ทำอย่างไรจึงจะเป็นคริสเตียนได้
บุคคลที่ต้องการจะเป็นคริสเตียนเป็นความปรารถนาที่ถูกต้องที่สุดในชีวิต เพราะฉะนั้นการเป็นคริสเตียนไม่ควรถือเป็นเรื่องผิวเผิน เป็นคริสเตียนตามเขาไป ผู้ที่คิดจะเป็นคริสเตียนจำเป็นต้องคิดไตร่ตรองดูให้ดี ๆ มีหลายคนอยากเป็นคริสเตียนแต่ไม่อดทนที่จะเรียนรู้ให้เข้าใจเสียก่อน เมื่อเป็นคริสเตียนความเชื่อจึงไม่มั่นคง พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนไว้อย่างไรบ้างนารเปลี่ยนผู้ไม่มีศาสนา กับผู้ที่นับถือศาสนาอื่นให้มาเป็นคริสเตียน มีเงื่อนไขเป็นขั้น ๆ ที่พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนไว้ ซึ่งจำเป็นจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขแต่ละขั้นมีความสำคัญทั้งนั้น เราไม่สามารถกระโดดข้ามขั้นหนึ่งขั้นใด ที่กล่าวดังนี้ก็เพราะมีผู้สอนไม่ถูกต้องตามหลักพระคริสตธรรมคัมภีร์ เขาไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการเป็นคริสเตียนอย่างเคร่งครัด เขาเลือกเงื่อนไขที่พอใจเท่านั้น มีเงื่อนไขที่นำบุคคลเป็นคริสเตียนดังต่อไปนี้
1. จะต้องฟังคำสั่งสอน หมายความจะต้องมีผู้อธิบายให้ฟังเกี่ยวกับรายละเอียดของศาสนาคริสต์ที่จำเป็น จะเป็นโดยทางวิทยา โดยบทเรียนไปรษณีย์ โดยหนังสือ หรือโดยผู้สอนส่วนตัวก็ตาม การสอนโดยวิธีหนึ่งวิธีใดดังกล่าวก็ถือว่าเป็นวิธีที่ยอมรับ จะต้องได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์มากน้อยแค่ไหนจึงจะเป็นคริสเตียนได้ บางคนมีความปรารถนาอยากจะเป็นคริสเตียน แต่แก้ตัวว่าจะต้องเรียนให้รู้มากเสียก่อน เพราะฉะนั้นเราควรมีมาตรฐานอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่มีมาตรฐานอะไรที่จะตัดสินลงไปว่าจะต้องเรียนรู้มากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งที่สังเกตก็คือว่าจะต้องสอนสิ่งที่จำเป็นมากพอที่จะให้บุคคลเป็นคริสเตียนได้ และเมื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดก็ตามแจ้งความจำนงที่จะเป็นคริสเตียน เขาก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นได้ "เหตุฉะนั้นความเชื่อได้เกิดขึ้นก็เพราะได้ฟัง และการที่ได้ฟังนั้นก็เพราะฟังพระคำของพระคริสต์" (โรม 10.17) ฟังแล้วไม่ใช่ฟังเฉย ๆ จะต้องปฏิบัติตามด้วย มีคนเป็นจำนวนมากที่ได้ยินได้ฟังคำสั่งสอนของศาสนาคริสต์แล้วแต่ไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติตามแต่ไม่เคร่งครัด ก็จะพินาศในบึงไฟนรกด้วยเหมือนกัน "แต่ท่านทั้งหลายคงเป็นคนประพฤติตามคำนั้น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้น" (ยาโกโบ 1.22) ข้อความนี้ก็เหมือนกัน ชี้แจงว่าผู้ที่ฟังแล้วแต่ไม่ปฏิบัติตาม ก็เท่ากับว่าดูหน้าของตนในกระจกแก่ลืมไปเสียว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ตัวอย่างที่ดีในพระคัมภีร์ข้อหนึ่งใน กิจการ 8.31-32 เรื่องรวมจากพระคัมภีร์ตอนนี้บอกให้ทราบเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่มีความเชื่อในพระเจ้าเป็นขันทีกำลังอ่านหนังสือพระคัมภีร์ยะซายา ขณะที่กำลังอ่านด้วยตนเองไม่สามารถจะเข้าใจได้ ฟิลิปผู้เผยแพร่ศาสนาได้ไปพบกับท่านและได้ชี้แจงให้ท่านผู้นี้ทรายรายละเอียดเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์มากขึ้น
