บทที่ 5
บทที่5
การสร้างกับวิวัฒนาการ CREATION VS. EVOLUTION ตอนที่ 1
มีคำอธิบายสองประการที่แตกต่างกันมากซึ่งตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เป็นคำอธิบายที่เกี่ยวกับการกำเนิดของจักรวาลและกำเนิดชีวิตในจักรวาล คำอธิบายของแต่ละพวกเป็นทัศนะของคนทั่วโลก หรือเป็นปรัชญา เกี่ยวกับต้นกำเนิดและบั้นปลายของชีวิตและความหมายของชีวิต
ทัศนะของโลกกลุ่มแรกคือทัศนะของ การวิวัฒนาการ พวกนี้บอกว่า ไม่มีผู้สร้าง ตามคำอธิบายของทฤษฎีวิวัฒนาการกล่าวว่าจักรวาล เกิดขึ้นมาเอง นั่นหมายความว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาลล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นโดยขบวนการของธรรมชาติโดยปราศจากอานุภาพพิเศษเข้ามาเกี่ยวข้องจากภายนอก ทัศนะนี้อธิบายว่าต้นกำเนิดและการวิวัฒนาการของจักรวาล (และรวมทั้งสิ่งมีชีวิตในจักรวาล) สามารถอธิบายได้โดยอาศัยเวลา อาศัยความบังเอิญ และอาศัยขบวนการตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามทฤษฎีวิวัฒนาการกล่าวว่าสิ่งที่มีชีวิตทั้งสิ้นได้วิวัฒนาการมาจากสัตว์เซลล์เดียว ซึ่งสัตว์เซลล์เดียวนี้วิวัฒนาการมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต (เช่น กรดอะมิโนหรือโปรตีน)
ทัศนะของโลกกลุ่มที่สองเป็นทัศนะของพวกที่เชื่อว่า มีการสร้าง ตามคำอธิบายของการสร้างกล่าวว่าจักรวาลไม่สามารถเกิดขึ้นมาเอง ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลเกิดขึ้นจากการออกแบบที่สลับซับซ้อน มีจุดประสงค์ เป็นการสร้างด้วยความตั้งใจของผู้ที่มีฤทธิ์มีอำนาจคือพระเจ้าผู้ทรงสร้าง พระองค์ไม่ได้ทรงใช้ขบวนการที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ในการสร้างจักรวาล และในการสร้างโลก และรวมทั้งชีวิตทั้งหลายในโลก (รวมทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์) มีคำตอบที่เป็นไปได้แค่สองอย่างเท่านั้นเกี่ยวกับต้นกำเนิดของชีวิต คำอธิบายไม่อันหนึ่งอันใดจะต้องเป็นความจริง นั่นหมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างสามารถอธิบายได้หรือไม่สามารถอธิบายได้ว่าสารพัดทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาลเป็นขบวนการที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ถ้าเขาสามารถอธิบายได้ว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแสดงว่าทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นความจริง แต่ถ้าเขาไม่สามารถอธิบายได้เช่นนั้นเขาจะต้องยอมรับคำอธิบายการเกิดสารพัดโดยขบวนการทรงสร้างของพระเจ้า
กลุ่มที่เรียกว่าการวิวัฒนาการและกลุ่มที่เรียกว่าการสร้าง ทั้งสองกลุ่มอาจเรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของวิทยาศาสตร์ เพราะทั้งสองกลุ่มใช้ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ในการอธิบายและในการบอกล่วงหน้าว่าอะไรเกิดขึ้น ที่แน่ ๆ ก็คือกลุ่มที่สามารถทำหน้าที่ได้ดีในการอธิบายและบอกล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะเป็นต้นแบบวิทยาศาสตร์ได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่สามารถอธิบายให้เป็นที่จุใจได้
ในการที่จะอธิบายต้นแบบทั้งสองอย่างให้ดีที่สุด ทั้งสองแบบจะต้องอธิบายได้และจะต้องเปรียบเทียบข้อเท็จจริงที่มีทั้งสองฝ่าย การวิวัฒนาการ รวมทั้งเสนอหลักฐานในการแสดงว่าชีวิตที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นผลมาจากการวิวัฒนาการเป็นเวลานับเป็นล้าน ๆ ปี ชีวิตชนิดต่าง ๆ วิวัฒนาการมาจากสัตว์ชั้นต่ำอย่างง่าย ๆ กลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่สลับซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตคือจากสสาร ฝ่ายที่เชื่อว่าสารพัดทุกสิ่งเกิดจาก การทรงสร้างของพระเจ้า เขาจะต้องเสนอหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าชีวิตที่สลับซับซ้อนเหล่านั้นเกิดขึ้นด้วยการสร้างทันที พวกที่เชื่อการทรงสร้างปฏิเสธการวิวัฒนาการแบบตั้งตรง "vertical" evolution (เป็นการวิวัฒนาการจากสสารกลายเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำจนกลายเป็นชีวิตที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยอาศัยเวลานับล้าน ๆ ปี) หรือเรียกอีกอย่างว่า "microevolution" สิ่งที่มีชีวิตที่สลับซับซ้อนวิวัฒนาการมาจากสัตว์เซลล์เดียว และมีการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่มีชีวิตชนิดหนึ่งกลายเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น (เช่น จากตัวอะมีบาค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงกลายมาเป็นคน) แต่ไม่เป็นที่ท้าทายวิวัฒนาการอีกกลุ่มที่เรียกว่า "horizontal" (หรือเรียกอีกอย่างว่า "microevolution" สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในสปีซี่ของชนิดเดียวกัน เช่น นกจะมีจะงอยปากเล็กลงหรือช้างป่าจะเปลี่ยนสีโดยอาศัยเวลานาน)
ความสำคัญของความขัดแย้งระหว่างการสร้างและวิวัฒนาการ
IMPORTANCE OF THE CREATION / EVOLUTION CONTROVERSY
ความขัดแย้งระหว่างการทรงสร้างกับการวิวัฒนาการเป็นประเด็นที่มีความสำคัญมากที่สร้างความสนใจให้แก่นักวิทยาศาสตร์และนักศาสนาอย่างมาก ความขัดแย้งของทั้งสองทัศนะจะสัมผัสได้กับการศึกษาทุกสาขาและสัมผัสกับทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับชีวิต เป็นเรื่องของการขัดแย้งระหว่างสองทัศนะในโลก เพราะฉะนั้นทุกประเทศน่าจะมีกฎหมายเปิดโอกาสให้ทั้งสองทัศนะมีโอกาสได้อธิบายต้นกำเนิดของชีวิตในโรงเรียนและไม่ใช่ผูกขาดในการสอนแต่เพียงทัศนะเดียว มีหนังสือที่เขียนโดยผู้เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ หนังสือเหล่านี้โจมตีทัศนะของผู้ที่เชื่อการทรงสร้าง และมีหนังสือที่เขียนขึ้นโดยผู้เชื่อการทรงสร้างโจมตีทัศนะของผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ สื่อสารมวลชนเข้ามามีบทบาทในการแสดงความคิดเห็นด้วย สมาคมวิทยาศาสตร์ สมาคมครู และนักการเมืองต่างเข้ามามีบทบาทในการแสดงความคิดเห็นด้วย ทั้งสองกลุ่มยอมรับว่าความขัดแย้งหรือความแตกต่างจะไม่มีวัน "เงียบหายไป" ในไม่ช้า
ในอดีตพวกนักวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ ไม่สนใจทัศนะและข้อโต้แย้งของพวกที่เชื่อว่ามีการทรงสร้าง ความคิดดังกล่าวไม่มีอีกแล้วในปัจจุบัน มีเหตุผลดีที่ทำไมนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการเริ่มมีความตระหนกตกใจคิดว่าพวกเชื่อการสร้างเป็นภัยต่อทัศนะของตน ตัวอย่างเช่น ในปี 1981 สมาคมหนังสือพิมพ์ NBC NEWS ได้จัดทำโพลขึ้น ในโพลได้พบว่าคนไม่น้อยกว่า 86% ต้องการให้ทัศนะของผู้ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าผู้สร้างมีสิทธิ์ในการสอนในโรงเรียนเท่าเทียมกับพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 1991 ผลของ Gallup โพล ได้เปิดเผยว่า 47% มีความเชื่อว่ามีการสร้างมนุษย์ซึ่งไม่ใช้เวลานาน เพียงแค่ 9% ที่แสดงความเชื่อว่ามีการวิวัฒนาการตามธรรมชาติที่มีขอบเขต Gallup โพลมีการสำรวจในปี 1997 พบว่าชาวอเมริกัน 44% (รวมทั้งนักศึกษามหาวิทยาลัยอีก 31% ที่จบแล้ว) ได้สมัครเป็นสมาชิกที่มีรายละเอียดน่าอ่านของการทรงสร้างจากหนังสือเยเนซิศ โพลยังเปิดเผยต่อไปว่าอีก 39% (53% เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่เรียนจบแล้ว) มีความเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงสร้างจักรวาล มีแค่ 10% (17% เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่จบแล้ว) เท่านั้นที่ยอมรับการวิวัฒนาการของธรรมชาติ ต่อมาเมื่อเดือนสิงหาคมในปี 1999 Gallup โพลได้ทำการสำรวจผลออกมาค่อนข้างจะใกล้เคียงกัน 47% เชื่อว่ามีการสร้างมนุษย์ที่ใช้เวลาไม่นาน 9% เชื่อว่ามีการวิวัฒนาการตามธรรมชาติ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2000 หนังสือพิมพ์ New York Times ได้ลงเรื่องราวโดยใช้ชื่อเรื่องว่า "สำรวจพบว่ามีการสนับสนุนให้มีการสอน 2 ทฤษฎีเกี่ยวกับต้นกำเนิดของทุกสิ่ง" ซึ่งได้ตัวเลขจากการทำโพลของพวกสิทธิมนุษย์ชน People for the American Way การทำโพลได้จัดทำขึ้นโดย polling/research firm, DYG แห่งเมือง Danbury รัฐ Connecticut ตามรายงานแจ้งว่า 79% ต้องการให้ผู้เชื่อว่ามีการสร้างสามารถมีหลักฐานอธิบายทัศนะของตนในโรงเรียนได้
ผลของการสำรวจดังกล่าวทำให้พวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการผิดหวังมากเพราะพวกเขาคาดว่าคนน่าจะเชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการหลังจากได้สอนว่าทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นความจริงในโรงเรียนและเป็นตำราเรียนมาเป็นเวลานาน ด้วยเหตุนี้เองพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการเริ่มมีความตระหนกตกใจต่อทัศนะของพวกที่เชื่อว่ามีพระเจ้าผู้ทรงสร้าง แม้นักวิทยาศาสตร์หลายคนซึ่งไม่ใช่เป็นผู้เชื่อในการสร้างก็ยังสามารถตระหนักว่าทัศนะของผู้ที่เชื่อว่ามีผู้สร้าง เป็นทัศนะวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุผล ควรหยิบยกขึ้นมาเปรียบเทียบกับทัศนะของพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ นักวิทยาศาสตร์บางคนพูดว่า "ข้าพเจ้าเอนเอียง" ไปกับคำอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ของพวกที่เชื่อว่ามีการทรงสร้างมากกว่าคำอธิบายของพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ อันที่จริง 120 ปีหลังลัทธิดาร์วิน นักวิทยาศาสตร์ที่เจริญก้าวหน้าเป็นจำนวนมากเริ่มตระหนักว่ากฎธรรมชาติและขบวนการต่าง ๆ ที่เราเคยรู้ว่าแน่นอนนั้นบ่งความจริงว่าจักรวาลไม่สามารถสร้างตัวมันเองได้ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ยอมรับว่าทัศนะของผู้ที่เชื่อว่ามีการสร้างเป็นคำอธิบายที่มีหลักฐานดีที่สุดในการเป็นต้นกำเนิดของการเกิดสารพัดทุกสิ่ง หลักฐานอะไรที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์และผู้ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายยอมรับทัศนะของผู้ที่เชื่อว่ามีการทรงสร้าง และคัดค้านทัศนะของผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ?
