การรับบัพติศมา
เรื่องบัพติศมานี้มีปัญหามากในวงการของนิกายที่เชื่อถือพระคริสตธรรมคัมภีร์ ความจริงแล้วผู้ที่ยึดมั่นตามคำสอนของพระคริสธรรมคัมภีร์ไม่ควรจะมีปัญหาเลย ที่มีปัญหามากก็เพราะความเข้าใจผิดในการใช้พระคริสตธรรมคัมภีร์ การตีความหมายผิดพลาดกับคำสอนที่แท้จริง บ้างก็เพิ่มความคิดเห็นส่วนตัวเข้าไป บ้างขาดความรู้อันลึกซึ้งในพระคริสตธรรมคัมภีร์ นำไปใช้ผิด วิธีดีที่สุดที่จะตัดสินว่าใครถูกใครผิดเกี่ยวกับเรื่องบัพติศมานี้ก็คือ การที่จะศึกษาเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ โดยใช้พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นมาตรฐานในการตัดสิน เพราะทุกคนต่างก็ยอมรับคำสั่งสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์
ก. บ้างสอนว่าการรับบัพติศมาไม่สำคัญ ถ้าไม่สำคัญแล้วพระเจ้าจะบันทึกไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ทำไม ทุกสิ่งที่พระเจ้าสั่งย่อมมีความสำคัญทั้งสิ้น ข้อความต่อไปนี้เป็นข้อความที่ยกมาจากหนังสือของคณะแบบติสต์ที่สอนว่าการรับบัพติศมาไม่สำคัญ "ศีลบัพติศมา ศีลระลึกนั้นอย่างไร ... การับบัพติศมาและพิธีศีลระลึกก็มิได้มีกฎเกณฑ์บังคับว่าต้องถือปฏิบัติ ถ้าไม่ถือพิธีปฏิบัติศีลทั้งสองนี้แล้ว ก็ไม่นับว่าเป็นคริสเตียนก็หามิได้ เพราะเรานับว่าเป็นคริสเตียนและมีความรอดแล้วตั้งแต่เขายังไม่ได้ถือพิธีศีลสองอย่างนี้ เรานับตั้งแต่เขาเชื่อ เมื่อมีคนเชื่อแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสรับบัพติศมา ตายไปเขาก็ตายในความรอด..." (จากหนังสือความรู้เบ็ดเตล็ดสำหรับอนุชนคริสเตียน แผนกอบรมฝึกฝนคณะแบบติสต์ เล่มที่ 3 หน้า 122) พระคริสตธรรมคัมภีร์มีมากมายที่เน้นเรื่องบัพติศมา ไม่มีสักแห่งเดียวที่บอกว่าบัพติศมาไม่สำคัญ ตัวอย่างเช่นใน 1เปโตร 3.21 "เช่นนั้นแหละบัดนี้พิธีบัพติศมาก็เป็นที่รอดแก่เราทั้งหลาย ไม่ใช่ด้วยชำระราคีแห่งเนื้อหนัง แต่ให้มีใจวินิจฉัยผิดและชอบอันดีจำเพาะพระเจ้า" ข้อความนี้แต่เพียงข้อเดียวก็ชี้แจงให้เข้าใจชัดว่าการรับบัพติศมานั้นเป็นสิ่งจำเป็นเพราะเป็นที่รอด ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อแสดงหรือเป็นการชำระร่างกาย แต่เป็นการชำระใจวินิจฉัย เพราะฉะนั้นผู้ที่สอนว่าการรับบัพติศมาไม่สำคัญนั้นสอนผิดมาก
ข. บ้างสอนว่าบุคคลได้รับความรอดก่อนรับบัพติศมา มีหลายคณะที่สอนความคิดของตนเอง โดยสอนว่าคนที่มีความเชื่อก็ได้รับความรอดแล้วเขาได้รับความรอดก่อนรับบัพติศมา คำสอนนี้เป็นคำสอนที่บิดเบือนความจริงของพระเจ้า ทำให้พระคำของพระเจ้าขาดความเคารพ ไม่มีข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์สักข้อเดียวที่สอนว่าความรอดมีก่อนการรับบัพติศมา พิจารณาดูข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์ มาระโก 16.15-16 "ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศกิตติคุณแก่มนุษย์ทุกคน ผู้ใดได้เชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอดแต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ" ข้อนี้สอนชัดว่ารับบัพติศมาแล้วจะรอด ความรอดเกิดหลังจากการรับบัพติศมาไม่ใช่ก่อนรับบัพติศมา ถ้าผู้ใดไม่เชื่อหรือไม่ปฏิบัติตามผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษ
ค. บ้างสอนว่าความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นก็พอไม่จำเป็นต้องรับบัพติศมา เรื่องนี้ได้อภิปรายไปแล้วบ้างในบทที่ 4 ขอนำมากล่าวอีกครั้งหนึ่งในความสัมพันธ์กับการรับบัพติศมา คนที่บอกว่าบัพติศมาไม่สำคัญ ความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นก็พอแล้ว พวกเหล่านี้ใช้ข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์ในลูกา 23.43 พระเยซูได้ตรับกับโจรบนไม้กางเขนว่า วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม นิกายบางนิกายยกตัวอย่างข้อนี้เป็นข้อแก้ตัวในการปฏิเสธไม่รับบัพติศมา คนที่ยกเอาข้อนี้มาใช้เป็นข้อแก้ตัว ก็เป็นเพราะความเข้าใจผิดในคำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่แท้จริง พระเยซูได้ตรัสข้อความนั้นแก่โจรบนไม้กางเขน โจรบนไม้กางเขนขณะนั้นกำลังอยู่ในสมัยคำสัญญาไมตรีเดิม โจรไม่ได้อยู่ภายใต้คำสัญญาไมตรีใหม่ คำสั่งเรื่องบัพติศมาที่พระเยซูสั่งนั้น หลังจากเป็นขึ้นมาจากตายแล้วพระองค์จึงได้สั่งให้ออกไปสอน เพราะฉะนั้นการที่ผู้หนึ่งผู้ใดสอนว่าความเชื่ออย่างเดียวก็พอแล้วไม่จำเป็นต้องรับบัพติศมา เป็นคำสอนของคนที่บิดเบือนความจริง
ง. บ้างสอนว่าทารกมีบาปต้องรับบัพติศมา มีหลายคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์อธิบายว่าทารกมีบาปเป็นมฤดกตกทอดมาจากบิดามารดา ทารกไม่มีบาปตกทอดมาจากบิดามารดา ถ้าบิดาทำบาปแล้วความบาปตกไปถึงลูกด้วยก็ไม่เป็นการยุติธรรม พระเยซูตรัสว่า "เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายตามจริงว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย" (มัดธาย 18.3) ข้อความนี้พระเยซูเน้นให้เห็นคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าในสวรรค์จะต้องเป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ ผู้ใหญ่เป็นคนบาปควรจะกลับใจเสียใหม่ และรับบัพติศมาเพื่อพระเจ้าจะยกโทษให้ แต่เด็กไม่มีความบาปเพราะเด็กเป็นผู้บริสุทธิ์ โปรดดูข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่ง "จิตต์วิญญาณที่กระทำบาป จิตต์วิญญาณนั้นจะตายแลบุตรจะมิได้แบกซึ่งบาปโทษแห่งบิดานั้น บิดาจะมิได้แบกซึ่งบาปโทษแห่งบุตรนั้น ความชอบธรรมแห่งผู้ชอบธรรมจะอยู่ในตัวเอง