2. จะต้องมีความเชื่อ คริสต์ศาสนาเป็นศาสนาที่ยึดมั่นในความเชื่อ คำจำกัดความของคำว่า "ความเชื่อ" อยู่ในหนังสือ เฮ็บราย 11.1 "ฝ่ายความเชื่อนั้นคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรูสึกอย่างแน่นอนว่าสิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง" บุคคลจะเกิดความเชื่อได้อย่างไร ความเชื่อเกิดขึ้นจากการที่ได้ยินได้ฟังคำสั่งสอนจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ บุคคลจะต้องมีความเชื่ออะไรบ้างจึงจะเป็นคริสเตียนได้โดยสมบูรณ์
(ก) จะต้องมีความเชื่อในพระเจ้า พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนดังนี้ว่า "แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้วจะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าก็หามิได้ เพราะว่าผู้ที่มาหาพระเจ้าต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และต้องเชื่อว่าพระองค์เป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่ปลงใจแสวงหาพระองค์" (เฮ็บราย 11.6) ก่อนที่บุคคลจะเป็นคริสเตียนได้นั้น จะต้องมีความเชื่อเสียก่อนว่ามีพระเจ้าเป็นผู้สร้างสารพัดทุกสิ่งในจักรวาล พระองค์เป็นผู้ควบคุมสารพัดทุกสิ่งในจักรวาล ในบทเรียนหลักสูตรที่ 1 ได้เสนอหลักฐานพร้อมมูลที่จะทำให้บุคคลเกิดความเชื่อในพระเจ้าได้
(ข) จะต้องเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า คำว่า "เยซู" หมายความว่าพระผู้ช่วยให้รอดพ้นจากบาป คำว่า "คริสต์" หมายความว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ เป็นยอดชีวิตของเราทั้งหลาย และคำว่า "พระบุตรของพระเจ้า" หมายความว่าพระเยซูทรงมีสภาพเป็นพระบุตรของพระเจ้า ทรงมีศักดิ์ศรีเป็นพระเจ้า โยฮัน 1.1, เฮ็บราย 1.3-4 และในการที่บุคคลจะเป็นคริสเตียน จะต้องมีความเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า บทเรียนในหลักสูตรที่ 3 ได้ชี้แจงหลักฐานเกี่ยวกับ พระเยซูมากพอที่จะทำให้บุคคลเกิดความเชื่อในพระเยซูได้ ในหนังสือมัดธาย 16.13-16 ข้อความนี้เป็นคำสารภาพของอัครสาวกเปโตร ซึ่งได้สารภาพว่า พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ข้อความอีกข้อที่มีชื่อเสียงมากคือ โยฮัน 3.16 "เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะมิได้พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ จากข้อความนี้ชี้แจงว่าผู้ที่ไว้วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์เป็นมฤดก เพราะฉะนั้นก่อนผู้ใดจะเป็นคริสเตียนเขาจะต้องมีความเชื่อในพระเยซูเสียก่อน