ความน่าเชื่อถือตามแบบของการสร้าง CREDIBILITY OF THE CREATION MODEL
กฎชีวิตมาจากชีวิต THE LAW OF BIOGENESIS
ในวิทยาศาสตร์สาขาชีวะวิทยา มีกฎของวิทยาศาสตร์กฎหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยอมรับกันอย่างกว้างขวางในวงการของวิทยาศาสตร์ กฎนั้นก็คือ กฎชีวิตมาจากชีวิต Law of Biogenesis กฎนี้ได้เกิดขึ้นหลายปีมาแล้วเพื่อจะอธิบายทั้งทฤษฎีและสิ่งที่ได้ทำการทดลองเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันให้เห็นเป็นความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นชีวิตว่าชีวิตที่เกิดมาภายหลังเกิดมาจากชีวิตที่มาก่อนซึ่งเป็นชีวิตของชนิดเดียวกัน
เป็นเวลาหลายปี นักวิทยาศาสตร์หลายสาขานับเป็นพัน ๆ คนได้บันทึกเป็นเอกสารเกี่ยวกับความจริงของกฎชีวิตมาจากชีวิต Law of Biogenesis อันที่จริงกฎที่ว่าชีวิตมาจากชีวิตเป็นกฎวิทยาศาสตร์ซึ่งตั้งไว้อย่างมั่นคงก่อนที่ทฤษฎีวิวัฒนาการยุคใหม่จะเกิดขึ้นด้วยซ้ำไป เป็นที่น่าสนใจที่จะรู้ว่ากฎชีวิตมาจากชีวิตได้ถูกสอนอย่างสม่ำเสมอในชั้นเรียนชีวะวิทยาตามโรงเรียนและตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ซึ่งมีผลดีอย่างมาก เช่น นักศึกษาได้เรียนรู้เกี่ยวกับผลงานของ Louis Pasteur เขาได้พบความจริงบนพื้นฐานความเชื่อที่ผิดว่าชีวิตเกิดขึ้นจากการวิวัฒนาการเป็นเวลานานSpontaneous generation (บนพื้นฐานความคิดที่ว่าชีวิตเกิดมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต) นักศึกษาได้ศึกษาประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับผลงานของLouis Pasteur อย่างละเอียดว่าเขาสามารถที่จะเอาชนะกับ "นิทานเก่า ๆ" หลุยส์ ปาสเตอร์ ได้เสนอผลงานที่ "ยอดเยี่ยม" ให้กับวงการวิทยาศาสตร์ในการที่ท่านได้พิสูจน์ให้เห็นว่าชีวิตที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต แค่ช่วงหายใจเดียวนักเรียนนักศึกษาได้รับคำบอกว่าขบวนการวิวัฒนาการเกิดขึ้นโดยบังเอิญเป็นเวลานานนับเป็นล้าน ๆ ปี เป็นอันต้องจบลง
แน่นอนการวิวัฒนาการไม่เกิดขึ้นโดยปราศจากสสารที่เปลี่ยนเป็นชีวิตอาศัยเวลาล้าน ๆ ปี Spontaneous generation โดยเหตุนี้เองนักวิทยาศาสตร์เป็นจำนวนมากได้ทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าชีวิตเกิดจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต ท่ามกลางความสับสนอลเวงในการทดลองอันเกี่ยวข้องกับ "ต้นกำเนิดของชีวิต" จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถ "สร้างชีวิต" หรือแม้กระทั่งสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดก็ยังทำไม่ได้ ความจริงก็คือว่าการทดลองที่กระทำกันในห้องทดลองไม่สามารถที่จะสร้างชีวิตให้เกิดขึ้นจากสิ่งไม่มีชีวิตได้ ผลจากการทดลองที่ทำได้แค่นี้ก็เพราะเขาต้องจำลองสภาวะที่อาจจะทำให้เกิดขึ้นได้ยิ่งจะทำให้เป็นไปได้ยาก ในธรรมชาติหรือในห้องทดลองนักวิทยาศาสตร์ไม่เคยบันทึกเป็นเอกสารยืนยันว่าชีวิตได้เกิดขึ้นจากสิ่งไม่มีชีวิต แต่สิ่งที่เราได้เห็นคือ วัวออกลูกมาเป็นวัว นกออกลูกมาเป็นนก กุหลาบออกมาเป็นกุหลาบ ข้าวโพดออกมาเป็นข้าวโพด ฯลฯ เมื่อไม่นานมานี้ผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการแสดงความไม่พอใจว่า กฎ Biogenesis ไม่ใช่เป็น "กฎ" เขาบอกว่ามันเป็นแค่ "หลักการ" หรือเป็น "ทฤษฎี" หรือเป็นภาษิต "dictum" มีคำใหม่ ๆ เกิดขึ้นซึ่งแนะนำโดยพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ ที่เขาทำอย่างนี้ไม่ใช่เพราะว่าเขาได้ทำการทดลองและพิสูจน์ได้ว่า ชีวิตมาจากสิ่งไม่มีชีวิต แต่เป็นเพราะพวกเขาเริ่มตระหนักแล้วว่าทฤษฎีวิวัฒนาการจะไม่สามารถเป็นความจริงตราบใดก็ตามที่กฎของ Biogenesis เป็นความจริง ถ้านักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่า กฎชีวิตมาจากชีวิต Law of Biogenesis เป็นกฎของวิทยาศาสตร์จริง นั่นแสดงว่าพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการจะไม่สามารถโผล่หัวได้เลย ถึงแม้ว่าพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการเกลียดไม่อยากยอมรับว่า Biogenesis สะท้อนให้เห็นกฎธรรมชาติ เพราะว่ายังไม่มีเอกสารสักชิ้นเดียวที่ยืนยันว่าสิ่งที่มีชีวิตมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต เพราะฉะนั้นถ้าชีวิตบนโลกนี้ไม่ได้เกิดมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต ถ้าเช่นนั้นชีวิตเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ความจริงก็คือว่าหลักฐานชิ้นเล็กชิ้นน้อยของวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนทัศนะทีว่าชีวิตเกิดมาจากชีวิตที่มาก่อนหน้านั้น รายละเอียดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่เรามีแสดงว่านี่เป็นความจริงของธรรมชาติ กฎของชีวิตมาจากชีวิต Law of Biogenesis ได้ทำลายล้างทฤษฎีวิวัฒนาการโดยสิ้นเชิง
การเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ NATURAL SELECTION
ชาร์ลส์ ดาร์วิน ได้พิมพ์หนังสือในเดือนพฤศจิกายน ปี 1859 หนังสือที่โด่งดังมีชื่อว่า The Origin of the Species by Means of Natural Selection ปฐมกำเนิดของสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ โดยการเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ ประโยคหลัง "การเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ" ได้นำมาอภิปรายกันอย่างกว้างขวางในห้องประชุมของวิทยาศาสตร์ ดาร์วินกล่าวว่า "การเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติเกิดขึ้นทุกชั่วโมง เป็นที่มาของความแตกต่างแม้กระทั่งเพียงแค่นิดเดียว ขจัดคุณสมบัติที่ไม่ดีออกไป อนุรักษ์และเพิ่มเติมคุณสมบัติที่ดีทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน เป็นไปอย่างเงียบ ๆ เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยเป็นการพัฒนาสิ่งมีชีวิตให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ" ทัศนะของดาร์วินเกี่ยวกับ "การเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ" (หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อใหม่ว่า "Survival of the fittest" ตัวที่แข็งแรงจะอยู่รอดได้) กลายมาเป็นศูนย์กลางความคิดของทฤษฎีวิวัฒนาการ ตามความคิดของดาร์วิน สัตว์ตัวใดที่แข็งแรงได้เปรียบ "ตัวที่เหมาะสมที่สุด" จะถูกเลือกโดยธรรมชาติและผ่านคุณสมบัติที่ได้เปรียบไปยังลูกหลานของมัน ตัวอย่างเช่น ม้าตัวใดที่มีขายาวจะวิ่งได้เร็วกว่าตัวที่มีขาสั้น ดังนั้นตัวที่มีขายาวจะสามารถวิ่งหนีพ้นจากการตกเป็นเหยื่อได้ ความแข็งแรงของบรรพบุรุษจะถ่ายทอดไปยังลูก ๆ ของมันต่อไปได้ เพราะฉะนั้นสัตว์ตัวที่ "อยู่รอด" จึงเป็นสัตว์ที่สามารถทำหน้าที่ได้ดีที่สุดทำให้มันสามารถเอาชีวิตรอด เป็นวิธีปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมและการดำรงชีวิต นี่คือสิ่งที่ดาร์วินชี้แจงความหมายของคำว่า "Survival of the fittest ตัวที่แข็งแรงจะอยู่รอดได้" ไม่ช้าไม่นานปัญหาเรื่อง "การเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ" ก็ได้เกิดขึ้น