คริสต์ศาสนาคืออะไร?
เป็นที่เข้าใจแล้วว่าคริสเตียนแท้กับไม่แท้แตกต่างกันอย่างไร อีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องนำมากล่าวในที่นี้คือเรื่องคริสต์ศาสนา ความจริงแล้วผู้เขียนไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้คำว่า "คริสต์ศาสนา" เพราะว่าคริสต์ศาสนาไม่ใช่เป็นศาสนาหรือเป็นหลักปรัชญาที่ได้คิดขึ้น คริสต์ศาสนามิใช่เป็นผลผลิตจากความคิด แต่เป็นความจริง เป็นหนทางที่จะนำมนุษย์ให้คืนดีกับพระเจ้า และนำมนุษยืให้ไปถึงสวรรค์โดยแท้จริง เป็นโครงการของพระเจ้าในการที่จะช่วยให้มนุษย์ทุกคนรอดพ้นจากความบาป โครงการนี้พระเจ้าได้ทรงกระทำการติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ ศาสนาคริสต์เป็นหนทางในการดำรงชีวิตอันชอบธรรมและประกอบด้วยสันติ เป็นทางที่จะนำชีวิตของมนุษย์ให้รุ่งโรจน์เป็นดุจดวงสว่าง ที่ส่องไปท่ามกลางโลกนี้ มีข้อถกเถียงกันมากมายตามประสามนุษย์ว่าศาสนาไหนเป็นศาสนาที่มีคนนับถือมากเป็นศาสนาที่ถูกต้อง เป็นศาสนาที่เก่า เป็นศาสนาที่ศักดิ์สิทธิ์ยิงไม่เข้าหรือฟันไม่เข้า บางคนก็ว่าศาสนาอะไรก็ดีทั้งนั้น คนที่นับถือศาสนาก็ดีกว่าคนที่ไม่มีศาสนา เกี่ยวกับเรื่องศาสนาต่าง ๆ ได้นำมาอภิปรายไว้ในบทก่อน ๆ แล้ว ถ้านักศึกษาสนใจโปรดศึกษาจากประวัติศาสตร์และเปรียบเทียบกับบทเรียนในบทก่อน ๆ อีกครั้งหนึ่ง
ก. คริสต์ศาสนาเกิดเมื่อใด? คนส่วนมากเข้าใจว่าคริสต์ศาสนาเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2000 ปีที่ผ่านมาแล้ว ถ้าพิจารณาดูคริสตศักราช คนทั่วไปเห็นว่าคริสต์ศาสนาเกิดหลังศาสนาพุทธหลายศตวรรษ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาที่เก่ากว่า ความเข้าใจนี้ไม่เป็นความจริง
พระเยซูมิใช่เป็นผู้ที่ศึกษาหรือเป็นผู้ที่คิดหลักปรัชญาขึ้น พระองค์ทรงเป็นผู้ที่รู้จักความจริงแล้วโดยที่ไม่ได้ศึกษากับผู้ใด คริสต์ศาสนามิใช่ตั้งต้นสมัยที่พระเยซูบังเกิดในโลกนี้ แต่คริสต์ศาสนาได้เริ่มตั้งแต่ปฐมกำเนิดของสารพัดทุกสิ่ง ตั้งต้นจากพระเจ้า ไม่ต้องย้อนไปถึงพระเจ้าก็ได้ ย้อมกลับไปแค่สมัยของอับราฮาม ซึ่งเป็นบิดาของชนชาติยิวเท่านั้นก็พอแล้ว อับราฮามอยู่ในสมัย 2500 ปี ก่อนคริสตศักราช ซึ่งมาก่อนพระพุทธเจ้าประมาณ 2000 ปี โมเซมาก่อนพระพุทธเจ้าใน 1500 ปี ก่อนคริสตศักราช ซึ่งมาก่อนพระพุทธเจ้า 1000 ปี นอกจากนั้นแล้วยังมีศาสดาพยากรณ์นับเป็นจำนวนมากที่ได้สั่งสอนล่วงหน้าเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์เจ้า ในสมัย 726 ปีก่อนคริสตศักราช คือยะซายา, ดานิเอล 600 ปีก่อนคริสตศักราช และคนอื่น ๆ
คำสอนของบรรดาศาสดาพยากรณ์ทุกคนเป็นคำสอนที่เน้นหนักไปในทางโครงการของพระเจ้าในการที่จะนำมนุษย์ทุกชาติให้หันกลับมาจากการนมัสการกราบไหว้รูปเคารพ พวกศาสดาพยากรณ์เหล่านี้ได้ชี้ล่วงหน้าเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเยซู พวกเหล่านี้มิได้ยกย่องตนเองว่าเป็นผู้ค้นพบความจริง คนเหล่านี้พูดกันเป็นเสียงเดียวว่า พระเจ้าได้ดลใจให้เขาทั้งหลายทราบความจริง ทุก ๆ คนสรรเสริญแก่พระเจ้ามิใช่ตนเอง เนื้อหาแห่งคำสอนและหลักธรรมก็หนักไปในทางวิญญาณจิต เป็นที่ซาบซึ้งและเพียบพร้อมไปด้วยความจริงทั้งสิ้น ซึ่งอาจจะหาหลักฐานในทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีเป็นเครื่องยืนยันได้ โปรดดูข้อพระคัมภีร์ดังต่อไปนี้ เยเนซิศ 1.1, 12.1-3, 49.10, ยะซายา 9.6, 7.14, ดานิเอล 2.44, 2ซามูเอล 7.12, บทเพลงสรรเสริญ 22, มีคา 5.2, ซะคาระยา 9.9, บทเพลงสรรเสริญ 38 ข้อความเหล่านี้เป็นข้อความเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าก่อนที่พระองค์จะมาบังเกิดในโลกนี้