(ค) จะต้องมีความเชื่อว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นคำสั่งสอนของพระเจ้าและพระเยซู พระเยซูทรงตรัสว่า "ถ้าผู้ใดไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเราผู้นั้นมีสิ่งหนึ่งซึ่งจะพิพากษาเขา คือคำที่เราได้กล่าวนั้นแหละจะพิพากษาเขาในวันที่สุด" (โยฮัน 12.14) คริสเตียนยึดมั่นในคำสั่งสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์เท่ากับชีวิต ทุกคำที่อยู่ในพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และจำเป็นที่คริสเตียนจะต้องปฏิบัติตาม เพราะพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าตรัสอะไรก็หมายความว่าสำคัญ มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะแก้ไขหรือดัดแปลงได้ "พระคัมภีร์ทุกตอนพระเจ้าได้ทรงประสามให้ย่อมเป็นประโยชน์สำหรับสั่งสอน สำหรับตักเตือน สำหรับดัดแปลงคนให้ดีขึ้น และสำหรับสอนให้รู้ในความชอบธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะได้เป็นผู้รอบคอบ คือเป็นผู้ที่ได้ถูกเตรียมไว้พร้อมแล้วสำหรับการดีทุกอย่าง" (2ติโมเธียว 3.16-17) จากข้อความตอนนี้สอนชัดว่าเราไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสืออื่นอีก เพราะพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นหนังสือที่เหมาะสมที่สุด ฉะนั้นก่อนที่บุคคลจะเป็นคริสเตียนได้นั้น เขาจำเป็นต้องมีความเชื่อว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าไม่ใช่เป็นหนังสือของมนุษย์
(ง) จะต้องเชื่อว่าคริสตจักรของพระคริสต์เป็นอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจิตตามแบบพระคริสตธรรมคัมภีร์ เราพบว่ามีคริสตจักรเดียวไม่ใช่หลายคริสตจักร คริสตจักรเดียวนั้นเป็นที่รวบรวมพลไพร่ของพระเจ้าเข้าเป็นหมู่เดียวกัน ชนทั้งหลายเหล่านี้เป็นพวกที่พระเจ้าได้ไถ่ให้รอดแล้วโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ชนเหล่านี้ที่รวมเข้าเป็นหมู่นั้นเราเรียกว่า "คริสเตียน" เป็นพี่น้องอยู่ในครอบครัวเดียวกันซึ่งมีพระเจ้าเป็นพระบิดา ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้จะช่วยอธิบายใจความนี้เพิ่มเติมอีก ถ้าท่านมีพระคัมภีร์กรุณาเปิดดู โรม 16.16, โกโลซาย 1.18, เอเฟโซ 1.22-23, เอเฟโซ 4.4, 1ติโมเธียว 3.15, กิจการ 20.28, 1โกรินโธ 1.1-2, 1โกรินโธ 2.12, วิวรณ์ 1.6 จำเป็นอย่างยิ่งที่บุคคลจะต้องเข้าใจเรื่องคริสตจักรแท้เสียก่อน ถ้ามิฉะนั้นจะเกิดความสับสนขึ้นภายหลังเพราะมีผู้สอนไม่ถูกต้องมากมาย ผู้สอนเท็จเหล่านั้นล้วนมีความเชื่ออย่างเดียวกัน มีพระเจ้าองค์เดียว มีพระเยซูองค์เดียว มีพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้า ความเชื่ออย่างนี้ไม่พอเพราะจำเป็นที่บุคคลจะต้องเข้าใจเรื่องคริสตจักรที่แท้ตามหลักคำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์เสียก่อน