ความชั่วแห่งคนชั่วจะอยู่ในตัวเอง แต่ถ้าคนชั่วนั้นกลับเสียจากความบาปของเขาซึ่งเขาได้กระทำนั้นและจะรักษากฎหมายทั้งปวงของเราและประพฤติความสัตย์และความชอบธรรม เขาจะมีชีวิตเป็นแน่ เขาจะมิได้ตาย" (ยะเอศเคล 18.20-21) จากข้อความนี้ก็สอนชัดแล้วว่า เรื่องบาปเป็นเรื่องทุกทุกคนต้องรับผิดชอบเอง มิใช่บิดามารดาทำผิดแล้วบาปจะไปตกกับลูกด้วย เพราะฉะนั้นผู้ที่สอนว่าทารกควรจะรับบัพิตศมานั้นก็สอนไม่ถูกต้อง ข้อสังเกตอีกประการหนึ่ง พระเยซูตรัสว่าผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาจะรอด ทารกยังไม่เข้าใจเรื่องฝ่ายวิญญาณจิต ทารกยังไม่มีสติปัญญามากเพียงพอที่จะเข้าใจเรื่องบาป เมื่อไม่เข้าใจแล้วจะเกิดความเชื่อได้อย่างไร ทารกไม่จำเป็นต้องรับบัพติศมาเพราะทารกไม่มีบาป
จ. บางพวกสอนว่าผู้ที่รับบัพติศมาแล้วจะรอดตลอดไป คำสอนนี้ก็ไม่ถูกต้องตามหลักพระคริสตธรรมคัมภีร์อีก เพราะเมื่อบุคคลใดเป็นคริสเตียนแล้วคงจะมีเวลาหนึ่งที่คงพลาดล้มกระทำผิดไปบ้างโดยความโง่เขลา หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เมื่อคนหนึ่งพลาดล้มทำบาปเขาจะต้องกลับใจเสียใหม่และอธิษฐาน แต่เขาไม่ต้องรับบัพติศมาใหม่ "แต่ถ้าเราดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์สถิตอยู่ในความสว่าง เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ได้ทรงชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น" (1โยฮัน 1.7) ข้อนี้สอนว่าเป็นการจำเป็นที่คริสเตียนจะต้องดำรงชีวิตในความสว่าง ถ้าคริสเตียนอยู่ในความมืดเขาก็เป็คนบาป ถ้าไม่กลับใจเสียใหม่เขาก็จะพินาศ ในกิจการ 8.19-22 สอนเรื่องซีโมนที่ได้กระทำผิดไป เปโตรเรียกร้องให้เขากลับใจเสียใหม่และอธิฐาน "หากว่าพี่น้องของท่านผู้หนึ่งทำผิดต่อท่าน จงไปแจ้งความผิดนั้นแก่เขาสองต่อสองเท่านั้น ถ้าเขาฟังท่านก็จะคืนดีเป็นพี่น้องกันอีก แต่ถ้าเขาไม่ฟังท่าน จงนำคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วยให้เป็นพะยานสองสามปาก เพื่อทุกคำจะเป็นหลักฐานได้ ถ้าเขาไม่ฟังคนเหล่านั้น จงไปแจ้งความต่อคริสตจักร ถ้าเขายังไม่ฟังคริสตจักรอีก ก็ให้ถือเสียว่าเขาเป็นเหมือนคนต่างประเทศหรือคนเก็บภาษี" (มัดธาย 18.15-17) ข้อความนี้สอนว่าเป็นไปได้ที่คริสเตียนผู้ที่รับบัพติศมาแล้วอาจจะพลาดล้มกระทำผิด จึงจำเป็นต้องมีพี่น้องคริสเตียนคนอื่นช่วยเหลือให้เขากลับเป็นคนดีอีก มีข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์อีกมากที่สอนว่าผู้ที่รับบัพติศมาแล้วไม่รอดอยู่ตลอดไป ตราบใดที่เขาดำเนินอยู่ในความสว่างเขาก็รอด แต่ถ้าเขาหลุดจากพระคุณของพระเจ้า เขาก็จะหมดสิทธิ์การเป็นบุตรของพระเจ้า
พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนเรื่องบัพติศมาอย่างไร?