ข้อความในพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ต่อไปนี้ชี้แจงให้ทราบว่าพระเยซูสถิตย์อยู่บนสวรรค์ และเป็นผู้ที่สร้างสารพัดทุกสิ่ง แต่เพราะมนุษย์ได้ทำบาป พระเยซูคริสต์จึงได้เสด็จมาเป็นค่าไถ่บาปให้มนุษย์หลุดพ้นจากบาปโดยได้ทรงยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ดูข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้ โยฮัน 1.1-4, เอเฟโซ 3.9, 1โยฮัน 1.1-3, โกโลซาย 1.16, เฮ็บราย 1.3
สรุปแล้วหลักคำสอนของคริสต์ศาสนามิใช่เป็นหลักปรัชญาที่ได้คิดขึ้น แต่เป็นหลักคำสอนที่มาจากพระเจ้า บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เป็นหนังสือที่เป็นความจริงอันอมตะโดยไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแต่อย่างใด ซึ่งตั้งต้นจากพระเจ้าและจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เพราะฉะนั้นถ้าจะถามว่าคริสต์ศาสนาเกิดเมื่อใด โปรดพลิกดูประวัติศาสตร์และเปรียบเทียบดูกับบทเรียนดูว่าเป็นความจริงหรือไม่
ข. คริสต์ศาสนาเกิดขึ้นที่ไหน? คริสต์ศาสนามิใช่เป็นศาสนาของชนชาติหนึ่งชาติใดโดยเฉพาะ แต่เป็นศาสนาของมนุษย์ทุกคนในโลก ไม่ได้เกิดขึ้น ณ ที่หนึ่งที่ใด หากแต่ว่าเป็นศาสนาของพระเจ้าที่บังเกิดขึ้นเป็นหนทางของพระเจ้าที่จะนำให้มนุษย์หันกลับจากทางที่หลงไป "เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกประเทศให้เป็นสาวก ให้รับบัพติศมาในนามแห่งพระบิดาและพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัตรซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปเป็นนิตย์กว่าจะสิ้นโลก" (มัดธาย 28.19-20) "ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศกิตติคุณแก่มนุษย์ทุกคน ผู้ใดได้เชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอดแต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ" (มาระโก 16.15-16)
ค. ใครเป็นผู้ตั้งคริสต์ศาสนา คนส่วนมากเข้าใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้ตั้งศาสนาคริสต์ขึ้น พระเยซูมิใช่เป็นนักปราชญ์หรือเป็นมนุษยธรรมดา พระเยซูมิใช่เป็นผู้ตั้งศาสนา พระองค์เสด็จมาเพื่อจะช่วยฉุดให้คนบาปเลิกกระทำบาปหันมาหาพระเจ้า ถ้าจะพูดว่าพระเยซูเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาก็ไม่ถูกนัก เพราะพระเจ้าและพระเยซูก็มีส่วนช่วยให้โครงการนี้สำเร็จ และไม่เฉพาะพระเจ้าและพระเยซูเท่านั้น อัครสาวกศาสดาพยากรณ์ทุกคน ผู้ประกาศทุกคน บรรดาคริสเตียนทุกคน และรวมทั้งตัวท่านเองมีส่วนช่วยให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จโดยการปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้า เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ที่เขียนพระคริสตธรรมคัมภีร์มิใช่คน ๆ เดียวกัน มีถึง 40 คน ผู้เขียนเหล่านี้ไม่ได้เห็นหน้ากัน และอยู่ห่างกันหลายปี ทุกคนที่เขียนนอกจากจะเขียนข้อความไม่ขัดแย้งกันแล้วทุกคนได้ยกย่องให้เกียรติยศแก่พระเจ้าองค์เดียวกัน เพราะฉะนั้นคำตอบก็คือว่า พระเจ้าเป็นผู้ตั้งศาสนาคริสต์ขึ้น เป็นโครงการที่จะช่วยมนุษย์ให้ได้รับรับความรอด
คริสเตียนเป็นผู้ใด?