และมีนิกายสอนผิดเรื่องเงื่อนไขในการเป็นคริสเตียน นิกายสอนว่ามีความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นก็พอ บางคนยังได้กล่าวต่อไปว่า มนุษย์เป็นคนบาปเราไม่สามารถรอดพ้นจากบาปได้ แต่โดยพระคุณของพระเจ้าสามารถช่วยให้เราพ้นจากบาปได้ พระคุณของพระเจ้าทรงมีมากมายเหนือมนุษย์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องทำอะไรมากเพียงแค่มีความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นก็พอ การที่คนเราจะมีความเชื่อนั้นก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่ความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นไม่ถูกต้องตามพระประสงค์ของพระเจ้า ความเชื่อเป็นแรงกระตุ้นที่จะทำให้เราพร้อมที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขข้ออื่น ๆ พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนว่า การที่บุคคลจะได้รับความรอดนั้น จะต้องอาศัยความรักของพระเจ้า อาศัยพระคุณของพระเจ้า อาศัยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ต้องอาศัยคนอื่นสอนเรื่องทางรอดให้ฟัง เราต้องเชื่อและต้องประพฤติตามด้วย ยาโกโบได้อภิปรายไว้อย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อและการประพฤติ "เช่นนั้นแหละความเชื่อ ถ้าปราศจากการประพฤติ ความเชื่อก็ตายอยู่ในตัวเองแล้ว แต่คงมีผู้ค้านว่า อ้ออย่างนั้นท่านมีความเชื่อหรือ จ๊ะ แล้วก็มีการประพฤติด้วย จงสำแดงความเชื่อของท่านที่ปราศจากการประพฤติให้ข้าพเจ้าเห็น และข้าพเจ้าจะนำการประพฤติข้าพเจ้ามาสำแดงให้ท่านว่าความเชื่อนั้นเป็นอย่างไร ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าแต่องค์เดียว นั้นก็ดีอยู่แล้ว พวกปีศาจทั้งปวงก็เชื่อเหมือนกันและกลัวจนตัวสั่น แน่ะคนโฉดเขลาท่านจะใคร่รู้หรือว่าความเชื่อที่ปราศจากการประพฤตินั้นไม่เกิดผล...ท่านทั้งหลายเห็นแล้วว่าที่คนใด ๆ เป็นคนชอบธรรมนั้นก็เนื่องด้วยการประพฤติ และไม่ใช่ความเชื่ออย่างเดียว" (ยาโกโบ 2.17-24) จากข้อความนี้ยาโกโบชี้แจงให้เราเข้าใจว่าการที่บุคคลจะเป็นสาวกของพระเยซูได้นั้น ไม่ใช่เฉพาะเพียงแต่มีความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้น เพราะถ้ามีความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นซาตานเองก็มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องของพระเยซูและเรื่องของพระเจ้า มันมีความเชื่อว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้า แต่ซาตานไม่เป็นคริสเตียน เพราะซาตานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้า เพราะฉะนั้นจากข้อความนี้เราสามารถเห็นได้ชัดทีเดียวว่า ความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นยังไม่พอ จำเป็นต้องมีการประพฤติด้วย "ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศกิตติคุณแก่มนุษย์ทุกคน ผู้ใดได้เชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอดแต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ" (มาระโก 16.15-16) ข้อความนี้พระเยซูสั่งชัดว่า ผู้ที่เชื่อและรับบัพติศมาจะรอด แต่ผู้ที่ไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ (เชื่อและต้องประพฤติตามด้วย)