จะเป็นด้วยอย่างไรก็ตามการเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติควรจะสนับสนุนหลักที่ว่า "ตัวที่แข็งแรงที่สุดจะอยู่รอดได้" แต่วิธีที่เป็นจริงจะอธิบาย "ตัวที่เหมาะสมที่สุด" คือ "ตัวที่สามารถอยู่รอดได้" พูดให้เข้าใจเสียใหม่ง่าย ๆ ว่าพวกที่เชื่อการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติจะบอกกับเราว่าพวกที่ชนะทั้งหมดคือพวกที่ชนะ และพวกที่ชนะคือผู้ชนะ พวกที่เชื่อการเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติไม่ได้อธิบายว่าสิ่งมีชีวิตแต่ละสปีซี่สามารถปรับตัวได้อย่างไร และชีวิตแบบต่าง ๆ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งเดียวเท่านั้นที่พวกเชื่อการเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติอธิบายก็คือว่า สัตว์ตัวที่ "เหมาะสมที่สุด" สามารถอยู่รอดได้ แล้วหันกลับไปอธิบายว่าสัตว์ต่าง ๆ ที่อยู่รอดเป็นสัตว์ที่ "เหมาะสมที่สุด" อย่างไรก็ตามพวกที่เชื่อการเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติไม่ได้อธิบายว่าสัตว์ต่าง ๆ กลายมาเป็น สัตว์ที่ "เหมาะสมที่สุด" ได้อย่างไร?
ผู้ที่เชื่อว่ามีการสร้างไม่เคยปฏิเสธความคิดเรื่องการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติว่าเป็นกลไกในการกำจัดสิ่งมีชีวิตที่ไม่เหมาะสม หรือสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถปรับตัวได้ อันที่จริงผู้ที่เชื่อว่ามีการสร้างได้กล่าวว่าการเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติเป็นหลักในการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตก่อนที่ดาร์วินด้วยซ้ำไป เป็นกลไกในการเลือกสรรตัวที่ไม่เหมาะสมให้ถูกกำจัดออกไป การผสมพันธุ์ตามธรรมชาติเป็นแบบแผนของพระเจ้าเพื่อป้องกันมิให้เกิดการผสมพันธุ์ผ่าเหล่าที่อันตรายเกิดขึ้น (Mutation) อันจะเป็นการทำลายเผ่าพันธุ์ในสปีซี่เดียวกันทั้งหมด และมันจะเกิดเช่นนั้นจริง ๆ ถ้าไม่มีกลไกนี้ควบคุมไว้ ไม่มีใครสามารถประดิษฐ์แม้สักสปีซี่เดียวด้วยการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ และมันไม่สามารถอธิบายเรื่องการปรับตัวเองเข้ากับธรรมชาติ ความเป็นจริงสิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวเองเข้ากับสิ่งแวดล้อม ไม่ได้บอกอะไรเราเลยว่าสิ่งมีชีวิตนั้น สามารถปรับตัวได้อย่างไร สิ่งที่มีชีวิตที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้จะไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ แต่นี่ไม่เป็นการพิสูจน์ว่าการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมเป็นผลผลิตของวิวัฒนาการ คำคัดค้านจากการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติเป็นเหตุผลที่วนไปวนมา ควรจะปฏิเสธคำอธิบายแบบนี้ได้แล้ว เป็นที่แน่ชัดว่าไม่สามารถอธิบายสิ่งมีชีวิตที่สลับซับซ้อนอีกมากมายที่อยู่รอบตัวเรา ข้อโต้แย้งที่วกวนไปมาไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะ "อธิบาย" ให้เป็นที่เข้าใจได้ และไม่สามารถ "สร้าง" สิ่งที่เกิดได้
พันธุกรรม GENETICS
วิทยาการอันใหม่ล่าสุดและที่น่าตื่นเต้นที่สุดในวงการของวิทยาศาสตร์ก็คือ พันธุกรรม ในที่สุดเราก็เรียนรู้จากพันธุกรรมว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิด ทั้งพืช สัตว์ หรือ มนุษย์ เป็นห้องพัสดุที่เก็บข้อมูลทางพันธุกรรมไว้อย่างมากมายมหาศาล ดังนี้จึงนับว่าเป็น "ห้องแลบหรือห้องทดลอง" ที่เต็มไปด้วยความรู้ของวิทยาศาสตร์ จากการศึกษาพบว่าข้อมูลเกี่ยวกับกรรมพันธุ์อยู่ภายในเซลล์เล็ก ๆ ที่มีชีวิต ในเซลล์เล็ก ๆ นั้นประกอบด้วยข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นรหัสเคมี (Chemical "Code") และรหัสนี้มีลักษณะสากลคือมีอยู่ทั่วไปในสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายทุกคนไม่ว่าเขาจะมีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับจุดกำเนิดของชีวิตก็ตามแต่ นักวิทยาศาสตร์ทุกคนยอมรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการชาวอังกฤษ ชื่อ Richard Dawkins ได้ให้ข้อสังเกตว่า "รหัสทางพันธุกรรมเป็นสิ่งสากล ศัพท์ที่สมบูรณ์ชนิดคำต่อคำของความเป็นสากลของพจนานุกรมทางพันธุกรรมคือ เป็นสิ่งดีที่สุดเหนือคำบรรยาย" ผู้ที่เชื่อว่ามีการสร้างเห็นพ้องด้วย ตัวอย่างเช่น Darrel Kautz ได้เขียนว่า "เป็นที่ยอมรับโดยนักชีวะวิทยาที่เกี่ยวกับโมเลกุลว่ารหัสทางพันธุกรรทเป็นสิ่งสากล เป็นตัวกำหนดให้เห็นสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่ปรากฏออกมาภายนอก" สิ่งสำคัญประการหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องพันธุกรรม ได้ตั้งข้อสังเกตว่าผู้ที่เชื่อการวิวัฒนาการมีความขัดแย้งกับเรื่องต้นกำเนิดของทุกสิ่ง รหัสพันธุกรรมทางเคมียืนยันการสร้างเป็นอย่างดี รหัสพันธุกรรมทางเคมีทำหน้าที่สั่งให้พิมพ์สิ่งมีชีวิตให้เป็นชนิดเดียวกันเหมือนต้นแบบเดิมอย่างสัตย์ซื่อครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่ผิดพลาด" ชบาจะผลิตออกมาเป็นชบาไม่ใช่เป็นอย่างอื่น นกกระจอกจะผลิตออกมาเป็นนกกระจอก และมนุษย์จะผลิตออกมาเป็นมนุษย์จะไม่เป็นอย่างอื่น เพราะว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทำหน้าที่พิมพ์สิ่งมีชีวิตให้ผลิตออกมาเหมือนต้นแบบของรหัสพันธุกรรมตามบรรพบุรุษเดิม ผู้ที่เชื่อการวิวัฒนาการคนหนึ่งได้กล่าวไว้อย่างสละสลวยว่าเป็น "พืชพันธุ์อันถาวรและไม่สามารถทำลายได้" (permanence and indestructibility of the seed) อีกท่านได้กล่าวว่า รหัสพันธุกรรมตามต้นแบบเดิม "พิมพ์อย่างสัตย์ซื่อ" ไม่ว่าพวกเชื่อการวิวัฒนาการจะเลือกใช้คำอะไรอธิบายก็ตามแต่ ความจริงก็ยังชัดเจนอยู่เหมือนเดิม นั่นก็คือสิ่งมีชีวิตผลิตสิ่งมีชีวิตตาม "ชนิดเดิมของมัน"
ก่อนช่วงหัวเลี้ยวของศตวรรษ มีคนหัวดื้อคนหนึ่งเหมือนกับดาร์วินที่ได้เขียนเรื่อง "การผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ" (Natural Selection) ก่อนที่ทัศนะนี้เริ่มจะดับสูญไปกับกาลเวลา วงการวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพันธุกรรมได้เกิดขึ้น บางคนที่เริ่มศึกษาเกี่ยวกับพันธุกรรมมีความรู้สึกว่า เขาได้ค้นพบกลไกที่ทำให้เกิดการวิวัฒนาการขึ้นแล้ว นั่นก็คือการผ่าเหล่าทางพันธุกรรม (Genetic Mutations) ความคิดใหม่นี้ได้อธิบายว่าสิ่งมีชีวิตสปีซี่ใหม่เกิดขึ้นได้โดยการผ่าเหล่า (ด้วยอย่างหนึ่งอย่างใด) ซึ่งแทรกเข้าไปในระบบของการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ ปัจจุบันกลไกการวิวัฒนาการคือการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ บวกด้วย การผ่าเหล่าทางพันธุกรรม (เพราะว่าการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติในตัวมันเองไม่มีพลังงานที่สร้างอะไรได้เลย) ผู้เชื่อการวิวัฒนาการจากมหาวิทยาลัย Harvard คือ George Gaylord Simpson ครั้งหนึ่งได้เขียนว่า "การผ่าเหล่าเป็นวัตถุดิบขั้นสุดสำหรับการวิวัฒนาการ" ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นไปล่ะ? การวิวัฒนาการที่ไม่มีกลไกก็เปรียบเหมือนรถยนต์ที่ไม่มีเครื่องยนต์มันจะไม่ไปไหนเลย พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการในที่สุดตระหนักดีว่าการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติแต่ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังไม่สามารถเป็นกลไกเพียงพอ สิ่งมีชีวิตจะไม่เปลี่ยนจากสปีซี่หนึ่งไปเป็นอีกสปีซี่หนึ่งเว้นไว้แต่ว่าพันธุกรรมถูกเปลี่ยน การผ่าเหล่าเกิดขึ้นจากบรรพบุรุษไปยังลูกหลาน สาเหตุเกิดขึ้นจากความหลากหลายของต้นแบบของพันธุกรรมดั้งเดิม
