บทที่ 2

 

ยุคบรรพบุรุษ ภาคสอง


38. อับราฮามกับยิศฮาค  เก้าชั่วอายุคนหลังจากน้ำท่วมโลก  มนุษย์ถดถอยลงในความเชื่อ  พวกเขาทั้งหลายได้พากันสร้างหอสูงให้มียอดเทียมฟ้า  มีจุดประสงค์เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง  พระเจ้าบันดาลให้ภาษาของเขาวุ่นวายไปพูดกันไม่เข้าใจ  พวกเขาจึงได้พลัดพรากกระจัดกระจายไปอาศัยตามสถานที่ต่างๆในโลก (เยเนซิศ 11:1-9) ยิ่งมีจำนวนคนเพิ่มมนุษย์ก็ยิ่งทำบาปมากขึ้น


39. ในช่วงเวลาที่สับสนวุ่นวายที่มนุษย์ได้กระทำความบาป  พระเจ้าได้เลือกอับราฮามเหมือนที่พระเจ้าเลือกโนฮาหลายศตวรรษก่อนหน้าเขาได้ยืนขึ้นเหนือคนอื่นๆในยุคนั้น  เพราะต้องการให้พระเจ้าพอพระทัยเพราะความเชื่อของอับราฮามท่านรักและเชื่อฟังพระเจ้า  ดังนั้นพระเจ้าจึงได้สั่งให้อับราฮามอกไปจากประเทศและญาติพี่น้องของท่าน  พระเจ้าตรัสสั่งว่า “เจ้าต้องออกจากเมืองจากญาติพี่น้องจากเรือนบิดาของเจ้าไปยังแผ่นดินที่เราจะชี้ให้เจ้า” (เยเนซิศ 12:1)พกระเจ้าได้สัญญาว่าเผ่าพันธุ์ของอับราฮามคือพระเยซูจะมาบังเกิด (ฆะลาเตีย 3:16)


40. ภายหลังพระเจ้าได้ทบทวนคำสัญญาของพระองค์แก่อับราฮามหลายครั้ง  พระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮามว่าลูกหลานของท่านจะมีมากมายดุจดวงดาวในท้องฟ้าและดุจดังทรายที่ชายทะเล (เยเนซิศ 15:1-6,22:15-18) ตอนที่พระเจ้าสัญญากับอับราฮามท่านยังไม่มีบุตรและมีอายุชรามากแล้ว (โรม 4:18-20)


41. ในที่สุดพระเจ้าได้ส่งบุรุษสามคนไปพบอับราฮาม  ได้ไปบอกข่าวดีแก่อับราฮามซึ่งขณะนั้นท่านอาศัยอยู่มัมเร  พวกเขาได้เผยแก่ท่านว่า  อับราฮามกับซาราจะมีบุตร (เยเนซิศ 18:1-10) บัดนี้พระเจ้าเริ่มทำให้พระสัญญาของพระองค์แก่อับราฮามสำเร็จ


42. เมื่อนางซาราได้ยินคำบอกคำสนทนาดังกล่าว  นางหัวเราะในใจของนาง เพราะนางกับอับราฮามมีอายุมากเกือบร้อยปีแล้วแก่เกินไปที่จะมีบุตร  และแก่เกินไปที่จะเป็นพ่อแม่คน (เยเนซิศ 18:11-15) หลังจากนั้นสามารถขอบคุณพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า  เพราะพระเจ้าประทานยิศฮาคบุตรชายได้เกิดขึ้นตามคำสัญญาไว้ภายในหนึ่งปีหลังจากนางซาราได้หัวเราะ (เยเนซิศ 21:1-5)


43. เมื่อยิศฮาคเติบโตขึ้น  อับราฮามได้ส่งบ่าวให้ไปหาภรรยาให้เป็นภรรยาของยิศฮาค (เยเนซิศ 24:1-67) เหมือนซารามารดาของยิศฮาคที่เป็นหมันไม่สามารถมีบุตรได้เป็นเวลานาน  อย่างไรก็ตามเมื่อยิศฮาคได้ทูลขอต่อพระเจ้าพระองค์ได้อวยพรให้ทั้งสองมีบุตรชายฝาแฝด  ยาโคบกับเอซาว (เยเนซิศ 25:20-26)


