บทที่ 3

บทที่3 

คริสต์ศาสนาคืออะไร?

    เป็นที่เข้าใจแล้วว่าคริสเตียนแท้กับไม่แท้แตกต่างกันอย่างไร  อีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องนำมากล่าวในที่นี้คือเรื่องคริสต์ศาสนา  ความจริงแล้วผู้เขียนไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้คำว่า "คริสต์ศาสนา" เพราะว่าคริสต์ศาสนาไม่ใช่เป็นศาสนาหรือเป็นหลักปรัชญาที่ได้คิดขึ้น  คริสต์ศาสนามิใช่เป็นผลผลิตจากความคิด  แต่เป็นความจริง  เป็นหนทางที่จะนำมนุษย์ให้คืนดีกับพระเจ้า และนำมนุษยืให้ไปถึงสวรรค์โดยแท้จริง  เป็นโครงการของพระเจ้าในการที่จะช่วยให้มนุษย์ทุกคนรอดพ้นจากความบาป  โครงการนี้พระเจ้าได้ทรงกระทำการติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้  ศาสนาคริสต์เป็นหนทางในการดำรงชีวิตอันชอบธรรมและประกอบด้วยสันติ  เป็นทางที่จะนำชีวิตของมนุษย์ให้รุ่งโรจน์เป็นดุจดวงสว่าง  ที่ส่องไปท่ามกลางโลกนี้  มีข้อถกเถียงกันมากมายตามประสามนุษย์ว่าศาสนาไหนเป็นศาสนาที่มีคนนับถือมากเป็นศาสนาที่ถูกต้อง  เป็นศาสนาที่เก่า  เป็นศาสนาที่ศักดิ์สิทธิ์ยิงไม่เข้าหรือฟันไม่เข้า  บางคนก็ว่าศาสนาอะไรก็ดีทั้งนั้น  คนที่นับถือศาสนาก็ดีกว่าคนที่ไม่มีศาสนา  เกี่ยวกับเรื่องศาสนาต่าง ๆ ได้นำมาอภิปรายไว้ในบทก่อน ๆ แล้ว  ถ้านักศึกษาสนใจโปรดศึกษาจากประวัติศาสตร์และเปรียบเทียบกับบทเรียนในบทก่อน ๆ อีกครั้งหนึ่ง

    ก. คริสต์ศาสนาเกิดเมื่อใด?  คนส่วนมากเข้าใจว่าคริสต์ศาสนาเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2000 ปีที่ผ่านมาแล้ว  ถ้าพิจารณาดูคริสตศักราช  คนทั่วไปเห็นว่าคริสต์ศาสนาเกิดหลังศาสนาพุทธหลายศตวรรษ  เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาที่เก่ากว่า  ความเข้าใจนี้ไม่เป็นความจริง
    พระเยซูมิใช่เป็นผู้ที่ศึกษาหรือเป็นผู้ที่คิดหลักปรัชญาขึ้น  พระองค์ทรงเป็นผู้ที่รู้จักความจริงแล้วโดยที่ไม่ได้ศึกษากับผู้ใด  คริสต์ศาสนามิใช่ตั้งต้นสมัยที่พระเยซูบังเกิดในโลกนี้  แต่คริสต์ศาสนาได้เริ่มตั้งแต่ปฐมกำเนิดของสารพัดทุกสิ่ง  ตั้งต้นจากพระเจ้า  ไม่ต้องย้อนไปถึงพระเจ้าก็ได้  ย้อมกลับไปแค่สมัยของอับราฮาม  ซึ่งเป็นบิดาของชนชาติยิวเท่านั้นก็พอแล้ว   อับราฮามอยู่ในสมัย 2500 ปี ก่อนคริสตศักราช  ซึ่งมาก่อนพระพุทธเจ้าประมาณ  2000 ปี   โมเซมาก่อนพระพุทธเจ้าใน 1500 ปี ก่อนคริสตศักราช  ซึ่งมาก่อนพระพุทธเจ้า 1000 ปี  นอกจากนั้นแล้วยังมีศาสดาพยากรณ์นับเป็นจำนวนมากที่ได้สั่งสอนล่วงหน้าเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์เจ้า  ในสมัย 726 ปีก่อนคริสตศักราช คือยะซายา,  ดานิเอล 600 ปีก่อนคริสตศักราช  และคนอื่น ๆ 
    คำสอนของบรรดาศาสดาพยากรณ์ทุกคนเป็นคำสอนที่เน้นหนักไปในทางโครงการของพระเจ้าในการที่จะนำมนุษย์ทุกชาติให้หันกลับมาจากการนมัสการกราบไหว้รูปเคารพ พวกศาสดาพยากรณ์เหล่านี้ได้ชี้ล่วงหน้าเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเยซู  พวกเหล่านี้มิได้ยกย่องตนเองว่าเป็นผู้ค้นพบความจริง  คนเหล่านี้พูดกันเป็นเสียงเดียวว่า พระเจ้าได้ดลใจให้เขาทั้งหลายทราบความจริง  ทุก ๆ คนสรรเสริญแก่พระเจ้ามิใช่ตนเอง  เนื้อหาแห่งคำสอนและหลักธรรมก็หนักไปในทางวิญญาณจิต  เป็นที่ซาบซึ้งและเพียบพร้อมไปด้วยความจริงทั้งสิ้น  ซึ่งอาจจะหาหลักฐานในทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีเป็นเครื่องยืนยันได้  โปรดดูข้อพระคัมภีร์ดังต่อไปนี้  เยเนซิศ 1.1, 12.1-3, 49.10,  ยะซายา 9.6, 7.14,  ดานิเอล 2.44,  2ซามูเอล 7.12,  บทเพลงสรรเสริญ 22,  มีคา 5.2,  ซะคาระยา 9.9,  บทเพลงสรรเสริญ 38  ข้อความเหล่านี้เป็นข้อความเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าก่อนที่พระองค์จะมาบังเกิดในโลกนี้