1. คำจำกัดความของคำว่าบัพติศมา คำว่า "บัพติศมา" ไม่ใช่เป็นภาษาไทย คำว่าบัพติศมานี้แปลมาจากภาษากรีกว่า "บัพติศโซ่" แปลตรง ๆ ว่าจุ่มมิดน้ำ ฝังลงไปในน้ำ ดำมิดน้ำ ผู้ที่แปลว่า พิธีใช้น้ำ ทำให้คนที่ไม่ศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์โดยละเอียดเข้าใจผิดว่าการพรมน้ำก็ใช้น้ำเหมือนกันคงไม่เป็นไร ซึ่งความจริงแล้วไม่ถูกต้องตามหลักพระคริสตธรรมคัมภีร์ เรื่องการพรมและการเทน้ำนี้ได้มีการใช้โดยคณะโรมันคาธอลิค เมื่อปี ค.ศ.1311 หลังจากนั้นก็มีนิกายอื่นนำเอาการพรมและการเทน้ำมาใช้แทนการจุ่มและปฏิบัติกันเรื่อยมา
2. บัพติศมาเป็นคำตรัสสั่งอันสำคัญของพระเยซูคริสต์ ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระเยซูตรัสว่า "เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกประเทศให้เป็นสาวก ให้รับบัพติศมาในนามแห่งพระบิดาและพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัตรซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปเป็นนิตย์กว่าจะสิ้นโลก" (มัดธาย 28.19-20) จากข้อความนี้มีสามสิ่งที่สำคัญ
บทที่ 5
บทที่5
(1) พระเยซูสั่งอัครสาวกให้ออกไปสั่งสอนชนทุกประเทศ
(2) ให้เขารับบัพติศมาในนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
(3) เมื่อรับบัพติศมาแล้วสอนให้เขาถือรักษาสิ่งสารพัดที่พระเยซูได้ทรงตรัสแก่อัครสาวกเมื่อครั้งยังอยู่ในโลกนี้
ข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งคือ มาระโก 16.15-16 "...ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศกิตติคุณแก่มนุษย์ทุกคน ผู้ใดได้เชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอดแต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ" ข้อความนี้มีสามสิ่งที่สำคัญ คือ
ข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งคือ มาระโก 16.15-16 "...ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศกิตติคุณแก่มนุษย์ทุกคน ผู้ใดได้เชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอดแต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ" ข้อความนี้มีสามสิ่งที่สำคัญ คือ
(1) พระเยซูสั่งให้อัครสาวกออกไปประกาศแก่มนุษย์ทุกคน
(2) คนที่เชื่อให้เขารับบัพติศมาเพื่อเขาจะรอด
(3) ผู้ที่ไม่เชื่อจะต้องถูกปรับโทษ
ข้อความทั้งสองแห่งที่กล่าวมาแล้วมีความสำคัญอย่างยิ่ง ผู้ที่เป็นสาวกของพระเยซูจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพระเยซู "ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา" (โยฮัน 14.15)