3. จะต้องกลับใจเสียใหม่ การกลับใจเสียใหม่คืออะไร การกลับใจเสียใหม่มิได้หมายความว่าเศร้าโศกเสียใจในความบาปที่เราได้กระทำไป ไม่ได้หมายถึงพิธีที่แสดงว่าเรากลับใจเสียใหม่ การกลับใจเสียใหม่เป็นการเปลี่ยนความเข้าใจความรู้สึกนึกคิด เปลี่ยนอุปนิสัยของเราเสียใหม่ เราจะเปลี่ยนนิสัยของเราเสียใหม่อย่างไร จำเป็นที่เราจะต้องถ่อมสุภาพเสียก่อนในขั้นต้น และเมื่อเราเข้าใจฐานะของเราดีว่า เราเป็นคนบาป เราเคยประพฤติอยู่ในความบาป เราต้องการจะเปลี่ยนชีวิตของเราเสียใหม่ให้เป็นคนชอบธรรม พระเยซูคริสต์เป็นแบบของเราทั้งหลาย ชีวิตของพระเยซูทรงเป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ พระเยซูไม่ได้กระทำบาป 1เปโตร 2.22, โยฮัน 8.46, เฮ็บราย 5.8 "ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรแล้ว พระองค์ยังได้ทรงเรียนรู้จักที่จะนอบน้อมยอมฟังโดยความยากลำบากที่พระองค์ได้ทนเอา" ความประพฤติของเราจะต้องเป็นเหมือนกับพระเยซู หมายความว่า การตัดสินใจของเราทุกอย่างจะต้องไม่เป็นการเห็นแก่ตัว การตัดสินใจทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เราไม่ได้เอาตัวเองเป็นใหญ่ พระเยซูสอนเรื่องการกลับใจเสียใหม่ไว้ดังนี้ ลูกา 13.3 "เราบอกท่านทั้งหลายว่า มิใช่ แต่ถ้าท่านทั้งหลายมิได้กลับใจเสียใหม่จะต้องพินาศเหมือนกัน" ข้อความนี้แสดงให้เห็นว่าการกลับใจเสียใหม่เป็นสิ่งที่จำเป็น กิจการ 17.30 "ในเวลาเมื่อมนุษย์ยังโฉดเขลาอยู่พระเจ้ามิได้ทรงถือโทษ แต่เดี๋ยวนี้พระองค์ได้ตรัสสั่งแก่มนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้กลับใจเสียใหม่" ข้อความตอนนี้เปาโลเป็นผู้กล่าวเน้นให้เห็นชัดว่า การกลับใจเสียใหม่เป็นคำตรัสสั่งของพระเจ้า อีกข้อหนึ่งเปโตรเป็นผู้กล่าว 2เปโตร 3.9 "องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้าในคำสัญญาของพระองค์ เหมือนบางคนคิดว่าช้านั้น แต่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายเป็นช้านาน ไม่ทรงประสงค์จะให้คนหนึ่งคนใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาจะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่"
มีข้อพระคริสตธรรมคัมภ์อีกมากที่สอนเรื่องการกลับใจเสียใหม่ แต่ที่นำมากล่าวก็พอที่จะชี้ให้เห็นว่า การที่บุคคลจะเป็นคริสเตียนนั้นจำเป็นจะต้องกลับใจเสียใหม่ เพราะถ้าไม่กดลับใจเสียใหม่การเป็นคริสเตียนของใครก็ตามจะเป็นเพียงแค่การแสดงมากกว่า หรือเป็นคริสเตียนแต่เพียงในนาม จะมีประโยชน์อะไร เท่ากับว่าเป็นการหลอกลวงนั่นเอง เรื่องการกลับใจเสียใหม่ไม่ใช่เป็นพิธีภายนอก การกลับใจเสียใหม่เป็นภาวะของจิตใจ เราไม่สามารถจะหยั่งรู้จิตใจของผู้ใด เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงของผู้ประสงค์จะเป็นคริสเตียนจะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงภายในของผู้นั้นเอง มีวิธีซึ่งพอจะทราบได้ว่าคนไหนกลับใจเสียใหม่จริงหรือไม่ พระเยซูสอนว่า "เหตุฉะนั้นท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา" (มัดธาย 7.20) ความประพฤติของเขาก็ประกาศดังมากยิ่งกว่าคำพูด ถ้าปากบอกว่าเขากลับใจเสียใหม่แล้ว แต่การประพฤติยังไม่ได้กลับใจเสียใหม่ก็เท่ากับว่าคนนั้นเป็นคนหน้าซื่อใจคด และคนเช่นนั้นไม่มีที่ว่างในแผ่นดินขงพระเจ้า การกลับใจเสียใหม่ก็คือการยุติกระทำบาป ความบาปต่าง ๆ ในอดีตที่เรา เคยกระทำ เช่นการพูดมุสา การลักขโมย การผิดประเวณี ดื่มเหล่า สูบบุหรี่ และการชั่วอื่น ๆ ต้องงดเว้นทั้งหมด
