บทที่ 6
บทที่6
การสร้างกับวิวัฒนาการ CREATION VS. EVOLUTION ตอนที่ 2
ในบทเรียนบทที่ 5 เราได้ชี้แจงให้เห็นแนวความคิดของผู้เชื่อว่ามีการสร้างเป็นคำอธิบายซึ่งเป็นที่ยอมรับของวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับต้นกำเนิดของจักรวาล ในบทเรียนบทนี้เราจะได้พิจารณาโฉมหน้าที่แท้จริงของการวิวัฒนาการรวมทั้งพิจารณาหลักฐานต่าง ๆ ที่สนับสนุนว่า เพราะเหตุใดแนวความคิดของผู้ที่เชื่อว่ามีการสร้างสัมพันธ์กับวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงมากยิ่งกว่าความคิดของพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ
การวิวัฒนาการเป็น "ข้อเท็จจริง" ทางวิทยาศาสตร์หรือ?
IS EVOLUTION A "FACT" OF SCIENCE?
เมื่อเรากล่าวถึงต้นกำเนิดของจักรวาลและสารพัดทุกสิ่งที่อยู่ในจักรวาล เราไม่สามารถกล่าวในฐานะเป็นพยานที่รู้เห็นได้ด้วยตาหรือได้วิเคราะห์ด้วยตัวเองของการเกิดจักรวาลตั้งแต่แรก เพราะไม่มีใครเลยในพวกเราอยู่ที่นั่นตอนที่มันเกิด ดังนั้นในการหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เราจะต้องหาเหตุผลที่ตั้งอยู่บนการสันนิษฐานหรือตั้งอยู่บนสมมุติฐานหรือตั้งอยู่บนทฤษฎีบนข้อเท็จจริงที่เรามี การสันนิษฐาน เป็นวิธีใช้เมื่อเริ่มต้นในการค้นคว้าวิจัย สมมุติฐาน คือการเดาที่อาศัยวิชาการศึกษาหรือการสันนิษฐานที่น่าจะเป็นไปได้ ทฤษฎี คือหลักการทั่วไปหรือหลักการจำนวนหนึ่งซึ่งอาจนำมาใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์บางอย่างและซึ่งได้รับการยืนยันด้วยข้อเท็จจริงบางอย่างผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นจำนวนมากอ้างว่าการวิวัฒนาการได้รับการพิสูจน์แล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงบอกว่าทฤษฎีวิวัฒนาการไม่ควรถูกนับว่าเป็นทฤษฎี แต่ควรยมรับว่าเป็นข้อเท็จจริง คนในยุคนี้คงรู้จักคนที่ชื่อ Francis Crick และ James Watson นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองได้รับรางวัลโนเบล จากการค้นพบ DNA (โมเลกุลซึ่งอยู่ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับพันธุกรรม) หลายปีหลังจากการค้นพบของทั้งสอง Dr. Watson ได้เขียนหนังสือชื่อ The Molecular Biology of the Gene (ชีวะโมเลกุลของพันธุกรรม) เขาได้กล่าวเอาไว้ว่า "ปัจจุบันทฤษฎีวิวัฒนาการถูกยอมรับว่าเป็นความจริง" หลายปีต่อมาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ปี 1999 มีบทความจาก Time magazine ผู้เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการแห่งมหาวิทยาลัย Harvard ชื่อStephen J. Gould ได้กล่าวว่า "ทฤษฎีวิวัฒนาการได้บันทึกเป็นเอกสารยืนยันว่าเป็นปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกับปรากฏการณ์ของโลกที่โคจรรอบดวงอาทิตย์แทนที่จะเป็นดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก" ในความหมายอย่างนี้แหละเราเรียกการวิวัฒนาการว่าเป็น "ข้อเท็จจริง" การวิวัฒนาการเป็น "ข้อเท็จจริง" ทางวิทยาศาสตร์หรือเปล่า? คำตอบคือไม่ใช่ คำจำกัดความของข้อเท็จจริงหมายความว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นจริง" หรือ "บางสิ่งที่ได้เกิดขึ้นจริง" ด้วยมาตรฐานคำจำกัดความดังกล่าว โปรดพิจารณาสิ่งต่อไปนี้
การวิวัฒนาการไม่สามารถยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริงได้ เพราะการวิวัฒนาการตั้งอยู่บนสมมุติฐานซึ่งยังไม่ได้รับการพิสูจน์ หลายปีที่ผ่านมามีผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการแห่งประเทศอังกฤษมีชื่อว่า George Kerkutt ได้เขียน ข้อสงสัยต่าง ๆ เจ็ดข้อ ซึ่งเป็นข้อสมมุติฐานได้เขียนไว้ในหนังสือซึ่งแจกจ่ายไปอย่างกว้างขวาง หนังสือชื่อ The Implication of Evolution ข้อสมมุติฐานสองประการซึ่งอยู่ในรายการมีดังนี้
ในบทเรียนบทที่ 5 เราได้ชี้แจงให้เห็นแนวความคิดของผู้เชื่อว่ามีการสร้างเป็นคำอธิบายซึ่งเป็นที่ยอมรับของวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับต้นกำเนิดของจักรวาล ในบทเรียนบทนี้เราจะได้พิจารณาโฉมหน้าที่แท้จริงของการวิวัฒนาการรวมทั้งพิจารณาหลักฐานต่าง ๆ ที่สนับสนุนว่า เพราะเหตุใดแนวความคิดของผู้ที่เชื่อว่ามีการสร้างสัมพันธ์กับวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงมากยิ่งกว่าความคิดของพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ
การวิวัฒนาการเป็น "ข้อเท็จจริง" ทางวิทยาศาสตร์หรือ?