44. ยาโคบกับโยเซฟ  ทั้งสองคนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงตามที่ปรากฏในพระคัมภีร์  ยาโคบบุตรฝาแฝดคนหนึ่งของยิศฮาค  ในที่สุดได้เป็นบิดาของบุตรชายสิบสองคน  (เยเนซิศ 35:22-26) ในบรรดาลูกสิบสองคน  โยเซฟเป็นบุคคลที่มีคนรู้จักกันมากที่สุดในพระคัมภีร์


45. โยเซฟเป็นบุตรชายคนแรกของยาโคบที่เกิดจากนางราเฮ็ล  ยาโคบ รักและโปรดปรานโยเซฟมาก  จึงมีความลำเอียงต่อโยเซฟและมอบเสื้อหลายสีให้โยเซฟเป็นพิเศษ  เพราะความลำเอียงดังกล่าวพวกพี่ๆจึงพากันรังเกียจโยเซฟ (เยเนซิศ 37:3-4) แม้ว่าชีวิตของโยเซฟมีความยุ่งยากลำบากแต่โยเซฟมีความสุขได้  เพราะความเชื่ออันลึกซึ้งในพระบิดาเจ้าในสวรรค์


46. ขณะที่โยเซฟยังเป็นเด็ก  ได้ฝันว่าฟ่อนข้าว และดวงดาวต่างๆพากันโค้งคำนับต่อหน้าเขา  ทำนายว่าพวกพี่ๆและพ่อแม่จะพากันโค้งคำนับต่อหน้าเขา  ความฝันของโยเซฟทำให้พวกพี่ๆพากันอิจฉา (เยเนซิศ 37:5-11) แต่มาภายหลังเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้ได้เกิดขึ้นตามความเป็นจริง  พระเจ้าได้ตรัสแก่โยเซฟโดยความฝันเหล่านี้


47. เมื่อโยเซฟอายุ 17 ปี  ยาโคบบิดาได้ใช้ให้โยเซฟไปดูพวกพี่ๆว่าเป็นยังไงขณะที่พวกพี่เลี้ยงฝูงแกะอยู่ห่างไกลออกไปอีก 50 ไมล์ (เยเนซิศ 37:12-14) การเดินทางไปเยี่ยมเยียนพวกพี่ๆครั้งนี้เป็นอันตรายสำหรับโยเซฟมากเพราะพวกพี่ๆเกลียดชังโยเซฟ  แล้วโยเซฟก็ได้เดินทางไปพบพวกพี่ๆโดยหารู้ไม่ว่าเขาจะไม่พบกับบิดาอีกจนกว่าอีก 22 ปีข้างหน้า

48. “โยเซฟในประเทศอียิปต์” เป็นหัวข้อใหญ่ที่จะศึกษาชีวิตของโยเซฟส่วนที่เหลือ  เราจะได้ศึกษาว่าโยเซฟได้ถูกพวกพี่ๆขายไปในประเทศอียิปต์แต่ในที่สุดได้แต่งตั้งให้เป็นอุปราชในประเทศอียิปต์


49. เมื่อโยเซฟเดินทางมาถึงค่ายพักของพวกพี่ๆ  พวกเขาได้จับตัวโยเซฟได้ถอดเสื้อหลายสีออกแล้วจับโยนลงไปในบ่อน้ำ  แม้ว่าโยเซฟจะร้องขอความเมตตา  พวกพี่ๆได้พากันขายโยเซฟให้กองคาราวานที่กำลังเดินทางไปยังประเทศอียิปต์  พวกเขาได้นำเอาเสื้อหลายสีของโยเซฟจุ่มในเลือดแพะแล้วนำเสื้อกลับไปหลอกลวงบิดาว่าโยเซฟได้ถูกสัตว์ร้ายทำลายชีวิต (เยเนซิศ 37:17-35)