ไม่เป็นการพูดเกินไปที่บอกว่ากลไกอันเดียวเท่านั้นที่เป็นไปได้ของการวิวัฒนาการคือการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติบวกกับการผ่าเหล่าทางพันธุกรรม เราได้รับคำบอกเล่าว่า "ธรรมชาติ" ได้ "เลือก" การผ่าเหล่าที่มีประโยชน์ร่วมกับสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ในที่สุดจะเป็นสาเหตุทำให้สิ่งมีชีวิตเปลี่ยนแปลงจากสิ่งหนึ่งกลายไปเป็นสิ่งอื่น ถ้า "การผ่าเหล่าเป็นวัตถุดิบขั้นสุดสำหรับการวิวัฒนาการ" และแสดงว่าเป็นกลไกอันเดียวที่รู้จักของการวิวัฒนาการ ถ้าเช่นนั้นก็จะมีปัญหาตามมาอีกมากมาย ตัวอย่างเช่น แม้ว่าพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการยอมรับว่าการผ่าเหล่าเป็น "การบกพร่อง" ในการถ่ายทอด DNA และความบกพร่องนี้จะเป็นอันตรายเสมอไป
ปัจจุบันนี้เรารู้จัก ความเป็นไปได้ ของการผ่าเหล่าสามชนิดด้วยกัน
มีคำอธิบายสองประการที่แตกต่างกันมากซึ่งตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เป็นคำอธิบายที่เกี่ยวกับการกำเนิดของจักรวาลและกำเนิดชีวิตในจักรวาล คำอธิบายของแต่ละพวกเป็นทัศนะของคนทั่วโลก หรือเป็นปรัชญา เกี่ยวกับต้นกำเนิดและบั้นปลายของชีวิตและความหมายของชีวิต
ทัศนะของโลกกลุ่มแรกคือทัศนะของ การวิวัฒนาการ พวกนี้บอกว่า ไม่มีผู้สร้าง ตามคำอธิบายของทฤษฎีวิวัฒนาการกล่าวว่าจักรวาล เกิดขึ้นมาเอง นั่นหมายความว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาลล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นโดยขบวนการของธรรมชาติโดยปราศจากอานุภาพพิเศษเข้ามาเกี่ยวข้องจากภายนอก ทัศนะนี้อธิบายว่าต้นกำเนิดและการวิวัฒนาการของจักรวาล (และรวมทั้งสิ่งมีชีวิตในจักรวาล) สามารถอธิบายได้โดยอาศัยเวลา อาศัยความบังเอิญ และอาศัยขบวนการตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามทฤษฎีวิวัฒนาการกล่าวว่าสิ่งที่มีชีวิตทั้งสิ้นได้วิวัฒนาการมาจากสัตว์เซลล์เดียว ซึ่งสัตว์เซลล์เดียวนี้วิวัฒนาการมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต (เช่น กรดอะมิโนหรือโปรตีน)
ทัศนะของโลกกลุ่มที่สองเป็นทัศนะของพวกที่เชื่อว่า มีการสร้าง ตามคำอธิบายของการสร้างกล่าวว่าจักรวาลไม่สามารถเกิดขึ้นมาเอง ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลเกิดขึ้นจากการออกแบบที่สลับซับซ้อน มีจุดประสงค์ เป็นการสร้างด้วยความตั้งใจของผู้ที่มีฤทธิ์มีอำนาจคือพระเจ้าผู้ทรงสร้าง พระองค์ไม่ได้ทรงใช้ขบวนการที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ในการสร้างจักรวาล และในการสร้างโลก และรวมทั้งชีวิตทั้งหลายในโลก (รวมทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์) มีคำตอบที่เป็นไปได้แค่สองอย่างเท่านั้นเกี่ยวกับต้นกำเนิดของชีวิต คำอธิบายไม่อันหนึ่งอันใดจะต้องเป็นความจริง นั่นหมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างสามารถอธิบายได้หรือไม่สามารถอธิบายได้ว่าสารพัดทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาลเป็นขบวนการที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ถ้าเขาสามารถอธิบายได้ว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแสดงว่าทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นความจริง แต่ถ้าเขาไม่สามารถอธิบายได้เช่นนั้นเขาจะต้องยอมรับคำอธิบายการเกิดสารพัดโดยขบวนการทรงสร้างของพระเจ้า
กลุ่มที่เรียกว่าการวิวัฒนาการและกลุ่มที่เรียกว่าการสร้าง ทั้งสองกลุ่มอาจเรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของวิทยาศาสตร์ เพราะทั้งสองกลุ่มใช้ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ในการอธิบายและในการบอกล่วงหน้าว่าอะไรเกิดขึ้น ที่แน่ ๆ ก็คือกลุ่มที่สามารถทำหน้าที่ได้ดีในการอธิบายและบอกล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะเป็นต้นแบบวิทยาศาสตร์ได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่สามารถอธิบายให้เป็นที่จุใจได้
ในการที่จะอธิบายต้นแบบทั้งสองอย่างให้ดีที่สุด ทั้งสองแบบจะต้องอธิบายได้และจะต้องเปรียบเทียบข้อเท็จจริงที่มีทั้งสองฝ่าย การวิวัฒนาการ รวมทั้งเสนอหลักฐานในการแสดงว่าชีวิตที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นผลมาจากการวิวัฒนาการเป็นเวลานับเป็นล้าน ๆ ปี ชีวิตชนิดต่าง ๆ วิวัฒนาการมาจากสัตว์ชั้นต่ำอย่างง่าย ๆ กลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่สลับซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตคือจากสสาร ฝ่ายที่เชื่อว่าสารพัดทุกสิ่งเกิดจาก การทรงสร้างของพระเจ้า เขาจะต้องเสนอหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าชีวิตที่สลับซับซ้อนเหล่านั้นเกิดขึ้นด้วยการสร้างทันที พวกที่เชื่อการทรงสร้างปฏิเสธการวิวัฒนาการแบบตั้งตรง "vertical" evolution (เป็นการวิวัฒนาการจากสสารกลายเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำจนกลายเป็นชีวิตที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยอาศัยเวลานับล้าน ๆ ปี) หรือเรียกอีกอย่างว่า "microevolution" สิ่งที่มีชีวิตที่สลับซับซ้อนวิวัฒนาการมาจากสัตว์เซลล์เดียว และมีการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่มีชีวิตชนิดหนึ่งกลายเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น (เช่น จากตัวอะมีบาค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงกลายมาเป็นคน) แต่ไม่เป็นที่ท้าทายวิวัฒนาการอีกกลุ่มที่เรียกว่า "horizontal" (หรือเรียกอีกอย่างว่า "microevolution" สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในสปีซี่ของชนิดเดียวกัน เช่น นกจะมีจะงอยปากเล็กลงหรือช้างป่าจะเปลี่ยนสีโดยอาศัยเวลานาน)
ความสำคัญของความขัดแย้งระหว่างการสร้างและวิวัฒนาการ
IMPORTANCE OF THE CREATION / EVOLUTION CONTROVERSY