    ข้อความในพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ต่อไปนี้ชี้แจงให้ทราบว่าพระเยซูสถิตย์อยู่บนสวรรค์ และเป็นผู้ที่สร้างสารพัดทุกสิ่ง  แต่เพราะมนุษย์ได้ทำบาป  พระเยซูคริสต์จึงได้เสด็จมาเป็นค่าไถ่บาปให้มนุษย์หลุดพ้นจากบาปโดยได้ทรงยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ดูข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้  โยฮัน 1.1-4,  เอเฟโซ 3.9,  1โยฮัน 1.1-3,  โกโลซาย 1.16,  เฮ็บราย 1.3
    สรุปแล้วหลักคำสอนของคริสต์ศาสนามิใช่เป็นหลักปรัชญาที่ได้คิดขึ้น  แต่เป็นหลักคำสอนที่มาจากพระเจ้า  บันทึกไว้ในพระคัมภีร์  เป็นหนังสือที่เป็นความจริงอันอมตะโดยไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแต่อย่างใด  ซึ่งตั้งต้นจากพระเจ้าและจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้า  เพราะฉะนั้นถ้าจะถามว่าคริสต์ศาสนาเกิดเมื่อใด  โปรดพลิกดูประวัติศาสตร์และเปรียบเทียบดูกับบทเรียนดูว่าเป็นความจริงหรือไม่
    ข. คริสต์ศาสนาเกิดขึ้นที่ไหน?  คริสต์ศาสนามิใช่เป็นศาสนาของชนชาติหนึ่งชาติใดโดยเฉพาะ  แต่เป็นศาสนาของมนุษย์ทุกคนในโลก  ไม่ได้เกิดขึ้น ณ ที่หนึ่งที่ใด  หากแต่ว่าเป็นศาสนาของพระเจ้าที่บังเกิดขึ้นเป็นหนทางของพระเจ้าที่จะนำให้มนุษย์หันกลับจากทางที่หลงไป  "เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกประเทศให้เป็นสาวก ให้รับบัพติศมาในนามแห่งพระบิดาและพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์  สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัตรซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้  นี่แหละเราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปเป็นนิตย์กว่าจะสิ้นโลก" (มัดธาย 28.19-20)  "ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศกิตติคุณแก่มนุษย์ทุกคน  ผู้ใดได้เชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอดแต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ"  (มาระโก 16.15-16)
    ค. ใครเป็นผู้ตั้งคริสต์ศาสนา  คนส่วนมากเข้าใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้ตั้งศาสนาคริสต์ขึ้น  พระเยซูมิใช่เป็นนักปราชญ์หรือเป็นมนุษยธรรมดา  พระเยซูมิใช่เป็นผู้ตั้งศาสนา  พระองค์เสด็จมาเพื่อจะช่วยฉุดให้คนบาปเลิกกระทำบาปหันมาหาพระเจ้า  ถ้าจะพูดว่าพระเยซูเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาก็ไม่ถูกนัก  เพราะพระเจ้าและพระเยซูก็มีส่วนช่วยให้โครงการนี้สำเร็จ  และไม่เฉพาะพระเจ้าและพระเยซูเท่านั้น  อัครสาวกศาสดาพยากรณ์ทุกคน  ผู้ประกาศทุกคน  บรรดาคริสเตียนทุกคน  และรวมทั้งตัวท่านเองมีส่วนช่วยให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จโดยการปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้า  เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ที่เขียนพระคริสตธรรมคัมภีร์มิใช่คน ๆ เดียวกัน  มีถึง 40 คน  ผู้เขียนเหล่านี้ไม่ได้เห็นหน้ากัน และอยู่ห่างกันหลายปี  ทุกคนที่เขียนนอกจากจะเขียนข้อความไม่ขัดแย้งกันแล้วทุกคนได้ยกย่องให้เกียรติยศแก่พระเจ้าองค์เดียวกัน  เพราะฉะนั้นคำตอบก็คือว่า พระเจ้าเป็นผู้ตั้งศาสนาคริสต์ขึ้น เป็นโครงการที่จะช่วยมนุษย์ให้ได้รับรับความรอด

คริสเตียนเป็นผู้ใด?