IS EVOLUTION A "FACT" OF SCIENCE?
เมื่อเรากล่าวถึงต้นกำเนิดของจักรวาลและสารพัดทุกสิ่งที่อยู่ในจักรวาล เราไม่สามารถกล่าวในฐานะเป็นพยานที่รู้เห็นได้ด้วยตาหรือได้วิเคราะห์ด้วยตัวเองของการเกิดจักรวาลตั้งแต่แรก เพราะไม่มีใครเลยในพวกเราอยู่ที่นั่นตอนที่มันเกิด ดังนั้นในการหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เราจะต้องหาเหตุผลที่ตั้งอยู่บนการสันนิษฐานหรือตั้งอยู่บนสมมุติฐานหรือตั้งอยู่บนทฤษฎีบนข้อเท็จจริงที่เรามี การสันนิษฐาน เป็นวิธีใช้เมื่อเริ่มต้นในการค้นคว้าวิจัย สมมุติฐาน คือการเดาที่อาศัยวิชาการศึกษาหรือการสันนิษฐานที่น่าจะเป็นไปได้ ทฤษฎี คือหลักการทั่วไปหรือหลักการจำนวนหนึ่งซึ่งอาจนำมาใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์บางอย่างและซึ่งได้รับการยืนยันด้วยข้อเท็จจริงบางอย่างผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นจำนวนมากอ้างว่าการวิวัฒนาการได้รับการพิสูจน์แล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงบอกว่าทฤษฎีวิวัฒนาการไม่ควรถูกนับว่าเป็นทฤษฎี แต่ควรยมรับว่าเป็นข้อเท็จจริง คนในยุคนี้คงรู้จักคนที่ชื่อ Francis Crick และ James Watson นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองได้รับรางวัลโนเบล จากการค้นพบ DNA (โมเลกุลซึ่งอยู่ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับพันธุกรรม) หลายปีหลังจากการค้นพบของทั้งสอง Dr. Watson ได้เขียนหนังสือชื่อ The Molecular Biology of the Gene (ชีวะโมเลกุลของพันธุกรรม) เขาได้กล่าวเอาไว้ว่า "ปัจจุบันทฤษฎีวิวัฒนาการถูกยอมรับว่าเป็นความจริง" หลายปีต่อมาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ปี 1999 มีบทความจาก Time magazine ผู้เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการแห่งมหาวิทยาลัย Harvard ชื่อStephen J. Gould ได้กล่าวว่า "ทฤษฎีวิวัฒนาการได้บันทึกเป็นเอกสารยืนยันว่าเป็นปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกับปรากฏการณ์ของโลกที่โคจรรอบดวงอาทิตย์แทนที่จะเป็นดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก" ในความหมายอย่างนี้แหละเราเรียกการวิวัฒนาการว่าเป็น "ข้อเท็จจริง" การวิวัฒนาการเป็น "ข้อเท็จจริง" ทางวิทยาศาสตร์หรือเปล่า? คำตอบคือไม่ใช่ คำจำกัดความของข้อเท็จจริงหมายความว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นจริง" หรือ "บางสิ่งที่ได้เกิดขึ้นจริง" ด้วยมาตรฐานคำจำกัดความดังกล่าว โปรดพิจารณาสิ่งต่อไปนี้
การวิวัฒนาการไม่สามารถยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริงได้ เพราะการวิวัฒนาการตั้งอยู่บนสมมุติฐานซึ่งยังไม่ได้รับการพิสูจน์ หลายปีที่ผ่านมามีผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการแห่งประเทศอังกฤษมีชื่อว่า George Kerkutt ได้เขียน ข้อสงสัยต่าง ๆ เจ็ดข้อ ซึ่งเป็นข้อสมมุติฐานได้เขียนไว้ในหนังสือซึ่งแจกจ่ายไปอย่างกว้างขวาง หนังสือชื่อ The Implication of Evolution ข้อสมมุติฐานสองประการซึ่งอยู่ในรายการมีดังนี้
(1) การวิวัฒนาการ ต้อง เกิดขึ้น และ
(2) การวิวัฒนาการต้องเกิดขึ้น ครั้งเดียวเท่านั้น