ความขัดแย้งระหว่างการทรงสร้างกับการวิวัฒนาการเป็นประเด็นที่มีความสำคัญมากที่สร้างความสนใจให้แก่นักวิทยาศาสตร์และนักศาสนาอย่างมาก ความขัดแย้งของทั้งสองทัศนะจะสัมผัสได้กับการศึกษาทุกสาขาและสัมผัสกับทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับชีวิต เป็นเรื่องของการขัดแย้งระหว่างสองทัศนะในโลก เพราะฉะนั้นทุกประเทศน่าจะมีกฎหมายเปิดโอกาสให้ทั้งสองทัศนะมีโอกาสได้อธิบายต้นกำเนิดของชีวิตในโรงเรียนและไม่ใช่ผูกขาดในการสอนแต่เพียงทัศนะเดียว มีหนังสือที่เขียนโดยผู้เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ หนังสือเหล่านี้โจมตีทัศนะของผู้ที่เชื่อการทรงสร้าง และมีหนังสือที่เขียนขึ้นโดยผู้เชื่อการทรงสร้างโจมตีทัศนะของผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ สื่อสารมวลชนเข้ามามีบทบาทในการแสดงความคิดเห็นด้วย สมาคมวิทยาศาสตร์ สมาคมครู และนักการเมืองต่างเข้ามามีบทบาทในการแสดงความคิดเห็นด้วย ทั้งสองกลุ่มยอมรับว่าความขัดแย้งหรือความแตกต่างจะไม่มีวัน "เงียบหายไป" ในไม่ช้า
ในอดีตพวกนักวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ ไม่สนใจทัศนะและข้อโต้แย้งของพวกที่เชื่อว่ามีการทรงสร้าง ความคิดดังกล่าวไม่มีอีกแล้วในปัจจุบัน มีเหตุผลดีที่ทำไมนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการเริ่มมีความตระหนกตกใจคิดว่าพวกเชื่อการสร้างเป็นภัยต่อทัศนะของตน ตัวอย่างเช่น ในปี 1981 สมาคมหนังสือพิมพ์ NBC NEWS ได้จัดทำโพลขึ้น ในโพลได้พบว่าคนไม่น้อยกว่า 86% ต้องการให้ทัศนะของผู้ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าผู้สร้างมีสิทธิ์ในการสอนในโรงเรียนเท่าเทียมกับพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 1991 ผลของ Gallup โพล ได้เปิดเผยว่า 47% มีความเชื่อว่ามีการสร้างมนุษย์ซึ่งไม่ใช้เวลานาน เพียงแค่ 9% ที่แสดงความเชื่อว่ามีการวิวัฒนาการตามธรรมชาติที่มีขอบเขต Gallup โพลมีการสำรวจในปี 1997 พบว่าชาวอเมริกัน 44% (รวมทั้งนักศึกษามหาวิทยาลัยอีก 31% ที่จบแล้ว) ได้สมัครเป็นสมาชิกที่มีรายละเอียดน่าอ่านของการทรงสร้างจากหนังสือเยเนซิศ โพลยังเปิดเผยต่อไปว่าอีก 39% (53% เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่เรียนจบแล้ว) มีความเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงสร้างจักรวาล มีแค่ 10% (17% เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่จบแล้ว) เท่านั้นที่ยอมรับการวิวัฒนาการของธรรมชาติ ต่อมาเมื่อเดือนสิงหาคมในปี 1999 Gallup โพลได้ทำการสำรวจผลออกมาค่อนข้างจะใกล้เคียงกัน 47% เชื่อว่ามีการสร้างมนุษย์ที่ใช้เวลาไม่นาน 9% เชื่อว่ามีการวิวัฒนาการตามธรรมชาติ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2000 หนังสือพิมพ์ New York Times ได้ลงเรื่องราวโดยใช้ชื่อเรื่องว่า "สำรวจพบว่ามีการสนับสนุนให้มีการสอน 2 ทฤษฎีเกี่ยวกับต้นกำเนิดของทุกสิ่ง" ซึ่งได้ตัวเลขจากการทำโพลของพวกสิทธิมนุษย์ชน People for the American Way การทำโพลได้จัดทำขึ้นโดย polling/research firm, DYG แห่งเมือง Danbury รัฐ Connecticut ตามรายงานแจ้งว่า 79% ต้องการให้ผู้เชื่อว่ามีการสร้างสามารถมีหลักฐานอธิบายทัศนะของตนในโรงเรียนได้
ผลของการสำรวจดังกล่าวทำให้พวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการผิดหวังมากเพราะพวกเขาคาดว่าคนน่าจะเชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการหลังจากได้สอนว่าทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นความจริงในโรงเรียนและเป็นตำราเรียนมาเป็นเวลานาน ด้วยเหตุนี้เองพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการเริ่มมีความตระหนกตกใจต่อทัศนะของพวกที่เชื่อว่ามีพระเจ้าผู้ทรงสร้าง แม้นักวิทยาศาสตร์หลายคนซึ่งไม่ใช่เป็นผู้เชื่อในการสร้างก็ยังสามารถตระหนักว่าทัศนะของผู้ที่เชื่อว่ามีผู้สร้าง เป็นทัศนะวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุผล ควรหยิบยกขึ้นมาเปรียบเทียบกับทัศนะของพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ นักวิทยาศาสตร์บางคนพูดว่า "ข้าพเจ้าเอนเอียง" ไปกับคำอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ของพวกที่เชื่อว่ามีการทรงสร้างมากกว่าคำอธิบายของพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ อันที่จริง 120 ปีหลังลัทธิดาร์วิน นักวิทยาศาสตร์ที่เจริญก้าวหน้าเป็นจำนวนมากเริ่มตระหนักว่ากฎธรรมชาติและขบวนการต่าง ๆ ที่เราเคยรู้ว่าแน่นอนนั้นบ่งความจริงว่าจักรวาลไม่สามารถสร้างตัวมันเองได้ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ยอมรับว่าทัศนะของผู้ที่เชื่อว่ามีการสร้างเป็นคำอธิบายที่มีหลักฐานดีที่สุดในการเป็นต้นกำเนิดของการเกิดสารพัดทุกสิ่ง หลักฐานอะไรที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์และผู้ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายยอมรับทัศนะของผู้ที่เชื่อว่ามีการทรงสร้าง และคัดค้านทัศนะของผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ?
ความน่าเชื่อถือตามแบบของการสร้าง CREDIBILITY OF THE CREATION MODEL
กฎชีวิตมาจากชีวิต THE LAW OF BIOGENESIS
ในวิทยาศาสตร์สาขาชีวะวิทยา มีกฎของวิทยาศาสตร์กฎหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยอมรับกันอย่างกว้างขวางในวงการของวิทยาศาสตร์ กฎนั้นก็คือ กฎชีวิตมาจากชีวิต Law of Biogenesis กฎนี้ได้เกิดขึ้นหลายปีมาแล้วเพื่อจะอธิบายทั้งทฤษฎีและสิ่งที่ได้ทำการทดลองเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันให้เห็นเป็นความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นชีวิตว่าชีวิตที่เกิดมาภายหลังเกิดมาจากชีวิตที่มาก่อนซึ่งเป็นชีวิตของชนิดเดียวกัน
เป็นเวลาหลายปี นักวิทยาศาสตร์หลายสาขานับเป็นพัน ๆ คนได้บันทึกเป็นเอกสารเกี่ยวกับความจริงของกฎชีวิตมาจากชีวิต Law of Biogenesis อันที่จริงกฎที่ว่าชีวิตมาจากชีวิตเป็นกฎวิทยาศาสตร์ซึ่งตั้งไว้อย่างมั่นคงก่อนที่ทฤษฎีวิวัฒนาการยุคใหม่จะเกิดขึ้นด้วยซ้ำไป เป็นที่น่าสนใจที่จะรู้ว่ากฎชีวิตมาจากชีวิตได้ถูกสอนอย่างสม่ำเสมอในชั้นเรียนชีวะวิทยาตามโรงเรียนและตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ซึ่งมีผลดีอย่างมาก เช่น นักศึกษาได้เรียนรู้เกี่ยวกับผลงานของ Louis Pasteur เขาได้พบความจริงบนพื้นฐานความเชื่อที่ผิดว่าชีวิตเกิดขึ้นจากการวิวัฒนาการเป็นเวลานานSpontaneous generation (บนพื้นฐานความคิดที่ว่าชีวิตเกิดมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต) นักศึกษาได้ศึกษาประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับผลงานของLouis Pasteur อย่างละเอียดว่าเขาสามารถที่จะเอาชนะกับ "นิทานเก่า ๆ" หลุยส์ ปาสเตอร์ ได้เสนอผลงานที่ "ยอดเยี่ยม" ให้กับวงการวิทยาศาสตร์ในการที่ท่านได้พิสูจน์ให้เห็นว่าชีวิตที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต แค่ช่วงหายใจเดียวนักเรียนนักศึกษาได้รับคำบอกว่าขบวนการวิวัฒนาการเกิดขึ้นโดยบังเอิญเป็นเวลานานนับเป็นล้าน ๆ ปี เป็นอันต้องจบลง