3. บัพติศมาเป็นคำสัญญาของพระเจ้า ความจริงแล้วบัพติศมาแต่เพียงอย่างเดียจะไม่กระทำให้วัตถุประสงค์ทั้งสิ้นสำเร็จ บัพติศมาคือการจุ่มลงในน้ำ ในน้ำไม่มีอะไรที่จะรักษาบาปของเราได้ แต่สิ่งสำคัญคือพระเจ้าสัญญาว่าถ้าเราปฏิบัติตามคำตรัสสั่งของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงยกความผิดบาปของเราไปเสีย พระเจ้าเป็นผู้สัญญาไม่ใช่มนุษย์ พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวว่า ผู้ใดได้เชื่อและรับบัพติศมาจะรอด คำสัญญาของพระเจ้าเป็นคำตรัสอันสัตย์จริง เพราะฉะนั้นความรอดบาปนี้เป็นโครงการของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นความสามารถของมนุษย์เอง ถ้าพระเจ้าสัญญาจะยกโทษของเรา มนุษย์จำเป็นต้องไว้วางใจในคำสัญญาของพระเจ้า
4. บัพติศมามีกี่ชนิด "มีกายอันเดียวและมีพระวิญญาณองค์เดียว เหมือนมีความหวังใจอันเดียวซึ่งเกี่ยวกับที่ท่านทั้งหลายทรงถูกเรียกนั้น มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่ออย่างเดียว บัพติศมาอันเดียว พระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของคนทั้งปวง ผู้อยู่เหนือคนทั้งปวง และทั่วคนทั้งปวง และในคนทั้งปวง" (เอเฟโซ 4.4-6) จากข้อความนี้ชี้แจงให้เห็นชัดว่าบัพติศมาตามหลักพระคริสตธรรมคัมภีร์มีอันเดียว พระเยซูได้ตรัสสั่งให้มีการรับบัพติศมาเมื่อ ค.ศ. 33 หลังจากที่พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ต่อมาอัครสาวกเปาโลเขียนหนังสือเอเฟโซ เมื่อ ค.ศ. 63 ชี้แจงว่ามีบัพติศมาอันเดียว บัพติศมาอันเดียวนี้คือบัพติศมาในน้ำ เป็นบัพติศมาเพื่อความผิดบาปจะยกเสีย "เช่นนี้แหละ บัดนี้พิธีบัพติศมาก็เป็นที่รอดแก่เราทั้งหลาย ไม่ใช่ด้วยชำระราคีแห่งเนื้อหนัง แต่โดยให้มีใจวินิจฉัยผิดและชอบอันดีเฉพาะพระเจ้า" เพราะฉะนั้นบัพติศมาอันเดียวที่พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวถึง คือ การจุ่มมิดน้ำ ผู้ที่สอนนอกเหนือพระคริสตธรรมคัมภีร์มักจะให้ข้อแก้ตัวว่าการพรมหรือการเทน้ำไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือความเชื่อของผู้ที่จะรับบัพติศมา ความคิดอย่างนี้เป็นความคิดที่อันตรายมาก แพราะคำตรัสสั่งของพระเจ้าทุกอย่างย่อมสำคัญทั้งสิ้น ถ้ามนุษย์เปลี่ยนแปลงคำสั่งของพระเจ้าก็เท่ากับว่าเราหมิ่นประมาทต่อพระเจ้าและพระบัญญัติของพระองค์
มีบางคนโต้แย้งว่า พระเยซูรับบัพติศมาในแม่น้ำยาระเดน เราก็ควรเดินทางไปรับบัพติศมาในแม่น้ำยาระเดน โปรดดูคำสั่งของพระเยซูเรื่องบัพติศมาอีกครั้งหนึ่ง พระเยซูสั่งไว้ใน มัดธาย 28.19-20 และ มาระโก 16.15-16 ทั้งสองข้อนี้กล่าวว่า ท่านจงออกไปสั่งสอนชนทุกประเทศ เป็นที่เข้าใจโดยปริยายว่า เมื่อผู้ใดจะไปสอนเขาที่ไหนมีผู้เชื่อที่นั่นก็ให้เขารับบัพติศมาที่นั้น ยกตัวอย่างเมื่อเปโตรยืนรขึ้นในกรุงยะรูซาเล็มในวันเพ็นเทศเต ประชาชน 3,000 คนได้รับบัพติศมา เขาทั้งหลายได้รับบัพติศมาที่ไหน ที่แม่น้ำยาระเดนหรือเปล่า? ที่กรุงยะรูซาเล็ม (กิจการ 