การวิวัฒนาการตั้งอยู่บนความคิดว่า สิ่งที่ไม่มีชีวิตวิวัฒนาการกลายเป็นสิ่งมีชีวิตโดยไม่มีสิ่งอื่นใดช่วยให้มันเกิดขึ้น ความคิดนี้แหละเป็นพื้นฐานของการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเพราะพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการเชื่อว่าตอนที่จักวาลเริ่มต้นประกอบด้วยไฮโดรเจน (บางทีอาจจะมีอะตอมของฮีเลี่ยม) ในการที่จะทำให้ชีวิตเริ่มต้น พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการถูกบีบบังคับให้ต้องสรุปว่า สารเคมีอะรูปซึ่งไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ "ด้วยเหตุอะไรก็ไม่ทราบ" กลายเป็นสิ่งที่มีชีวิต แต่คำว่า "ด้วยเหตุอะไรก็ไม่ทราบ" เป็นปัญหาน่าหนักใจมากสำหรับพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ นักวิทยาศาสตร์ใช้ความพยายามหลายร้อยปีเพื่อบันทึกเอกสารยืนยันว่าการวิวัฒนาการได้เกิดขึ้นจริง แม้กระนั้นก็ตามทุกครั้งที่พวกเขาพยายาม พวกเขาต้องประสบกับความล้มเหลวน่าผิดหวัง ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถพิสูจน์ได้ว่ สิ่งที่ไม่มีชีวิต กลายเป็น สิ่งมีชีวิตได้ เพราะฉะนั้นพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการได้แต่ "สันนิษฐาน" ว่ามันเกิดขึ้นอย่างนั้น
ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังสันนิษฐานต่อไปว่าการเกิดดังกล่าว ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น คำถามก็คือทำไมล่ะ? ชีวิตทุกชีวิตประกอบด้วยหน่วยรหัสทางพันธุกรรม (นั่นก็คือ DNA ที่เราได้กล่าวถึงในตอนต้น) เพราะว่ารหัสทางพันธุกรรมสลับซับซ้อนอย่างมหาศาลและเพราะรหัสทางพันธุกรรมอันสลับซับซ้อนนี้มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด (ยกเว้นสิ่งมีชีวิตบางชนิดเท่านั้น) พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการถูกบีบบังคับให้ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์ที่ทำให้สิ่งที่ผลิตขึ้นนั้นได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ที่จะแนะว่ามันอาจจะเกิดขึ้นมากกว่าครั้งเดียว และจะผลิตรหัสเหมือนกันทุกครั้ง เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นไปได้ แม้กระทั่งพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการก็ไม่เชื่อ
มีปัญหาใหญ่สองประการเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ปัญหาข้อแรก คือว่า อะไรก็ตามที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสันนิษฐาน ไม่เคย รับพิจารณาว่าเป็น "ข้อเท็จจริง" อย่างดีที่สุด ความคิดใด ๆ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการ สันนิษฐาน ก็จะนับว่าเป็นการสันนิษฐานอยู่ชั่วนิรันดร์จะเป็นความจริงไปไม่ได้ โดยตรรกวิทยาของเหตุผลแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างฐานความคิดบนการสันนิษฐานแล้วโมเมเอาว่านั่นเป็นข้อเท็จจริง เนื่องจากทฤษฎีการวิวัฒนาการเป็นพื้นฐานต้นแบบของการวิวัฒนาการ (ความจริงที่แน่ชัดคือว่าท่านไม่สามารถทำอะไรให้เกิดมา ถ้าท่านไม่สามารถทำให้มันมีชีวิตอยู่ตั้งแต่แรก) และเพราะเนื่องจากว่าทฤษฎีวิวัฒนาการไม่เป็นอะไรมากไปกว่าเป็นการสันนิษฐาน (เพราะว่าไม่มีเอกสารทางวิทยาศาสตร์ยืนยันหลักฐานทั้งหมด