แน่นอนการวิวัฒนาการไม่เกิดขึ้นโดยปราศจากสสารที่เปลี่ยนเป็นชีวิตอาศัยเวลาล้าน ๆ ปี Spontaneous generation โดยเหตุนี้เองนักวิทยาศาสตร์เป็นจำนวนมากได้ทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าชีวิตเกิดจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต ท่ามกลางความสับสนอลเวงในการทดลองอันเกี่ยวข้องกับ "ต้นกำเนิดของชีวิต" จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถ "สร้างชีวิต" หรือแม้กระทั่งสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดก็ยังทำไม่ได้ ความจริงก็คือว่าการทดลองที่กระทำกันในห้องทดลองไม่สามารถที่จะสร้างชีวิตให้เกิดขึ้นจากสิ่งไม่มีชีวิตได้ ผลจากการทดลองที่ทำได้แค่นี้ก็เพราะเขาต้องจำลองสภาวะที่อาจจะทำให้เกิดขึ้นได้ยิ่งจะทำให้เป็นไปได้ยาก ในธรรมชาติหรือในห้องทดลองนักวิทยาศาสตร์ไม่เคยบันทึกเป็นเอกสารยืนยันว่าชีวิตได้เกิดขึ้นจากสิ่งไม่มีชีวิต แต่สิ่งที่เราได้เห็นคือ วัวออกลูกมาเป็นวัว นกออกลูกมาเป็นนก กุหลาบออกมาเป็นกุหลาบ ข้าวโพดออกมาเป็นข้าวโพด ฯลฯ เมื่อไม่นานมานี้ผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการแสดงความไม่พอใจว่า กฎ Biogenesis ไม่ใช่เป็น "กฎ" เขาบอกว่ามันเป็นแค่ "หลักการ" หรือเป็น "ทฤษฎี" หรือเป็นภาษิต "dictum" มีคำใหม่ ๆ เกิดขึ้นซึ่งแนะนำโดยพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ ที่เขาทำอย่างนี้ไม่ใช่เพราะว่าเขาได้ทำการทดลองและพิสูจน์ได้ว่า ชีวิตมาจากสิ่งไม่มีชีวิต แต่เป็นเพราะพวกเขาเริ่มตระหนักแล้วว่าทฤษฎีวิวัฒนาการจะไม่สามารถเป็นความจริงตราบใดก็ตามที่กฎของ Biogenesis เป็นความจริง ถ้านักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่า กฎชีวิตมาจากชีวิต Law of Biogenesis เป็นกฎของวิทยาศาสตร์จริง นั่นแสดงว่าพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการจะไม่สามารถโผล่หัวได้เลย ถึงแม้ว่าพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการเกลียดไม่อยากยอมรับว่า Biogenesis สะท้อนให้เห็นกฎธรรมชาติ เพราะว่ายังไม่มีเอกสารสักชิ้นเดียวที่ยืนยันว่าสิ่งที่มีชีวิตมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต เพราะฉะนั้นถ้าชีวิตบนโลกนี้ไม่ได้เกิดมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต ถ้าเช่นนั้นชีวิตเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ความจริงก็คือว่าหลักฐานชิ้นเล็กชิ้นน้อยของวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนทัศนะทีว่าชีวิตเกิดมาจากชีวิตที่มาก่อนหน้านั้น รายละเอียดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่เรามีแสดงว่านี่เป็นความจริงของธรรมชาติ กฎของชีวิตมาจากชีวิต Law of Biogenesis ได้ทำลายล้างทฤษฎีวิวัฒนาการโดยสิ้นเชิง
การเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ NATURAL SELECTION
ชาร์ลส์ ดาร์วิน ได้พิมพ์หนังสือในเดือนพฤศจิกายน ปี 1859 หนังสือที่โด่งดังมีชื่อว่า The Origin of the Species by Means of Natural Selection ปฐมกำเนิดของสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ โดยการเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ ประโยคหลัง "การเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ" ได้นำมาอภิปรายกันอย่างกว้างขวางในห้องประชุมของวิทยาศาสตร์ ดาร์วินกล่าวว่า "การเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติเกิดขึ้นทุกชั่วโมง เป็นที่มาของความแตกต่างแม้กระทั่งเพียงแค่นิดเดียว ขจัดคุณสมบัติที่ไม่ดีออกไป อนุรักษ์และเพิ่มเติมคุณสมบัติที่ดีทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน เป็นไปอย่างเงียบ ๆ เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยเป็นการพัฒนาสิ่งมีชีวิตให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ" ทัศนะของดาร์วินเกี่ยวกับ "การเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ" (หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อใหม่ว่า "Survival of the fittest" ตัวที่แข็งแรงจะอยู่รอดได้) กลายมาเป็นศูนย์กลางความคิดของทฤษฎีวิวัฒนาการ ตามความคิดของดาร์วิน สัตว์ตัวใดที่แข็งแรงได้เปรียบ "ตัวที่เหมาะสมที่สุด" จะถูกเลือกโดยธรรมชาติและผ่านคุณสมบัติที่ได้เปรียบไปยังลูกหลานของมัน ตัวอย่างเช่น ม้าตัวใดที่มีขายาวจะวิ่งได้เร็วกว่าตัวที่มีขาสั้น ดังนั้นตัวที่มีขายาวจะสามารถวิ่งหนีพ้นจากการตกเป็นเหยื่อได้ ความแข็งแรงของบรรพบุรุษจะถ่ายทอดไปยังลูก ๆ ของมันต่อไปได้ เพราะฉะนั้นสัตว์ตัวที่ "อยู่รอด" จึงเป็นสัตว์ที่สามารถทำหน้าที่ได้ดีที่สุดทำให้มันสามารถเอาชีวิตรอด เป็นวิธีปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมและการดำรงชีวิต นี่คือสิ่งที่ดาร์วินชี้แจงความหมายของคำว่า "Survival of the fittest ตัวที่แข็งแรงจะอยู่รอดได้" ไม่ช้าไม่นานปัญหาเรื่อง "การเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ" ก็ได้เกิดขึ้น จะเป็นด้วยอย่างไรก็ตามการเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติควรจะสนับสนุนหลักที่ว่า "ตัวที่แข็งแรงที่สุดจะอยู่รอดได้" แต่วิธีที่เป็นจริงจะอธิบาย "ตัวที่เหมาะสมที่สุด" คือ "ตัวที่สามารถอยู่รอดได้" พูดให้เข้าใจเสียใหม่ง่าย ๆ ว่าพวกที่เชื่อการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติจะบอกกับเราว่าพวกที่ชนะทั้งหมดคือพวกที่ชนะ และพวกที่ชนะคือผู้ชนะ พวกที่เชื่อการเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติไม่ได้อธิบายว่าสิ่งมีชีวิตแต่ละสปีซี่สามารถปรับตัวได้อย่างไร และชีวิตแบบต่าง ๆ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งเดียวเท่านั้นที่พวกเชื่อการเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติอธิบายก็คือว่า สัตว์ตัวที่ "เหมาะสมที่สุด" สามารถอยู่รอดได้ แล้วหันกลับไปอธิบายว่าสัตว์ต่าง ๆ ที่อยู่รอดเป็นสัตว์ที่ "เหมาะสมที่สุด" อย่างไรก็ตามพวกที่เชื่อการเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติไม่ได้อธิบายว่าสัตว์ต่าง ๆ กลายมาเป็น สัตว์ที่ "เหมาะสมที่สุด" ได้อย่างไร?
ผู้ที่เชื่อว่ามีการสร้างไม่เคยปฏิเสธความคิดเรื่องการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติว่าเป็นกลไกในการกำจัดสิ่งมีชีวิตที่ไม่เหมาะสม หรือสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถปรับตัวได้ อันที่จริงผู้ที่เชื่อว่ามีการสร้างได้กล่าวว่าการเลือกผสมพันธุ์ตามธรรมชาติเป็นหลักในการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตก่อนที่ดาร์วินด้วยซ้ำไป เป็นกลไกในการเลือกสรรตัวที่ไม่เหมาะสมให้ถูกกำจัดออกไป การผสมพันธุ์ตามธรรมชาติเป็นแบบแผนของพระเจ้าเพื่อป้องกันมิให้เกิดการผสมพันธุ์ผ่าเหล่าที่อันตรายเกิดขึ้น (Mutation) อันจะเป็นการทำลายเผ่าพันธุ์ในสปีซี่เดียวกันทั้งหมด และมันจะเกิดเช่นนั้นจริง ๆ ถ้าไม่มีกลไกนี้ควบคุมไว้ ไม่มีใครสามารถประดิษฐ์แม้สักสปีซี่เดียวด้วยการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ และมันไม่สามารถอธิบายเรื่องการปรับตัวเองเข้ากับธรรมชาติ ความเป็นจริงสิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวเองเข้ากับสิ่งแวดล้อม ไม่ได้บอกอะไรเราเลยว่าสิ่งมีชีวิตนั้น สามารถปรับตัวได้อย่างไร สิ่งที่มีชีวิตที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้จะไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ แต่นี่ไม่เป็นการพิสูจน์ว่าการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมเป็นผลผลิตของวิวัฒนาการ คำคัดค้านจากการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติเป็นเหตุผลที่วนไปวนมา ควรจะปฏิเสธคำอธิบายแบบนี้ได้แล้ว เป็นที่แน่ชัดว่าไม่สามารถอธิบายสิ่งมีชีวิตที่สลับซับซ้อนอีกมากมายที่อยู่รอบตัวเรา ข้อโต้แย้งที่วกวนไปมาไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะ "อธิบาย" ให้เป็นที่เข้าใจได้ และไม่สามารถ "สร้าง" สิ่งที่เกิดได้