50. ในประเทศอียิปต์  โยเซฟถูกขายให้แก่โฟติฟาผู้บัญชาการกองทหารมหาดเล็ก (เยเนซิศ 37:36, 39:1) หลังจากนั้นไม่นานโฟติฟาได้ตั้งให้โยเซฟเป็นผู้ดูแลด้านการเงิน  เป็นตำแหน่งที่ได้รับการยอมรับ  ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยจนเมื่อภรรยาของโฟติฟารักโยเซฟ  เมื่อโยเซฟไม่ได้สนองตามที่เธอต้องการ  เธอได้กล่าวเท็จใส่ร้ายโยเซฟกล่าวหาว่าโยเซฟได้ปลุกปล้ำเธอ  โฟติฟาสามีของเธอได้จับโยเซฟขังคุก (เยเนซิศ 39:2-20)


51. แม้ว่าอยู่ในคุกโยเซฟได้รับพระกรุณาได้รับการปกป้องคุ้มครองจากพระเจ้า  ไม่นานหลังจากนั้นโยเซฟได้รับการตั้งให้เป็นผู้ดูแล   บรรดานักโทษทั้งหลายที่อยู่ในคุก  พระเจ้าได้ประทานฤทธิ์อำนาจให้โยเซฟแปลความหมายความฝันของพนักงานน้ำองุ่นและพนักงานเครื่องเสวยที่ติดคุกอยู่  พนักงานเครื่องเสวยน้ำองุ่นฝันว่าเขาได้ถวายน้ำองุ่นให้กษัตริย์ฟาโรห์อีก  พนักงานเครื่องเสวยได้ฝันไปว่าขนมปังของเขาถูกนกจิกเอาไปกิน  โยเซฟแปลแปลความหมายความฝันของพนักงานเครื่องเสวยจะกลับเข้าไปรับราชการเหมือนเดิม  และแปลความฝันของพนักงานเครื่องเสวยว่าเขาจะถูกแขวนคอ  ความฝันของคนทั้งสองได้เกิดขึ้นเป็นความจริง (เยเนซิศ 39:21-40:23)


52. อีกสองปีต่อมากษัตริย์ฟาโรห์ได้ทรงสุบิน  ได้เห็นวัวอ้วนเจ็ดตัวขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์  วัวอ้วนถูกวัวซูบผอมเจ็ดตัวกินหมด  แต่วัวผอมก็ยังผอมเหมือนเดิมไม่อ้วนขึ้นเลย  (เยเนซิศ 41:1-4)


53. ความฝันอีกอย่างที่คล้ายคลึงกัน  กษัตริย์ฟาโรห์ฝันเห็นต้นข้าวมีรวงข้าวที่สมบูรณ์เจ็ดรวงถูกต้นข้าวลีบม้านกลืนกินรวงข้าวที่สมบูรณ์นั้นหมด  แต่รวงข้าวลีบม้านก็ยังลีบม้านเหมือนเดิม  ไม่มีนักปราชญ์และพวกโหรของกษัตริย์ฟาโรห์สักคนแปลความหมายพระสุบินของกษัตริย์ฟาโรห์ได้ (เยเนซิศ 41:5-8)


54. ในที่สุดพนักงานน้ำองุ่นระลึกถึงโยเซฟได้  แปลความฝันของเขาเมื่อสองปีที่ผ่านมา  ทันทีที่กษัตริย์ฟาโรห์ได้เรียกโยเซฟออกมาจากคุกเพื่อแปลพระสุบินของกษัตริย์ฟาโรห์  หลังจากที่โยเซฟบอกว่าพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถแปลความฝันได้  โยเซฟเปิดเผยว่าวัวอ้วนเจ็ดตัวกับรวงข้าวสมบูรณ์เจ็ดรวง  หมายถึงเจ็ดปีที่อุดมสมบูรณ์  แต่วัวซูบผอมและรวงข้าวลีบผอมหมายถึงเจ็ดปีแห่งการกันดารอาหารที่จะเกิดขึ้นตามมา (เยเนซิศ 41:9-37)


55. กษัตริย์ฟาโรห์ประทับใจโยเซฟมาก  ได้แต่งตั้งให้โยเซฟทำหน้าที่เป็นพนักงานเพื่อทำหน้าที่สะสมข้าวไว้ในยุ้งฉางในช่วงเจ็ดปีที่สมบูรณ์เพื่อเผชิญกับเจ็ดปีแห่งการกันดารที่จะตามมา  โยเซฟได้ถูกตั้งให้เป็นอุปราชนับว่ามีอำนาจที่สองรวงจากกษัตริย์ฟาโรห์ (เยเนซิศ 41:38-45) เมื่อไม่นานได้มีการค้นพบยุ้งฉางอยู่ใต้พื้นที่สามารถบรรจุข้าวได้หลายร้อยตัน  นักวิชาการเชื่อว่ายุ้งฉางที่ได้พบเหล่านี้เชื่อว่าเป็นซากปลักหักพังของคลังเก็บสินต่างๆ


56. หลังจากเจ็ดปีอุดมสมบูรณ์ผ่านไป  โลกทั่วไปรวมทั้งแผ่นดินคะนาอันได้ประสบกับการกันดารอาหาร  พวกพี่ๆของโยเซฟจำเป็นต้องเดินทางจากแผ่นดินคะนาอันมายังประเทศอียิปต์  พวกเขาได้มายืนต่อหน้าโยเซฟเพื่อจะซื้ออาหารเป็นเวลา 21 ปีผ่านไปพวกพี่ๆไม่สามารถจำโยเซฟได้  ในภาพนี้เราเห็นพวกพี่ๆได้ก้มกราบลงต่อหน้าโยเซฟเหมือนที่เขาได้ฝันตอนเป็นเด็กดังที่ได้ทำนายเอาไว้  (เยเนซิศ 41:53-42:8)


57. หลังจากนั้นโยเซฟได้เปิดเผยตัวเองให้แก่พวกพี่ๆ  และได้ยกโทษให้พวกเขาจากการที่ได้ขายเขาไปเป็นทาสในประเทศอียิปต์  จากนั้นโยเซฟได้แนะนำพวกพี่ๆให้แก่กษัตริย์ฟาโรห์  ภายหลังกษัตริย์ฟาโรห์ได้ต้อนรับพวกเขาให้เข้ามาอยู่ในประเทศอียิปต์  ด้วยการเชื้อเชิญของกษัตริย์ฟาโรห์ยาโคบได้พาลูกหลานทั้งหมดอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศอียิปต์  และได้เลือกเมืองโกเซนเป็นที่อาศัย (เยเนซิศ 45:1-46:28) ที่เมืองโกเซนพวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่นหลายชั่วอายุ  จำนวนคนได้เพิ่มขึ้นเป็นประเทศใหญ่จนได้ถูกขนานนามว่า “ลูกหลานยิศราเอล” (เอ็กโซโดเ 1:7)

58. โยเซฟตายเมื่ออายุ 110 ปี  ก่อนที่โยเซฟจะตายโยเซฟรู้ล่วงหน้าว่าพลไพร่ของยิศราเอลจะเดินทางกลับไปยังแผ่นดินแห่งพระสัญญา  โยเซฟได้สั่งให้พวกยิศราเอลรักษาร่างของเขาและให้นำไปฝังไว้ในแผ่นดินคะนาอัน (เยเนซิศ 50:22-26, เฮ็บราย 11:22) ความปรารถนาของโยเซฟประสบความสำเร็จภายใต้การเป็นผู้นำของโมเซและยะโฮซูอะหมายปีต่อมา  (เอ็กโซโด 13:19, ยะโฮซูอะ 24:32)


59. การเกิดของโมเซ  ได้เกิดขึ้นหลายปีหลังจากที่โยเซฟตายไป  ราชวงศ์ใหม่ได้ขึ้นมาครองราชย์ในประเทศอียิปต์และได้ข่มเหงเบียดเบียนพลไพร่ของโยเซฟโดยไม่คำนึงถึงสิ่งดีงามต่างๆที่โยเซฟได้ทำไว้ในประเทศอียิปต์  กษัตริย์ฟาโรห์องค์ใหม่ทำให้ชีวิตของชนชาติยิศราเอลทนทุกข์ยากลำบากแทบแบกไม่ไหว ไร้ความเมตตาปราณี บังคับให้พวกเขาเป็นทาส  โมเซได้ถือกำเนิดในสมัยของฟาโรห์องค์ใหม่