ตามสายตาของคนทั่วไปคริสเตียนไม่เป็นที่ยอมรับ คนที่เป็นคริสเตียนในประเทศไทยจึงได้รับความลำบาก เป็นที่ดูถูกเหยียดหยาม หรือบางครั้งถูกรังแกข่มเหงทั่วไป พ่อแม่และเพื่อน ๆ คิดว่าการเป็นคริสเตียนเท่ากับว่าทรยศขายชาติ และเป็นการขัดต่อประเพณีของบรรพบุรุษ เพราะฉะนั้นความรู้สึกของคนทั่วไปจึงคิดว่า พวกคริสเตียนเป็นพวกที่นอกรีต คริสเตียนมิใช่พวกวายร้ายที่สมควรจะได้รับการดูหมิ่น พวกคริสเตียนที่มีชื่อเสียงดี ๆ ก็มีมากมาย เช่น นักวิทยาศาสตร์, องค์การที่ช่วยเหลือประชาชนก็มีมากมาในโลกนี้ เช่น โรงพยาบาล สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ม และโรงเรียนต่าง ๆ คนชั้นนำของประเทศที่ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนของพวกที่นับถือศาสนาคริสต์ก็มีมาก
คริสเตียนเป็นผู้ใด มีชีวิตอย่างไร มีความหวัง และมีความเชื่ออย่างไร ขออธิบายเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้
ก. คริสเตียนเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์เจ้า คือผู้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งของพระเยซูคริสต์ คุณสมบัติของผู้ที่เป็นสาวกของพระเยซูจะต้องเป็นผู้ที่เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของพระเยซู พระเยซูคริสต์ตรัสว่า "ถ้าท่านทั้งหลายตั้งมั่นคงอยู่ในคำของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราแท้" (โยฮัน 8.31) มีคนเป็นจำนวนมากอ้างตนเองว่าเป็นคริสเตียนแต่มิได้ตั้งมั่นคงอยู่ในคำสั่งสอนของพระเยซู ถ้าไม่ประพฤติตามพระเยซู จะเป็นสาวกที่แท้ของพระเยซูไม่ได้ คุณสมบัติของผู้ที่เป็นสาวกของพระเยซูอีกประการหนึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ที่เสียสละ พระเยซูตรัสว่า "ผู้ใดมิได้แบกกางเขนของตนตามเรามา ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้" (ลูกา 14.27) จากข้อความนี้หมายความว่าผู้ที่จะเป็นสาวกของพระเยซูได้นั้นจำเป็นต้องยินดีเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก การถูกข่มเหง ยินดีที่จะเสียสละชีวิตของตนเองเพื่อพระนามของพระเยซู เพราะความรักความเชื่อของเราที่มีต่อพระองค์ คุณสมบัติอีกประการหนึ่งคือ จะต้องเป็นผู้ที่บังเกิดผลมาก พระเยซูตรัสว่า "พระบิดาของเราได้รับเกียรติยศเพราะสิ่งนี้ คือเมื่อท่านเกิดผลมาก ท่านทั้งหลายจึงเป็นสาวกของเรา" (โยฮัน 18.8) การเกิดผลนี้หมายความว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีความขยันหมั่นเพียรในการเป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้คนอื่นในการสั่งสอนและแนะนำคนอื่นเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู และหมายความว่าจะต้องเป็นผู้ที่เสริมสร้างอุปนิสัยของตนเองไปในทางที่ดีงามเป็นผลดีทุกอย่าง บรรดาคริสเตียนทั้งหลายในยุคแรกเป็นที่รู้จักในนามสาวกของพระเยซู แต่ต่อมาได้ถูกเรียกว่าเป็นคริสเตียนครั้งแรกที่เมืองอันติโอเกีย ซีเรีย ซึ่งอยู่ทางด้านเหนือของปาเสลไตน์ (กิจการ 11.26)