พันธุกรรม GENETICS
วิทยาการอันใหม่ล่าสุดและที่น่าตื่นเต้นที่สุดในวงการของวิทยาศาสตร์ก็คือ พันธุกรรม ในที่สุดเราก็เรียนรู้จากพันธุกรรมว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิด ทั้งพืช สัตว์ หรือ มนุษย์ เป็นห้องพัสดุที่เก็บข้อมูลทางพันธุกรรมไว้อย่างมากมายมหาศาล ดังนี้จึงนับว่าเป็น "ห้องแลบหรือห้องทดลอง" ที่เต็มไปด้วยความรู้ของวิทยาศาสตร์ จากการศึกษาพบว่าข้อมูลเกี่ยวกับกรรมพันธุ์อยู่ภายในเซลล์เล็ก ๆ ที่มีชีวิต ในเซลล์เล็ก ๆ นั้นประกอบด้วยข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นรหัสเคมี (Chemical "Code") และรหัสนี้มีลักษณะสากลคือมีอยู่ทั่วไปในสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายทุกคนไม่ว่าเขาจะมีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับจุดกำเนิดของชีวิตก็ตามแต่ นักวิทยาศาสตร์ทุกคนยอมรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการชาวอังกฤษ ชื่อ Richard Dawkins ได้ให้ข้อสังเกตว่า "รหัสทางพันธุกรรมเป็นสิ่งสากล ศัพท์ที่สมบูรณ์ชนิดคำต่อคำของความเป็นสากลของพจนานุกรมทางพันธุกรรมคือ เป็นสิ่งดีที่สุดเหนือคำบรรยาย" ผู้ที่เชื่อว่ามีการสร้างเห็นพ้องด้วย ตัวอย่างเช่น Darrel Kautz ได้เขียนว่า "เป็นที่ยอมรับโดยนักชีวะวิทยาที่เกี่ยวกับโมเลกุลว่ารหัสทางพันธุกรรทเป็นสิ่งสากล เป็นตัวกำหนดให้เห็นสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่ปรากฏออกมาภายนอก" สิ่งสำคัญประการหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องพันธุกรรม ได้ตั้งข้อสังเกตว่าผู้ที่เชื่อการวิวัฒนาการมีความขัดแย้งกับเรื่องต้นกำเนิดของทุกสิ่ง รหัสพันธุกรรมทางเคมียืนยันการสร้างเป็นอย่างดี รหัสพันธุกรรมทางเคมีทำหน้าที่สั่งให้พิมพ์สิ่งมีชีวิตให้เป็นชนิดเดียวกันเหมือนต้นแบบเดิมอย่างสัตย์ซื่อครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่ผิดพลาด" ชบาจะผลิตออกมาเป็นชบาไม่ใช่เป็นอย่างอื่น นกกระจอกจะผลิตออกมาเป็นนกกระจอก และมนุษย์จะผลิตออกมาเป็นมนุษย์จะไม่เป็นอย่างอื่น เพราะว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทำหน้าที่พิมพ์สิ่งมีชีวิตให้ผลิตออกมาเหมือนต้นแบบของรหัสพันธุกรรมตามบรรพบุรุษเดิม ผู้ที่เชื่อการวิวัฒนาการคนหนึ่งได้กล่าวไว้อย่างสละสลวยว่าเป็น "พืชพันธุ์อันถาวรและไม่สามารถทำลายได้" (permanence and indestructibility of the seed) อีกท่านได้กล่าวว่า รหัสพันธุกรรมตามต้นแบบเดิม "พิมพ์อย่างสัตย์ซื่อ" ไม่ว่าพวกเชื่อการวิวัฒนาการจะเลือกใช้คำอะไรอธิบายก็ตามแต่ ความจริงก็ยังชัดเจนอยู่เหมือนเดิม นั่นก็คือสิ่งมีชีวิตผลิตสิ่งมีชีวิตตาม "ชนิดเดิมของมัน"
ก่อนช่วงหัวเลี้ยวของศตวรรษ มีคนหัวดื้อคนหนึ่งเหมือนกับดาร์วินที่ได้เขียนเรื่อง "การผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ" (Natural Selection) ก่อนที่ทัศนะนี้เริ่มจะดับสูญไปกับกาลเวลา วงการวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพันธุกรรมได้เกิดขึ้น บางคนที่เริ่มศึกษาเกี่ยวกับพันธุกรรมมีความรู้สึกว่า เขาได้ค้นพบกลไกที่ทำให้เกิดการวิวัฒนาการขึ้นแล้ว นั่นก็คือการผ่าเหล่าทางพันธุกรรม (Genetic Mutations) ความคิดใหม่นี้ได้อธิบายว่าสิ่งมีชีวิตสปีซี่ใหม่เกิดขึ้นได้โดยการผ่าเหล่า (ด้วยอย่างหนึ่งอย่างใด) ซึ่งแทรกเข้าไปในระบบของการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ ปัจจุบันกลไกการวิวัฒนาการคือการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ บวกด้วย การผ่าเหล่าทางพันธุกรรม (เพราะว่าการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติในตัวมันเองไม่มีพลังงานที่สร้างอะไรได้เลย) ผู้เชื่อการวิวัฒนาการจากมหาวิทยาลัย Harvard คือ George Gaylord Simpson ครั้งหนึ่งได้เขียนว่า "การผ่าเหล่าเป็นวัตถุดิบขั้นสุดสำหรับการวิวัฒนาการ" ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นไปล่ะ? การวิวัฒนาการที่ไม่มีกลไกก็เปรียบเหมือนรถยนต์ที่ไม่มีเครื่องยนต์มันจะไม่ไปไหนเลย พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการในที่สุดตระหนักดีว่าการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติแต่ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังไม่สามารถเป็นกลไกเพียงพอ สิ่งมีชีวิตจะไม่เปลี่ยนจากสปีซี่หนึ่งไปเป็นอีกสปีซี่หนึ่งเว้นไว้แต่ว่าพันธุกรรมถูกเปลี่ยน การผ่าเหล่าเกิดขึ้นจากบรรพบุรุษไปยังลูกหลาน สาเหตุเกิดขึ้นจากความหลากหลายของต้นแบบของพันธุกรรมดั้งเดิม
ไม่เป็นการพูดเกินไปที่บอกว่ากลไกอันเดียวเท่านั้นที่เป็นไปได้ของการวิวัฒนาการคือการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติบวกกับการผ่าเหล่าทางพันธุกรรม เราได้รับคำบอกเล่าว่า "ธรรมชาติ" ได้ "เลือก" การผ่าเหล่าที่มีประโยชน์ร่วมกับสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ในที่สุดจะเป็นสาเหตุทำให้สิ่งมีชีวิตเปลี่ยนแปลงจากสิ่งหนึ่งกลายไปเป็นสิ่งอื่น ถ้า "การผ่าเหล่าเป็นวัตถุดิบขั้นสุดสำหรับการวิวัฒนาการ" และแสดงว่าเป็นกลไกอันเดียวที่รู้จักของการวิวัฒนาการ ถ้าเช่นนั้นก็จะมีปัญหาตามมาอีกมากมาย ตัวอย่างเช่น แม้ว่าพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการยอมรับว่าการผ่าเหล่าเป็น "การบกพร่อง" ในการถ่ายทอด DNA และความบกพร่องนี้จะเป็นอันตรายเสมอไป
ปัจจุบันนี้เรารู้จัก ความเป็นไปได้ ของการผ่าเหล่าสามชนิดด้วยกัน
(1) การผ่าเหล่าชนิดเลว
(2) การผ่าเหล่าชนิดดี
(3) การผ่าเหล่าชนิดกลาง
ในความแตกต่างระหว่างผู้ที่เชื่อว่ามีการสร้างกับผู้ที่เชื่อการวิวัฒนาการ การผ่าเหล่าชนิดกลางไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะมันไม่มี "ผลในการตอบสนอง" แล้วการผ่าเหล่าชนิดดีกับชนิดเลวล่ะจะพูดอย่างไรดี? การผ่าเหล่าที่เหลือ (หลังจากที่ได้ตัดการเผ่าเหล่าชนิดกลางออกไปแล้ว) 99% ของการผ่าเหล่าทั้งหมดเป็นอันตราย พิจารณาดูตัวอย่างดังต่อไปนี้
1. การผ่าเหล่าแทบจะไม่เกิด Mutation are random ไม่มีทางที่จะรู้ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำเลยว่าการผ่าเหล่าจะเกิดขึ้นได้ พูดง่าย ๆ ก็คือว่าธรรมชาติไม่ได้ทำหน้าที่ใน "การเลือก" อะไรเลย แทนที่ "ธรรมชาติ" จะเลือกกลายเป็นว่าธรรมชาติรับอะไรก็ได้ที่ผ่านเข้ามา คำถามที่เกิดขึ้นก็คือว่า "อะไรที่ผ่านเข้ามาล่ะ?"