60. นโยบายลดจำนวนชนชาติยิศราเอลในประเทศอียิปต์  กษัตริย์ฟาโรห์ใจอำมหิตได้ออกคำสั่งให้ฆ่าทารกเพศชายโยนในแม่น้ำไนล์  เพื่อจะช่วยชีวิตบุตรชายของตัวเองแม่ของโมเซได้ซ่อนทารกไว้สามเดือน  แต่ในที่สุดนางได้สานตะกร้าทำเป็นเปลและปล่อยทารกให้ลอยไปตามลำแม่น้ำไนล์ (เอ็กโซโด 2:1-4)


61. ธิดาของกษัตริย์ฟาโรห์ได้พบทารกโมเซและรักทารกทันที  พระนางได้รับทารกไปเลี้ยงดูในพระราชวังเป็นบุตรของตนเอง  โดยพระกรุณาธิคุณของพระเจ้าธิดาของกษัตริย์ฟาโรห์ได้อนุญาตให้มิระยามพี่สาวไปตามมารดาตัวจริงมาทำหน้าที่เป็นแม่นมเลี้ยงดูทารกโมเซ (เอ็กโซโด 2:5-10) เรื่องราวที่รู้จักกันดีนี้สำแดงให้เห็นพระกรุณาธิคุณของพระเจ้าที่ห่วงใยพลไพร่ของพระองค์


62. แม่ตัวจริงของโมเซ  ได้ทำหน้าที่เลี้ยงดูทารกโมเซ  โมเซได้เรียนรู้จากมารดาของตนว่าเขาเป็นพลไพร่ที่พระเจ้าทรงเลือกเป็นพวกเฮ็บรายหรือชนชาติยิศราเอล  เมื่อโมเซเติบโตขึ้นท่านก็ยิ่งไม่มีความสุขที่ได้เห็นพลไพร่ของตนเองถูกข่มเหงรังแกเบียดเบียนทารุณต่างๆ นาๆ จากเงื้อมเมือของพวกอียิปต์


63. โมเซต่อต้านการทารุณของพวกอียิปต์ไม่ไหว  จนเมื่อโมเซมีอายุได้ 40 ปีได้ฆ่าชาวอียิปต์คนหนึ่งที่ได้เฆี่ยนตีชาวเฮ็บราย  โมเซได้ตัดสินใจเลือกที่จะปกป้องพลไพร่ของพระเจ้าแทนการใช้ชีวิตเสวยสุขอยู่ในพระราชวัง  ด้วยความกลัวโมเซได้หนีไปอยู่ที่แผ่นดินมิดยาน  ที่นั่นโมเซได้ใช้ชีวิตเป็นผู้เลี้ยงแกะเป็นเวลา 40 ปี (เอ็กโซโด 2:11-15, กิจการ 7:23-30)


64. โมเซปลดปล่อยชนชาติยิศราเอลพ้นจากการเป็นทาส  หลังจากที่พระเจ้าเตรียมโมเซให้มีความพร้อมสำหรับภารกิจนี้  การใช้ชีวิตในดินแดนทุระกันดารในป่าทรายเป็นที่ท้าทายเป็นการตระเตรียมโมเซให้มีความพร้อมสำหรับภารกิจอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขาเพื่อนำพลไพร่ของพระเจ้าออกมาจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์


65. พระเจ้าทรงเรียกโมเซให้เป็นผู้รับใช้ที่ไม่ธรรมดา  พระเจ้าทรงตรัสกับโมเซออกจากพุ่มไม้ที่มีไฟลุกโชนแต่ต้นไม้ไม่ไหม้มอดไป (เอ็กโซโด 3:1-2, กิจการ 7:30-34) “ครั้นพระยะโฮวาทรงทอดพระเนตรเห็นโมเซแวะเข้าไปดู พระองค์จึงตรัสออกมาจากพุ่มไม้นั้นว่า "โมเซ โมเซเอ๋ย" แล้วโมเซทูลตอบว่า "ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่"  ...เหตุฉะนี้จงมาเถิด เราจะใช้เจ้าไปเฝ้ากษัตริย์ฟาโรห์เพื่อเจ้าจะได้พาชาติยิศราเอลพลไพร่ของเราออกจากประเทศอายฆุบโต” (เอ็กโซโด 3:4,10)