    ตามสายตาของคนทั่วไปคริสเตียนไม่เป็นที่ยอมรับ  คนที่เป็นคริสเตียนในประเทศไทยจึงได้รับความลำบาก  เป็นที่ดูถูกเหยียดหยาม  หรือบางครั้งถูกรังแกข่มเหงทั่วไป  พ่อแม่และเพื่อน ๆ คิดว่าการเป็นคริสเตียนเท่ากับว่าทรยศขายชาติ  และเป็นการขัดต่อประเพณีของบรรพบุรุษ  เพราะฉะนั้นความรู้สึกของคนทั่วไปจึงคิดว่า พวกคริสเตียนเป็นพวกที่นอกรีต  คริสเตียนมิใช่พวกวายร้ายที่สมควรจะได้รับการดูหมิ่น  พวกคริสเตียนที่มีชื่อเสียงดี ๆ ก็มีมากมาย  เช่น นักวิทยาศาสตร์,  องค์การที่ช่วยเหลือประชาชนก็มีมากมาในโลกนี้ เช่น  โรงพยาบาล  สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ม  และโรงเรียนต่าง ๆ  คนชั้นนำของประเทศที่ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนของพวกที่นับถือศาสนาคริสต์ก็มีมาก
    คริสเตียนเป็นผู้ใด  มีชีวิตอย่างไร  มีความหวัง  และมีความเชื่ออย่างไร  ขออธิบายเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้
    ก. คริสเตียนเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์เจ้า   คือผู้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งของพระเยซูคริสต์  คุณสมบัติของผู้ที่เป็นสาวกของพระเยซูจะต้องเป็นผู้ที่เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของพระเยซู   พระเยซูคริสต์ตรัสว่า "ถ้าท่านทั้งหลายตั้งมั่นคงอยู่ในคำของเรา  ท่านก็เป็นศิษย์ของเราแท้"  (โยฮัน 8.31)  มีคนเป็นจำนวนมากอ้างตนเองว่าเป็นคริสเตียนแต่มิได้ตั้งมั่นคงอยู่ในคำสั่งสอนของพระเยซู  ถ้าไม่ประพฤติตามพระเยซู  จะเป็นสาวกที่แท้ของพระเยซูไม่ได้  คุณสมบัติของผู้ที่เป็นสาวกของพระเยซูอีกประการหนึ่งก็คือ  จะต้องเป็นผู้ที่เสียสละ  พระเยซูตรัสว่า  "ผู้ใดมิได้แบกกางเขนของตนตามเรามา  ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้" (ลูกา 14.27)  จากข้อความนี้หมายความว่าผู้ที่จะเป็นสาวกของพระเยซูได้นั้นจำเป็นต้องยินดีเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก  การถูกข่มเหง  ยินดีที่จะเสียสละชีวิตของตนเองเพื่อพระนามของพระเยซู  เพราะความรักความเชื่อของเราที่มีต่อพระองค์  คุณสมบัติอีกประการหนึ่งคือ  จะต้องเป็นผู้ที่บังเกิดผลมาก  พระเยซูตรัสว่า  "พระบิดาของเราได้รับเกียรติยศเพราะสิ่งนี้  คือเมื่อท่านเกิดผลมาก ท่านทั้งหลายจึงเป็นสาวกของเรา"  (โยฮัน 18.8)  การเกิดผลนี้หมายความว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีความขยันหมั่นเพียรในการเป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้คนอื่นในการสั่งสอนและแนะนำคนอื่นเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู  และหมายความว่าจะต้องเป็นผู้ที่เสริมสร้างอุปนิสัยของตนเองไปในทางที่ดีงามเป็นผลดีทุกอย่าง  บรรดาคริสเตียนทั้งหลายในยุคแรกเป็นที่รู้จักในนามสาวกของพระเยซู  แต่ต่อมาได้ถูกเรียกว่าเป็นคริสเตียนครั้งแรกที่เมืองอันติโอเกีย ซีเรีย  ซึ่งอยู่ทางด้านเหนือของปาเสลไตน์   (กิจการ 11.26)