ขอชี้แจงเพิ่มเติมอีกนิดเกี่ยวกับความแตกต่างของสาวกและอัรสาวก อัครสาวกเป็นผู้ที่พระเยซูเลือกไว้เป็นพิเศษทั้งหมดรวมทั้งเปาโลด้วยเป็น 13 คน ผู้ที่เป็นอัครสาวกได้นั้นจะต้องมีคุณสมบัติตามที่พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บ่งไว้ ใน กิจการ 1.21 และ 1โกรินโธ 9.1 คือจะต้องเป็นผู้ที่อยู่เคยชินกับพระเยซูตั้งต้นจากวันที่พระเยซูรับบัพติศมาจากโยฮันบัพติศมา ไปจนถึงวันที่พระเยซูถูกรับขึ้นบนสวรรค์ อัครสาวกอาจจะถูกเรียกว่าเป็นสาวกได้ แต่ผู้ที่เป็นสาวกจะเป็นอัครสาวกไม่ได้
ข. คริสเตียนเป็นผู้ประพฤติตามแบบพระเยซู หมายความว่าจะต้องเป็นผู้ที่พยายามเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ในความประพฤติทุกอย่าง พระเยซูเป็นผู้บริสุทธิ์ในทางกาย วาจา และใจ เราก็จะต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยเหมือนกัน (1เธซะโลนิเก 5.23) ในภาษากรีกคำว่า "คริสเตียน" มาจากคำว่า "คริสต์โตส" หมายความว่าเป็นเหมือนกับพระเยซู เราจะเป็นเหมือนกับพระองค์ได้อย่างไร ชีวิตของผู้ที่ติดตามพระเยซูทุกคนจะต้องเป็นเหมือนพระองค์ หมายความว่าเมื่อเพื่อนบ้านเห็นชีวิตของคริสเตียนจะเห็นชีวิตของพระเยซูในตัวคนนั้น
ค. คริสเตียนเป็นความสว่างของโลก ในโลกนี้มีสองอาณาจักร คือ อาณาจักรแห่งความมือ และอาณาจักรแห่งความสว่าง ผู้ที่อยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด คือผู้ที่ประพฤติอยู่ในความบาป ส่วนผู้ที่อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง เป็นผู้ที่ประพฤติในความชอบธรรม คริสเตียนจะต้องเป็นเหมือนแสงสว่างที่ส่องอยู่ในโลก "ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งแผ่นดินโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้? แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก เ มืองซึ่งสร้างไว้บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้" (มัดธาย 5.13-14) กฎแห่งความรักของพระเยซูเป็นกฎที่บังคับจิตใจของพวกคริสเตียนทั้งหลายให้ประพฤติในสังคมที่น่านับถือแก่คนทั่วไป ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรก็ตาม คริสเตียนจะช่วยกู้ฐานะของคนให้ดีขึ้น ในชีวิตความเป็นอยู่ เขาสามารถเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี เป็นมารดาที่ดี เป็นลูกที่ดี เป็นครูที่ดี เป็นข้าราชการที่ดี และเป็นคนงานที่ดีในสถานที่ทำงานที่ไหนก็ตาม และยิ่งไปกว่านั้นพระเจ้าสอนให้คริสเตียนมีหน้าที่รับผิดชอบต่อรัฐบาลให้ความเคารพเชื่อถือกฎหมาย บ้านเมือง เสียภาษีอากรให้รัฐบาล เพราะฉะนั้นคริสเตียนจึเป็นความสว่างที่ส่องอยู่ในโลกนี้