66. โมเซได้เดินทางกลับไปยังประเทศอียิปต์  ได้รับการต้อนรับจากชนชาติยิศราเอลที่เป็นทาส  ด้วยความร่วมมือจากอาโรนพี่ชายของโมเซได้ทำหน้าที่เป็นผู้พูดแทนโมเซ  โมเซวางแผนที่จะช่วยให้พลไพร่ของเขาให้หลุดพ้นจากการเป็นทาส (เอ็กโซโด 4:27-31)


67. โมเซกับอาโรนได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้ากษัตริย์ฟาโรห์  เพื่อบอกจุดประสงค์ของตนที่เข้ามาเฝ้า  ในระหว่างที่มีการสนทนาฟาโรห์ได้ตอบแก่โมเซด้วยความยะโสว่า "พระยะโฮวานั้นเป็นผู้ใดเล่า ที่เราจะต้องฟังคำของท่านและปล่อยชนชาติยิศราเอลไป เราไม่รู้จักพระยะโฮวา และยิ่งกว่านั้นเราจะไม่ปล่อยชนชาติยิศราเอลให้ไปเลย" (เอ็กโซโด 5:1-2) ในโอกาสที่ได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ฟาโรห์ครั้งต่อไป  เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าพระเจ้าทรงมีฤทธิ์อำนาจ  อาโรนได้โยนไม้เท้าของโมเซลงต่อหน้ากษัตริย์ฟาโรห์และไม้เท้านั้นกลายเป็นงู (เอ็กโซโด 7:8-10)

68. ครั้งแรกกษัตริย์ฟาโรห์ได้ประทับใจ  กับการมหัศจรรย์นั้น  เพราะนักเล่นกลของกษัตริย์ฟาโรห์ก็สามารถทำได้เช่นกัน  แต่งูของโมเซได้กลืนงูของนักเล่นกลหมด  นี่สำแดงให้เห็นไม่มีอำนาจใดๆมีอำนาจเหนือฤทธานุภาพของพระเจ้าได้  แต่กษัตริย์ฟาโรห์ยังมีใจแข็งกระด้างปฏิเสธไม่ยอมปล่อยชนชาติยิศราเอลให้พ้นจากการเป็นทาส (เอ็กโซโด 7:11-13)


69. ทันทีโมเซได้เรียกร้องให้ฟาโรห์ปล่อยให้ชนชาติยิศราเอลเป็นอิสระจากการเป็นทาส  อีกครั้งหนึ่งกษัตริย์ฟาโรห์ปฏิเสธยังผลให้กษัตริย์ฟาโรห์และพลเมืองได้เผชิญกับภัยพิบัติจากพระหัตถ์ของพระเจ้า  พระเจ้าได้แช่งสาปพวกอียิปต์ด้วยภัยพิบัติ 10 ประการ  เช่นฝูงริ้น ฝูงกบ น้ำกลายเป็นเลือด ความมืด และภัยพิบัติอื่นๆอีก  (เอ็กโซโด 7:14-10:29) ภัยพิบัติแต่ละอย่างที่ได้เกิดขึ้นสำแดงให้เห็นฤทธานุภาพของพระเจ้าเที่ยงแท้เหนือเทพเจ้าชนิดต่างๆที่ชาวอียิปต์นับถือ


70. แทนที่กษัตริย์ฟาโรห์จะยอมปล่อยชนชาติยิศราเอล  ฟารโรห์ยิ่งเพิ่มภาระให้ชนชาติยิศราเอลทำงานหนักมากขึ้น  ชนชาติยิศราเอลได้อธิษฐานพระเจ้าเพื่อให้ช่วยปลดปล่อยจากการเป็นทาส  พระเจ้าได้สดับฟังเสียงร้องจากพวกเขา  หลังจากที่เกิดภัยพิบัติ 9 ประการแต่พวกอียิปต์พระเจ้าตรัสแก่โมเซว่า “เราจะนำมหาภัยมายังกษัตริย์ฟาโรและประเทศอายฆุบโตอีกอย่างหนึ่ง ภายหลังท่านจะปล่อยพวกเจ้าไปจากที่นี่ เมื่อท่านให้พวกเจ้าไปคราวนี้ ท่านจะขับไล่พวกเจ้าออกไปทีเดียว” (เอ็กโซโด 11:1)