    ขอชี้แจงเพิ่มเติมอีกนิดเกี่ยวกับความแตกต่างของสาวกและอัรสาวก  อัครสาวกเป็นผู้ที่พระเยซูเลือกไว้เป็นพิเศษทั้งหมดรวมทั้งเปาโลด้วยเป็น 13 คน  ผู้ที่เป็นอัครสาวกได้นั้นจะต้องมีคุณสมบัติตามที่พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บ่งไว้  ใน กิจการ 1.21  และ 1โกรินโธ 9.1  คือจะต้องเป็นผู้ที่อยู่เคยชินกับพระเยซูตั้งต้นจากวันที่พระเยซูรับบัพติศมาจากโยฮันบัพติศมา ไปจนถึงวันที่พระเยซูถูกรับขึ้นบนสวรรค์  อัครสาวกอาจจะถูกเรียกว่าเป็นสาวกได้  แต่ผู้ที่เป็นสาวกจะเป็นอัครสาวกไม่ได้
    ข. คริสเตียนเป็นผู้ประพฤติตามแบบพระเยซู  หมายความว่าจะต้องเป็นผู้ที่พยายามเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ในความประพฤติทุกอย่าง  พระเยซูเป็นผู้บริสุทธิ์ในทางกาย  วาจา  และใจ  เราก็จะต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยเหมือนกัน  (1เธซะโลนิเก 5.23)  ในภาษากรีกคำว่า "คริสเตียน" มาจากคำว่า "คริสต์โตส"  หมายความว่าเป็นเหมือนกับพระเยซู  เราจะเป็นเหมือนกับพระองค์ได้อย่างไร  ชีวิตของผู้ที่ติดตามพระเยซูทุกคนจะต้องเป็นเหมือนพระองค์  หมายความว่าเมื่อเพื่อนบ้านเห็นชีวิตของคริสเตียนจะเห็นชีวิตของพระเยซูในตัวคนนั้น
    ค. คริสเตียนเป็นความสว่างของโลก  ในโลกนี้มีสองอาณาจักร คือ อาณาจักรแห่งความมือ  และอาณาจักรแห่งความสว่าง  ผู้ที่อยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด  คือผู้ที่ประพฤติอยู่ในความบาป  ส่วนผู้ที่อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง  เป็นผู้ที่ประพฤติในความชอบธรรม  คริสเตียนจะต้องเป็นเหมือนแสงสว่างที่ส่องอยู่ในโลก  "ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งแผ่นดินโลก  ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว  จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้?  แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร  มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ  ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก เ มืองซึ่งสร้างไว้บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้" (มัดธาย 5.13-14)  กฎแห่งความรักของพระเยซูเป็นกฎที่บังคับจิตใจของพวกคริสเตียนทั้งหลายให้ประพฤติในสังคมที่น่านับถือแก่คนทั่วไป  ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรก็ตาม  คริสเตียนจะช่วยกู้ฐานะของคนให้ดีขึ้น  ในชีวิตความเป็นอยู่  เขาสามารถเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี  เป็นมารดาที่ดี  เป็นลูกที่ดี  เป็นครูที่ดี  เป็นข้าราชการที่ดี  และเป็นคนงานที่ดีในสถานที่ทำงานที่ไหนก็ตาม  และยิ่งไปกว่านั้นพระเจ้าสอนให้คริสเตียนมีหน้าที่รับผิดชอบต่อรัฐบาลให้ความเคารพเชื่อถือกฎหมาย  บ้านเมือง  เสียภาษีอากรให้รัฐบาล  เพราะฉะนั้นคริสเตียนจึเป็นความสว่างที่ส่องอยู่ในโลกนี้