ง. คริสเตียนเป็นสิทธิชน สิทธิชนหมายความว่าอย่างไร สิทธิชนคือผู้ที่พระเจ้าได้ชำระให้บริสุทธิ์ เป็นผู้ที่พ้นจากความบาป เป็นพวกที่แยกตนเองออกจากโลกแห่งความมืด และเป็นพวกที่ได้ถวายชีวิตของเขาเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ยกตัวอย่างจากข้อความจากพระคัมภีร์ "คำนับมายังคริสตจักรของพระเจ้าซึ่งอยู่ที่เมืองโกรินโธ ...และซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกให้เป็นสิทธิชน" (1โกรินโธ 1.2) สิทธิชนนั้นก็คือคริสเตียนนั่นเอง ข้อความอีกแห่งหนึ่ง "ให้ขอบพระคุณพระบิดาผู้ทรงบันดาลให้เราทั้งหลายสมที่จะเข้าส่วนได้รับมฤดกด้วยกันกับสิทธชนในความสว่าง ผู้ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอำนาจแห่งความมืด และได้ทรงย้ายเรามาตั้งไว้ในแผ่นดินแห่งพระบุตรที่รักของพระองค์" (โกโลซาย 1.12-13) จากข้อความนี้ชี้แจงว่า สิทธชนคือผู้เหล่านั้นที่พระเยซูได้แยกเขาทั้งหลายออกจากความมืดเข้ามาสู่อาณาจักของพระเยซูเอง มีนิกายที่สอนผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะพวกนิกายสอนว่าผู้ที่จะเป็นสิทธชนได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ไม่แต่งงาน และเป็นผู้ที่ตายไปแล้วเป็นเวลาหลายปี อย่างเช่น พวกโรมันคาธอลิค ตั้งชื่อ เซนต์หลุยส์, เซนต์จอห์น ฯลน
จ. คริสเตียนเป็นพวกปุโรหิต ปุโรหิตคือผู้ใด? ปุโรหิตคือผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับพิธีในทางศาสนา คำว่าปุโรหิตในที่นี้ไม่มีความหมายเหมือนกับปุโรหิตในพระคริสตธรมเดิม ซึ่งพวกปุโรหิตจะต้องมาจากตระกูลเลวี เป็นผู้ที่มีหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าในพลับพลาหรือในพระวิหารที่อยู่กรุงยะรูซาเล็ม เช่น ถวายเครื่องบูชา ส่วนคำว่าปุโรหิตในที่นี้หมายถึงผู้ที่เป็นสิทธชนทุกคนเป็นปุโรหิตในเวลาเดียวกัน นิกายโรมันคาธอลิคสอนว่าพวกบาทหลวง, สังฆราช, สันตะปาปา พวกเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นปุโรหิต คำสอนนี้เป็นคำสอนที่ผิดไปจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ โปรดพิจารณาดูข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้ "ท่านทั้งหลายก็ดุจหินที่มีชีวิตอยู่ กำลังถูกก่อขึ้นเป็นวิหารสำหรับวิญญาณ เป็นพวกปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาสมกับวิญญาณจิตต์ ซึ่งเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าโดยพระเยซูคริสต์" (1เปโตร 2.5) "ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน และซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านทั้งหลายไม่ใช่เจ้าของกาย" (1โกรินโธ 6.19) ข้อนี้ชี้แจงให้เห็นว่าร่างกายของเราเป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อที่รักษาร่างกายของเราให้บริสุทธิ์ คือในการที่เราจะดำรงชีวิตที่บริสุทธิ์ พระคัมภีร์อีกข้อหนึ่ง "และทรงตั้งเราไว้ให้เป็นอาณาจักรและเป็นปุโรหิตของพระเจ้า และของพระบิดาของพระองค์" (วิวรณ์ 1.6)
มีข้อพระคริสตธรรมพระคัมภีร์อีกมากที่สอนเกี่ยวกับชีวิตคริสเตียน ที่นำมากล่าวแล้วคงจะเป็นที่จุใจแล้วว่าคริสเตียนเป็นผู้ใด เขามีชิวิตอย่างไร เป็นประโยชน์หรือโทษแก่สังคม