2.41) ตัวอย่างอีกแห่งหนึ่ง ฟิลิปผู้ประกาศได้เดินทางไปพบกับขันทีระหว่างทางกลับยะรูซาเล็ม ฟิลิปได้สอนขันที, ขันทีได้รับบัพติศมาระหว่างการเดินทางนั้น โปรดดูกิจการ 8.36-39 ในหนังสือกิจการบทที่ 13 ถึง 28 เห็นตัวอย่างได้ชัดเจนว่า เมื่อเปาโลเดินทางประกาศพระกิตติคุณที่อาเซียน้ำ เกาะไซปรัส ประเทศกรีก จนถึงประเทศยุโรป ทั่วทุกแห่งมีผู้เชื่อที่ไหนก็ให้มีการให้รับบัพติศมาที่นั่นไม่จำเป็นต้องกลับไปที่แม่น้ำยาระเดน เพราะฉะนั้นข้อโต้เถียงดังกล่าวข้างต้นไม่มีข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์ยืนยัน เราจึงสรุปว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์สอนว่ามีบัพติศมาอันเดียว และบัพติศมานั้นก็คือบัพติศมาฝังในน้ำ เพื่อความผิดบาปจะยกเสีย โดยอาศัยอำนาจของพระบิดาพระเจ้า พระบุตรคือพระเยซู และโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (มัดธาย 28.19-20)
5. จุดประสงค์ของบัพติศมา การที่บุคคลจุ่มลงในน้ำมีจุดประสงค์ มีเหตุผลอะไร มีความหมายและความสำคัญอย่างไร ถ้าจะเป็นคริสเตียนไม่ต้องจุ่มในน้ำไม่ได้หรือ เราจะได้ศึกษารายละเอียดเรื่องนี้ในบทที่ 6
ข้อความทั้งสองแห่งที่กล่าวมาแล้วมีความสำคัญอย่างยิ่ง ผู้ที่เป็นสาวกของพระเยซูจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพระเยซู "ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา" (โยฮัน 14.15)
3. บัพติศมาเป็นคำสัญญาของพระเจ้า ความจริงแล้วบัพติศมาแต่เพียงอย่างเดียจะไม่กระทำให้วัตถุประสงค์ทั้งสิ้นสำเร็จ บัพติศมาคือการจุ่มลงในน้ำ ในน้ำไม่มีอะไรที่จะรักษาบาปของเราได้ แต่สิ่งสำคัญคือพระเจ้าสัญญาว่าถ้าเราปฏิบัติตามคำตรัสสั่งของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงยกความผิดบาปของเราไปเสีย พระเจ้าเป็นผู้สัญญาไม่ใช่มนุษย์ พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวว่า ผู้ใดได้เชื่อและรับบัพติศมาจะรอด คำสัญญาของพระเจ้าเป็นคำตรัสอันสัตย์จริง เพราะฉะนั้นความรอดบาปนี้เป็นโครงการของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นความสามารถของมนุษย์เอง ถ้าพระเจ้าสัญญาจะยกโทษของเรา มนุษย์จำเป็นต้องไว้วางใจในคำสัญญาของพระเจ้า
4. บัพติศมามีกี่ชนิด "มีกายอันเดียวและมีพระวิญญาณองค์เดียว เหมือนมีความหวังใจอันเดียวซึ่งเกี่ยวกับที่ท่านทั้งหลายทรงถูกเรียกนั้น มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่ออย่างเดียว บัพติศมาอันเดียว พระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของคนทั้งปวง ผู้อยู่เหนือคนทั้งปวง และทั่วคนทั้งปวง และในคนทั้งปวง" (เอเฟโซ 4.4-6) จากข้อความนี้ชี้แจงให้เห็นชัดว่าบัพติศมาตามหลักพระคริสตธรรมคัมภีร์มีอันเดียว พระเยซูได้ตรัสสั่งให้มีการรับบัพติศมาเมื่อ ค.