    ง. คริสเตียนเป็นสิทธิชน  สิทธิชนหมายความว่าอย่างไร  สิทธิชนคือผู้ที่พระเจ้าได้ชำระให้บริสุทธิ์  เป็นผู้ที่พ้นจากความบาป  เป็นพวกที่แยกตนเองออกจากโลกแห่งความมืด และเป็นพวกที่ได้ถวายชีวิตของเขาเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า  ยกตัวอย่างจากข้อความจากพระคัมภีร์  "คำนับมายังคริสตจักรของพระเจ้าซึ่งอยู่ที่เมืองโกรินโธ ...และซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกให้เป็นสิทธิชน"  (1โกรินโธ 1.2)  สิทธิชนนั้นก็คือคริสเตียนนั่นเอง   ข้อความอีกแห่งหนึ่ง  "ให้ขอบพระคุณพระบิดาผู้ทรงบันดาลให้เราทั้งหลายสมที่จะเข้าส่วนได้รับมฤดกด้วยกันกับสิทธชนในความสว่าง  ผู้ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอำนาจแห่งความมืด และได้ทรงย้ายเรามาตั้งไว้ในแผ่นดินแห่งพระบุตรที่รักของพระองค์"  (โกโลซาย 1.12-13)  จากข้อความนี้ชี้แจงว่า สิทธชนคือผู้เหล่านั้นที่พระเยซูได้แยกเขาทั้งหลายออกจากความมืดเข้ามาสู่อาณาจักของพระเยซูเอง  มีนิกายที่สอนผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้  โดยเฉพาะพวกนิกายสอนว่าผู้ที่จะเป็นสิทธชนได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ไม่แต่งงาน  และเป็นผู้ที่ตายไปแล้วเป็นเวลาหลายปี  อย่างเช่น พวกโรมันคาธอลิค ตั้งชื่อ เซนต์หลุยส์,  เซนต์จอห์น  ฯลน
    จ. คริสเตียนเป็นพวกปุโรหิต  ปุโรหิตคือผู้ใด?  ปุโรหิตคือผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับพิธีในทางศาสนา  คำว่าปุโรหิตในที่นี้ไม่มีความหมายเหมือนกับปุโรหิตในพระคริสตธรมเดิม  ซึ่งพวกปุโรหิตจะต้องมาจากตระกูลเลวี  เป็นผู้ที่มีหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าในพลับพลาหรือในพระวิหารที่อยู่กรุงยะรูซาเล็ม  เช่น ถวายเครื่องบูชา  ส่วนคำว่าปุโรหิตในที่นี้หมายถึงผู้ที่เป็นสิทธชนทุกคนเป็นปุโรหิตในเวลาเดียวกัน  นิกายโรมันคาธอลิคสอนว่าพวกบาทหลวง, สังฆราช, สันตะปาปา  พวกเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นปุโรหิต  คำสอนนี้เป็นคำสอนที่ผิดไปจากพระคริสตธรรมคัมภีร์  โปรดพิจารณาดูข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้  "ท่านทั้งหลายก็ดุจหินที่มีชีวิตอยู่ กำลังถูกก่อขึ้นเป็นวิหารสำหรับวิญญาณ เป็นพวกปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาสมกับวิญญาณจิตต์ ซึ่งเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าโดยพระเยซูคริสต์" (1เปโตร 2.5)   "ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน และซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านทั้งหลายไม่ใช่เจ้าของกาย" (1โกรินโธ 6.19)  ข้อนี้ชี้แจงให้เห็นว่าร่างกายของเราเป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อที่รักษาร่างกายของเราให้บริสุทธิ์ คือในการที่เราจะดำรงชีวิตที่บริสุทธิ์  พระคัมภีร์อีกข้อหนึ่ง "และทรงตั้งเราไว้ให้เป็นอาณาจักรและเป็นปุโรหิตของพระเจ้า และของพระบิดาของพระองค์"  (วิวรณ์ 1.6)
     มีข้อพระคริสตธรรมพระคัมภีร์อีกมากที่สอนเกี่ยวกับชีวิตคริสเตียน  ที่นำมากล่าวแล้วคงจะเป็นที่จุใจแล้วว่าคริสเตียนเป็นผู้ใด  เขามีชิวิตอย่างไร  เป็นประโยชน์หรือโทษแก่สังคม
 

ตอบคำถามแบบทดสอบ บทที่ 3  คลิกที่นี่

บทที่4