4. ต้องสารภาพ การสารภาพมิได้หมายถึงการเศร้าโศกเสียใจ ไม่ได้หมายถึงการบอกเล่าความชั่วที่ได้กระทำมาในอดีต การสารภาพในที่นี้หมายถึง การปฏิญาณอันดีต่อหน้าคนอื่น เปิดเผยความรู้สึกในใจว่าตนมีความเชื่อมั่นในพระเยซูคริสต์เจ้า การสารภาพมี 2 อย่าง คือ
(ก) สารภาพด้วยริมฝึปาก ยืนขึ้นต่อหน้าที่ชุมนุมของคริสเตียน หรือต่อหน้าพยานสองสามคนว่า "ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า" พระเยซูได้ตรัสว่า "เหตุดังนั้นทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์" (มัดธาย 10.32) " คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่าน ว่าพระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในใจว่า พระเจ้าได้ทรงโปรดบันดาลให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด ด้วยว่าซึ่งมีใจเชื่อก็เป็นการชอบธรรม และซึ่งรับด้วยปากก็เป็นที่รอด 11 เพราะว่ามีคำเขียนไว้แล้วว่า ผู้หนึ่งผู้ใดที่เชื่อในพระองค์จะหามีความละอายไม่" (โรม 10.9-11) " ถ้าท่านเต็มใจเชื่อท่านก็รับได้ และขันทีจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า" (กิจการ 8.37) จากข้อความเหล่านี้ เน้นให้ผู้ประสงค์จะเป็นคริสเตียนเห็นความสำคัญของการสารภาพ เพราะเท่ากับเป็นการปฏิญาณเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าและของพระเยซูว่า เราปรารถนาที่จะมอบกายและชีวิตของเราไว้กับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่นี้ไปชีวิตของเราจะเป็นเหมือนชีวิตของพระเยซู ไม่ใช่เป็นตัวเราเอง
(ข) การสารภาพด้วยชีวิต การสารภาพด้วยริมฝีใกเป็นการง่าย แต่ยากที่จะอ่านจิตใจภายใน เพราะฉะนั้นชีวิตและความประพฤติต้องการเป็นการสารภาพในตัว หมายความว่าเมื่อดูชีวิตของเรา เขาอาจกล่าวได้ทันทีว่าคนนี้เป็นคริสเตียน เป็นคริสเตียนมีสิ่งดีจะอวดชาวโลกมากมาย สิ่งหนึ่งที่อวดได้ก็คือชีวิตคริสเตียนของเรา การเป็นคริสเตียนไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าอับอายขายหน้าอะไร มีคนเป็นจำนวนมากอยากเป็นคริสเตียน มีความเชื่อพระเยซู แต่ขลาดไม่กล้าที่จะเปิดเผยให้คนอื่นทราบ ในสมัยของพระเยซูก็มีคนประเภทนี้ด้วย "แม้ในพวกขุนนางก็มีหลายคนเชื่อถือพระองค์ แต่เขามิได้รับพระองค์โดยเปิดเผย กลัวว่าพวกฟาริซายจะขับไล่เขาเสียจากธรรมศาลา 43 ด้วยว่าเขารักความสรรเสริญของมนุษย์มากกว่าความสรรเสริญของพระเจ้า" (โยฮัน 12.42) เพราะฉะนั้นการสารภาพจำเป็นต้องสารภาพด้วยชีวิตของเราด้วย ความประพฤติของเราเท่ากับเป็นการประกาศกึกก้องว่าเราเป็นคริสเตียน
บทที่ 4
บทที่4
5. ต้องรับบัพติศมา เรื่องการรับบัพติศมานี้ มีสิ่งที่ตัองทำความเข้าใจหลายประการ จึงจะขอนำไปอภิปรายในบทที่ 5 และบทที่ 6 ต่อไป