ศ. 33 หลังจากที่พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ต่อมาอัครสาวกเปาโลเขียนหนังสือเอเฟโซ เมื่อ ค.ศ. 63 ชี้แจงว่ามีบัพติศมาอันเดียว บัพติศมาอันเดียวนี้คือบัพติศมาในน้ำ เป็นบัพติศมาเพื่อความผิดบาปจะยกเสีย "เช่นนี้แหละ บัดนี้พิธีบัพติศมาก็เป็นที่รอดแก่เราทั้งหลาย ไม่ใช่ด้วยชำระราคีแห่งเนื้อหนัง แต่โดยให้มีใจวินิจฉัยผิดและชอบอันดีเฉพาะพระเจ้า" เพราะฉะนั้นบัพติศมาอันเดียวที่พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวถึง คือ การจุ่มมิดน้ำ ผู้ที่สอนนอกเหนือพระคริสตธรรมคัมภีร์มักจะให้ข้อแก้ตัวว่าการพรมหรือการเทน้ำไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือความเชื่อของผู้ที่จะรับบัพติศมา ความคิดอย่างนี้เป็นความคิดที่อันตรายมาก แพราะคำตรัสสั่งของพระเจ้าทุกอย่างย่อมสำคัญทั้งสิ้น ถ้ามนุษย์เปลี่ยนแปลงคำสั่งของพระเจ้าก็เท่ากับว่าเราหมิ่นประมาทต่อพระเจ้าและพระบัญญัติของพระองค์
มีบางคนโต้แย้งว่า พระเยซูรับบัพติศมาในแม่น้ำยาระเดน เราก็ควรเดินทางไปรับบัพติศมาในแม่น้ำยาระเดน โปรดดูคำสั่งของพระเยซูเรื่องบัพติศมาอีกครั้งหนึ่ง พระเยซูสั่งไว้ใน มัดธาย 28.19-20 และ มาระโก 16.15-16 ทั้งสองข้อนี้กล่าวว่า ท่านจงออกไปสั่งสอนชนทุกประเทศ เป็นที่เข้าใจโดยปริยายว่า เมื่อผู้ใดจะไปสอนเขาที่ไหนมีผู้เชื่อที่นั่นก็ให้เขารับบัพติศมาที่นั้น ยกตัวอย่างเมื่อเปโตรยืนรขึ้นในกรุงยะรูซาเล็มในวันเพ็นเทศเต ประชาชน 3,000 คนได้รับบัพติศมา เขาทั้งหลายได้รับบัพติศมาที่ไหน ที่แม่น้ำยาระเดนหรือเปล่า? ที่กรุงยะรูซาเล็ม (กิจการ 2.41) ตัวอย่างอีกแห่งหนึ่ง ฟิลิปผู้ประกาศได้เดินทางไปพบกับขันทีระหว่างทางกลับยะรูซาเล็ม ฟิลิปได้สอนขันที, ขันทีได้รับบัพติศมาระหว่างการเดินทางนั้น โปรดดูกิจการ 8.36-39 ในหนังสือกิจการบทที่ 13 ถึง 28 เห็นตัวอย่างได้ชัดเจนว่า เมื่อเปาโลเดินทางประกาศพระกิตติคุณที่อาเซียน้ำ เกาะไซปรัส ประเทศกรีก จนถึงประเทศยุโรป ทั่วทุกแห่งมีผู้เชื่อที่ไหนก็ให้มีการให้รับบัพติศมาที่นั่นไม่จำเป็นต้องกลับไปที่แม่น้ำยาระเดน เพราะฉะนั้นข้อโต้เถียงดังกล่าวข้างต้นไม่มีข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์ยืนยัน เราจึงสรุปว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์สอนว่ามีบัพติศมาอันเดียว และบัพติศมานั้นก็คือบัพติศมาฝังในน้ำ เพื่อความผิดบาปจะยกเสีย โดยอาศัยอำนาจของพระบิดาพระเจ้า พระบุตรคือพระเยซู และโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (มัดธาย 28.19-20)
5. จุดประสงค์ของบัพติศมา การที่บุคคลจุ่มลงในน้ำมีจุดประสงค์ มีเหตุผลอะไร มีความหมายและความสำคัญอย่างไร ถ้าจะเป็นคริสเตียนไม่ต้องจุ่มในน้ำไม่ได้หรือ เราจะได้ศึกษารายละเอียดเรื่องนี้ในบทที่ 6