71. เพื่อปกป้องพลไพร่ของพระเจ้าที่จะเกิดภัยพิบัติประการสุดท้าย  พระเจ้าตรัสสั่งให้ทุกครอบครัวฆ่าแกะแล้วนำเลือดแกะทาไว้ที่ด้านบนของกรอบประตูหน้าบ้าน (เอ็กโซโด 12:1-7) ภัยพิบัติสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นคือลูกหัวปีและสัตว์หัวปีทั่วประเทศอียิปต์จะตายเสียสิ้น  ยกเว้นบ้านของชนชาติยิศราเอลที่มีเลือดทาไว้ที่กรอบประตู (เอ็กโซโด 11:4-7)


72. พระเจ้าทรงตรัสว่า “แต่เลือดที่ทาไว้ตามเรือนที่เจ้าทั้งหลายอยู่นั้นจะเป็นหมายสำคัญสำหรับเจ้า เมื่อเราเห็นเลือดนั้นเราจะเว้นเจ้าทั้งหลายไว้ มหาภัยนั้นจะไม่บังเกิดแก่เจ้า ขณะเมื่อเราจะผลาญประเทศอายฆุบโตนั้น” (เอ็กโซโด 12:13) เลือดแกะช่วยให้ชนชาติยิศราเอลพ้นจากความตาย  ภายหลังเราจะเรียนรู้ว่าพระโลหิตของพระเยซูช่วยเราทั้งหลายให้หลุดพ้นจากความบาปในอดีต  เมื่อเราได้เชื่อฟังพระองค์โดยการเป็นคริสเตียน (1เปโตร 1:18-19,22)


73. พระเจ้าได้รักษาคำสัญญาของพระองค์  พระเจ้าใช้ทูตสวรรค์ในกลางคืนเข้าไปในบ้านทุกบ้านในประเทศอียิปต์ที่ไม่มีเลือดทาไว้ที่กรอบประตูบุตรหัวปีของทุกบ้านจะเสียชีวิต  แม้ในพระราชวังของกษัตริย์ฟาโรห์ก็เสียชีวิตด้วยเหมือนกันหลังเที่ยงคืน  หลังจากภัยพิบัติครั้งนี้กษัตริย์ฟาโรห์ได้สั่งให้ชนชาติยิศราเอลออกไปจากประเทศอียิปต์ทันที (เอ็กโซโด 12:29-33) แต่หลังจากที่ชนชาติยิศราเอลกำลังเดินทางออกไปไกลจากอียิปต์กษัตริย์ฟาโรห์เปลี่ยนพระทัยและได้ยกทัพติดตามไปอย่างกระชั้นชิด  เพื่อจะทำลายพวกเขา (เอ็กโซโด 14:5-9)


74. ท่านได้ศึกษาประวัติศาสตร์ในยุคของบรรพบุรุษ, สวนเอเดน, การถวายเครื่องบูชาเพื่อความบาป,  ความชั่ว, น้ำท่วมโลก, อับราฮามกับยิศฮาค, ยาโคบกับโยเซฟ, โยเซฟในประเทศอียิปต์,  กำเนิดของโมเซ, การปลดปล่อยชนชาติยิศราเอล การศึกษาพระคัมภีร์ของเราตอนต่อไปจะศึกษาประวัติศาสตร์พระคัมภีร์ยุคโมเซรวมทั้งประวัติศาสตร์พระกำเนิดของพระเยซู  ชีวิตและการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า

75. เมื่อชนชาติยิศราเอลได้เดินทางออกจากอียิปต์  ด้วยคำตรัสสั่งของกษัตริย์ฟาโรห์  พวกเขาได้หลุดพ้นจากการเป็นทาสหลังจากที่ได้ใช้ชีวิตเป็นทาสมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน  แต่อีกไม่นานพวกเขาจะต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญกับวิกฤติต่างๆ  และพวกเขาต้องการความช่วยเหลือและการปกป้องจากพระเจ้าอีกต่อไป

 

ตอบคำถามแบบทดสอบ บทที่ 2  คลิกที่นี่

บทที่3