2. การผ่าเหล่าเกิดขึ้นน้อยมาก Mutation are very rare การผ่าเหล่าเกิดขึ้นน้อยมากเท่าไร? นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า "เป็นการยุติธรรมที่จะคำนวณดูว่าการผ่าเหล่าเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงความเป็นไปได้อยู่ระหว่าง หนึ่งในหมื่นและหนึ่งต่อหนึ่งล้าน ต่อ gene หนึ่งหน่วยต่อหนึ่งชั่วอายุ" พวกที่เชื่อวิวัฒนาการยอมรับตรงไปตรงมาแบบลับ ๆ ว่าการค้นคว้าของนักชีวะวิทยารู้ว่า การผ่าเหล่าเกิดขึ้นน้อยมาก และถ้าเกิดขึ้นก็แทบจะหาไม่พบเลย
3. การผ่าเหล่าที่ดีนั้นเกิดขึ้นน้อยมากแทบจะไม่มีเลย ตามทฤษฎีมีการผ่าเหล่าอยู่สามชนิด ชนิดดี, ชนิดเลว, ชนิดกลาง เป็นที่ชัดเจนว่าการผ่าเหล่าชนิดเลว (เป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่าง ๆ และตายไป) ไม่ใช่เป็นการผ่าเหล่าที่พวกวิวัฒนาการต้องการ ส่วนการผ่าเหล่าชนิดกลางไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย เพราะพวกเขาจะต้องพึ่งการผ่าเหล่าที่จะเกิดขึ้นเพื่อเป็น "ประโยชน์" (ในความหมายของการวิวัฒนาการ) ดังนั้นคำถามที่แท้จริงก็คือ การผ่าเหล่า ชนิดดี เกิดขึ้นบ่อยครั้งเท่าใด? Hermann J. Muller ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาพันธุกรรมกล่าวว่า "โดยความเป็นจริงแล้วการผ่าเหล่าส่วนมากประมาณ 99% เป็นอันตรายไม่อย่างหนึ่งก็อย่างใด เป็นสิ่งที่คาดว่าจะเป็นอุบัติเหตุอันเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้น"
เราจะสรุปข้อเท็จจริงอย่างไร? Dr. Simpson ยอมรับว่า ถ้าสมมุติว่ามีคน 100 ล้านคนทำการผสมพันธุ์และสมมุติว่าเขาสามารถผลิตคนรุ่นใหม่ ทุก ๆ วัน จะเกิดการวิวัฒนาการที่มีผลดีด้วยการผ่าเหล่า คิดเป็นตัวเลขความเป็นไปได้ หนึ่งครั้งต่อ 274 พันล้านปี Dr. Simpson ถูกบีบบังคับให้ต้องสรุปว่า "เว้นไว้แต่ว่ามีข้อเท็จจริงบางประการที่ทำให้เพิ่มโอกาสอย่างมากมายมหาศาลในการทำให้เกิดการผ่าเหล่า ขบวนการเช่นนั้นไม่มีส่วนอะไรเลยในการวิวัฒนาการ" การผ่าเหล่าส่วนมากเป็นการทำลายมากกว่าสร้าง และไม่สามารถเป็นกลไกในการเกิดการวิวัฒนาการ
รหัสทางพันธุกรรมซึ่งประกอบด้วยความละเอียดและสลับซับซ้อน อย่างมีระเบียบ และทำหน้าที่อย่างดีมาก รหัสทางพันธุกรรมจึงเป็นหลักฐานอันทรงพลังในการพิสูจน์เกี่ยวกับการมีแบบอันชาญฉลาดซึ่งแสดงให้เห็นว่าจะต้องมีผู้มีสติปัญญาที่อยู่เบื้องหลังในการสร้างทุกสิ่ง อันที่จริงความมีระเบียบและความละเอียดอันสลับซับซ้อนในตัวของมันเองไม่ใช่เป็นแค่ปรากฏการธรรมดา แม่แบบในการสร้างเป็นตัวกำหนดความหลากหลายซึ่งอยู่ใน Gene หรือในกรรมพันธุ์ ถ้าสิ่งมีชีวิตได้ถูกสร้างขึ้น ความหลากหลายภายในชนิดเดียวกันแสดงว่าเป็นการออกแบบที่ดี แต่สิ่งที่เป็นอันตรายก็คือการผ่าเหล่า เพราะการผ่าเหล่ากลาย เป็นปฏิปักษ์ ต่อการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เรื่องราวเกี่ยวกับการผ่าเหล่าและการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติกลายเป็นเรื่องที่สนับสนุนคำอธิบายของผู้ที่เชื่อว่ามีการสร้างชัดมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับคำอธิบายของการวิวัฒนาการ
สรุป
ในบทเรียนนี้เราได้เห็นการโต้วาทีระหว่างการสร้างกับการวิวัฒนาการ เราเรียนรู้ว่าคำอธิบายของการสร้างเป็นคำอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุผลมากกว่าสมควรแก่การพิจารณา แท้ที่จริงหลักฐานที่มีชี้ให้เห็นว่ามีการออกแบบมากกว่าที่จะเชื่อว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นโดยบังเอิญโดยอาศัยเวลานับเป็นพันล้านปี บทเรียนบทต่อไป เราจะพิจารณาประเด็นของการสร้างกับการวิวัฒนาการต่อไป
1. การผ่าเหล่าแทบจะไม่เกิด Mutation are random ไม่มีทางที่จะรู้ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำเลยว่าการผ่าเหล่าจะเกิดขึ้นได้ พูดง่าย ๆ ก็คือว่าธรรมชาติไม่ได้ทำหน้าที่ใน "การเลือก" อะไรเลย แทนที่ "ธรรมชาติ" จะเลือกกลายเป็นว่าธรรมชาติรับอะไรก็ได้ที่ผ่านเข้ามา คำถามที่เกิดขึ้นก็คือว่า "อะไรที่ผ่านเข้ามาล่ะ?"
2. การผ่าเหล่าเกิดขึ้นน้อยมาก Mutation are very rare การผ่าเหล่าเกิดขึ้นน้อยมากเท่าไร? นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า "เป็นการยุติธรรมที่จะคำนวณดูว่าการผ่าเหล่าเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงความเป็นไปได้อยู่ระหว่าง หนึ่งในหมื่นและหนึ่งต่อหนึ่งล้าน ต่อ gene หนึ่งหน่วยต่อหนึ่งชั่วอายุ" พวกที่เชื่อวิวัฒนาการยอมรับตรงไปตรงมาแบบลับ ๆ ว่าการค้นคว้าของนักชีวะวิทยารู้ว่า การผ่าเหล่าเกิดขึ้นน้อยมาก และถ้าเกิดขึ้นก็แทบจะหาไม่พบเลย
3. การผ่าเหล่าที่ดีนั้นเกิดขึ้นน้อยมากแทบจะไม่มีเลย ตามทฤษฎีมีการผ่าเหล่าอยู่สามชนิด ชนิดดี, ชนิดเลว, ชนิดกลาง เป็นที่ชัดเจนว่าการผ่าเหล่าชนิดเลว (เป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่าง ๆ และตายไป) ไม่ใช่เป็นการผ่าเหล่าที่พวกวิวัฒนาการต้องการ ส่วนการผ่าเหล่าชนิดกลางไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย เพราะพวกเขาจะต้องพึ่งการผ่าเหล่าที่จะเกิดขึ้นเพื่อเป็น "ประโยชน์" (ในความหมายของการวิวัฒนาการ) ดังนั้นคำถามที่แท้จริงก็คือ การผ่าเหล่า ชนิดดี เกิดขึ้นบ่อยครั้งเท่าใด? Hermann J. Muller ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาพันธุกรรมกล่าวว่า "โดยความเป็นจริงแล้วการผ่าเหล่าส่วนมากประมาณ 99% เป็นอันตรายไม่อย่างหนึ่งก็อย่างใด เป็นสิ่งที่คาดว่าจะเป็นอุบัติเหตุอันเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้น"
เราจะสรุปข้อเท็จจริงอย่างไร? Dr. Simpson ยอมรับว่า ถ้าสมมุติว่ามีคน 100 ล้านคนทำการผสมพันธุ์และสมมุติว่าเขาสามารถผลิตคนรุ่นใหม่ ทุก ๆ วัน จะเกิดการวิวัฒนาการที่มีผลดีด้วยการผ่าเหล่า คิดเป็นตัวเลขความเป็นไปได้ หนึ่งครั้งต่อ 274 พันล้านปี Dr. Simpson ถูกบีบบังคับให้ต้องสรุปว่า "เว้นไว้แต่ว่ามีข้อเท็จจริงบางประการที่ทำให้เพิ่มโอกาสอย่างมากมายมหาศาลในการทำให้เกิดการผ่าเหล่า ขบวนการเช่นนั้นไม่มีส่วนอะไรเลยในการวิวัฒนาการ" การผ่าเหล่าส่วนมากเป็นการทำลายมากกว่าสร้าง และไม่สามารถเป็นกลไกในการเกิดการวิวัฒนาการ
รหัสทางพันธุกรรมซึ่งประกอบด้วยความละเอียดและสลับซับซ้อน อย่างมีระเบียบ และทำหน้าที่อย่างดีมาก รหัสทางพันธุกรรมจึงเป็นหลักฐานอันทรงพลังในการพิสูจน์เกี่ยวกับการมีแบบอันชาญฉลาดซึ่งแสดงให้เห็นว่าจะต้องมีผู้มีสติปัญญาที่อยู่เบื้องหลังในการสร้างทุกสิ่ง อันที่จริงความมีระเบียบและความละเอียดอันสลับซับซ้อนในตัวของมันเองไม่ใช่เป็นแค่ปรากฏการธรรมดา แม่แบบในการสร้างเป็นตัวกำหนดความหลากหลายซึ่งอยู่ใน Gene หรือในกรรมพันธุ์ ถ้าสิ่งมีชีวิตได้ถูกสร้างขึ้น ความหลากหลายภายในชนิดเดียวกันแสดงว่าเป็นการออกแบบที่ดี แต่สิ่งที่เป็นอันตรายก็คือการผ่าเหล่า เพราะการผ่าเหล่ากลาย เป็นปฏิปักษ์ ต่อการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เรื่องราวเกี่ยวกับการผ่าเหล่าและการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติกลายเป็นเรื่องที่สนับสนุนคำอธิบายของผู้ที่เชื่อว่ามีการสร้างชัดมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับคำอธิบายของการวิวัฒนาการ
สรุป
ในบทเรียนนี้เราได้เห็นการโต้วาทีระหว่างการสร้างกับการวิวัฒนาการ เราเรียนรู้ว่าคำอธิบายของการสร้างเป็นคำอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุผลมากกว่าสมควรแก่การพิจารณา แท้ที่จริงหลักฐานที่มีชี้ให้เห็นว่ามีการออกแบบมากกว่าที่จะเชื่อว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นโดยบังเอิญโดยอาศัยเวลานับเป็นพันล้านปี บทเรียนบทต่อไป เราจะพิจารณาประเด็นของการสร้างกับการวิวัฒนาการต่อไป