรับใช้กันและกัน"
ฆะลาเตีย 5.13 "ดูก่อนพวกพี่น้องทั้งหลาย, ที่ทรงเรียกท่านทั้งหลายนั้นก็เพื่อจะให้มีเสรีภาพ แต่อย่าเอาเสรีภาพของท่านเป็นช่องสำหรับปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง จงปรนนิบัติซึ่งกันและกันโดยความรักเถิด" โปรดดู 1เปโตร 4.10
(1) การรับใช้ผู้อื่นเป็นเนื้อแท้ของความยิ่งใหญ่ มัดธาย 20.27-28 "ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้นก็ให้ผู้นั้นเป็นทาสของพวกท่าน แม้ว่าบุตรมนุษย์ก็ดีมิได้มาเพื่อให้เขาปรนนิบัติแต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา, และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก" ความเป็นใหญ่มิได้วัดกันว่าบุคคลมีลูกจ้างกี่คน แต่วัดกันว่าเขาบริการผู้อื่นมากน้อยเพียงไร
(2) การรับใช้ผู้อื่นเท่ากับรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า มัดธาย 25.40 "แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่เขาว่า ‘เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่ผู้เล็กน้อยที่สุดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนท่านได้กระทำแก่เราด้วย" (กิจการ 9.1-4) ถ้าพระเยซูอยู่ในโลกนี้ เราคงรับใช้พระองค์เหมือนมาเรีย, มาธา และลาซะโร แต่ก็เป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตามเราสามารถรับใช้พระองค์ได้โดยการปรนนิบัติรับใช้ผู้อื่น
7. "เตือนสติกันและกัน"
เฮ็บราย 3.13 "แต่ว่าจงเตือนสติซึ่งกันและกันทุกวัน, เมื่อยังเรียกได้ว่าเป็น วันนี้, เกรงว่าในพวกท่านจะมีคนหนึ่งคนใดถูกอุบายของความบาป ทำให้ใจแข็งกะด้างไป" (โปรดดู เฮ็บราย 10.25, 2ติโมเธียว 4.1-2, 1ติโมเธียว 4.13) บาระนาบาเป็นตัวอย่างดีในการหนุนใจและเตือนสติผู้อื่น กิจการ 11.24 "ด้วยบาระนาบานั้นเป็นคนดีประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และความเชื่อ จำนวนคนของพระผู้เป็นเจ้าก็ได้ทวีขึ้นเป็นอันมาก"
8. "จงเล้าโลมซึ่งกันและกัน"
1เธซะโลนิเก 4.18 "เหตุฉะนั้นจงเล้าโลมซึ่งกันและด้วยคำเหล่านี้เถิด" ในยามเศร้าโศกเป็นเวลาที่เราควรเล้าโลมซึ่งกันและกัน เราอาจทำได้โดยวิธีการดังต่อไปนี้
(1) ช่วยทำอาหารไปให้ครอบครัวของผู้ที่สูญเสียผู้เป็นที่รักไป หรือ ช่วยเหลือในสิ่งที่จำเป็น
(2) ไปในงานพิธีศพ
(3) ส่งสิ่งของที่ระสึกไปให้
(4) ส่งการ์ดไปเล้าโลมจิตใจ
(5) แสดงคำพูดที่เห็นใจและสงสาร
(6) ไปเยี่ยมเยียนเขา
โดยการทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเราร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้ โรม 12.15 " จงมีใจยินดีด้วยกันกับผู้ที่มีความยินดี จงร้องไห้ด้วยกันกับผู้ที่ร้องไห้"