แต่หลักฐานที่มีเป็นหลักฐานที่ต่อต้านทฤษฎีวิวัฒนาการทั้งนั้น) เมื่อเป็นเช่นนั้นการวิวัฒนาการไม่สามารถถูกนับได้ว่าเป็นข้อเท็จจริง ปัญหาข้อที่สอง นักวิทยาศาสตร์ทุกคนรู้ดีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวเท่านั้น เหมือนที่เขาอ้างนั้นไม่สามารถศึกษาโดยใช้วิธีการของวิทยาศาสตร์ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? วิทยาศาสตร์ใช้วิธีองค์สัมผัสทั้งห้าในการวิจัย (สัมผัส, ดมกลิ่น, เห็น, ชิมรส, ยินได้) เป็นวิธีสากลเพื่อใช้ศึกษาสิ่งที่แน่นอนตายตัว และสิ่งที่สามารถมีผลผลิตเกิดขึ้นได้ พูดง่าย ๆ ก็คือนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิจัยที่ฮ่องกง สามารถทำการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ที่นิวยอร์คได้ ถ้าทั้งสองใช้วิธีเดียวกันทั้งสองก็จะได้ผลออกมาเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้หรือปีหน้าหรืออีกสิบปีข้างหน้าก็ตาม ผลของการวิจัยจะเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่คำบอกเล่าของพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการบอกว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวเท่านั้น ไม่นับว่าเป็นสิ่งสากลไม่เป็นที่แน่นอนตายตัว ตามความหมายของพวกเขาไม่สามารถเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกมันเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
ผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการยอมรับว่ามีหลักฐานสองอย่างจากจำนวนเจ็ดอย่าง ของหลักฐานการสันนิษฐานที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ ซึ่งการวิวัฒนาการถือเป็นศูนย์กลางพื้นฐานในการเกิดของการวิวัฒนาการที่ได้เกิดขึ้น และมันคงจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวเท่านั้นนั่นหมายความว่าทฤษฎีวิวัฒนาการไม่สามารถเป็นข้อเท็จจริงตามหลักวิทยาศาสตร์ Dr. Kerkutt ได้ยอมรับดังนี้ว่า "ความพยายามที่จะอธิบายสิ่งที่มีชีวิตตามคำอธิบายของการวิวัฒนาการจากต้นตำรับพิเศษ...ยังไม่ถึงเวลาครบกำหนด และไม่มีหลักฐานที่ได้รับการสนับสนุนอันเป็นที่พอใจในปัจจุบัน.... หลักฐานที่ต้องการนำมายืนยันยังจะต้องค้นพบต่อไป... เราสามารถเชื่อได้ ถ้าเราอยากเชื่อว่าระบบการวิวัฒนาการได้เกิดขึ้น แต่ตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าเชื่อว่าได้รับการพิสูจน์แล้วโดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น" หลังจากที่ได้อภิปรายประเด็นต่าง ๆ ของหลักฐานแต่ละอย่างทั้งเจ็ดประการ ที่เป็นหลักฐานการสันนิษฐานที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ ซึ่งทฤษฎีวิวัฒนาการตั้งอยู่บนพื้นฐานบนหลักทั้งเจ็ดนี้ท่านได้วิเคราะห์ว่า ประการแรกข้าพเจ้าต้องการชี้ให้เห็นว่าหลักเหล่านั้นเป็นการสันนิษฐานทั้งเจ็ดประการ โดยลักษณะเหล่านี้ไม่สามารถ ยืนยันโดยการทดลองได้ หลักฐานที่สนับสนุนไม่มีน้ำหนักมากเพียงพอที่จะพิจารณาว่าเป็นข้อเท็จจริง มันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเป็นสมมุติฐาน มาตรฐานที่ใช้ให้คำนิยามของคำว่าข้อเท็จจริงคือ "สิ่งที่เกิดขึ้นจริง" หรือ "บางสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว" ขบวนการใด ๆ จะถูกเรียกได้ว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นจริง" ได้ไหม ในเมื่อความรู้ที่เราต้องการอยากได้คำตอบว่าอย่างไร? เมื่อใด? ที่ไหน? อะไร? และทำไม? คำถามเหล่านี้ไม่สามารถให้ตำตอบได้ สมมุติมีคนบอกว่าตึกระฟ้า "เกิดขึ้นมาเอง" ไม่มีคนสร้าง แต่ไม่สามารถตอบคำถามได้ว่าอย่างไร? เมื่อใด? ที่ไหน? อะไร? และทำไม? คำถามที่เกี่ยวกับตึกระฟ้าเหล่านี้ ไม่มีผู้ใดตอบได้เลย อยากจะถามท่านว่านี่เรียกว่าเป็น "ข้อเท็จจริง, หรือเป็น" "การสันนิษฐานที่ไม่ได้รับการพิสูจน์" ที่จะถามก็จะต้องมีคำตอบสิ่งที่พวกเชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการสามารถให้คำตอบได้ "แค่คำอธิบายอันไม่เป็นที่พอใจเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตเป็นประการแรก อีกประการ คำตอบที่ไม่เป็นที่จุใจก็คือ กลไกของการวิวัฒนาการของชีวิตที่ "ด้วยเหตุอะไรก็ไม่ทราบ" สิ่งไม่มีชีวิตกลายเป็นสิ่งมีชีวิต
ครั้งหนึ่งเมื่อกระบวนการตามธรรมชาติได้เกิดขึ้นและบันทึกของซากสัตว์ที่กลายเป็นหิน (fossil record) เหล่านี้แสดงให้เห็นว่ามีสัตว์ต่าง ๆ ที่เป็นลูกโซ่เชื่อมต่อการวิวัฒนาการจากสัตว์ชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า "missing link" หายไปเพื่อบันทึกเป็นเอกสารประกอบการยืนยัน สิ่งที่เขาเหมาเอาว่าจะต้องเป็นไปตามนั้น โดยอาศัยกาลเวลา เราคงจะต้องกล่าวว่าสิ่งที่พวกเชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการเรียกว่า "เป็นข้อเท็จจริง" ที่จริงแล้วเป็นแต่เพียงทฤษฎี (หรือสมมุติฐาน) การที่พวกเขาบิดเบือนคำจำกัดความของคำว่า "ข้อเท็จจริง" เป็นความหมายที่แย่มากของพวกเชื่อการวิวัฒนาการที่พยายามจะสร้างความเชื่อถือทฤษฎีที่ปราศจากข้อเท็จจริงซึ่งไม่มีหลักฐานสนับสนุนเลยแม้แต่น้อยไม่ใช่เฉพาะพวกที่เชื่อว่ามีการสร้างที่หยิบประเด็นนี้ขึ้นมาพูดเท่านั้นแต่มีผู้ที่เชื่อการวิวัฒนาการชาวออสเตรเลียซึ่งเป็นนักชีวะโมเลกุลเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางชื่อ Michael Denton ได้กล่าวถึงประเด็นนี้เมื่อปี 1985 ในหนังสือของเขาชื่อ Evolution : A Theory in Crisis (การวิวัฒนาการ : ทฤษฎีที่ประสบกับวิกฤต) หลังจากที่ท่านผู้นี้ยอมรับว่า ไม่มีผู้ใดได้บันทึกเป็นเอกสารเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันสิ่งที่การวิวัฒนาการเหมาเอาว่าเป็น "สิ่งมีชีวิตที่เป็นลูกโซ่เชื่อมต่อกับชีวิตชนิดอื่น" (Chain of life) ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับสิ่งนี้เลย Dr. Denton ได้เขียนดังนี้ว่า "แนวความคิดเรื่องธรรมชาติที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเป็นแนวความคิดที่เกิดขึ้นในสมองของคน แต่ไม่เคย เป็นข้อเท็จจริงของธรรมชาติ" อีกสิบสามปีหลังจากนี้ ในหนังสือของเขาที่เขียนขึ้นเมื่อปี 1998 ชื่อ Nature's destiny Dr. Denton สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนเมื่อเขากล่าวว่า
"ไม่มีใครจะยอมรับหรือปฏิเสธสมมุติฐานของการออกแบบ.... เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะต้องสรุปว่า ดูเหมือนว่า โลกนี้ ปรากฎให้เห็นว่าได้มีการออกแบบ ตามความจริง ปรากฎ มีแบบทั่วทุกสิ่งทั้งชีวิตและมนุษย์แสดงว่าต้องมีจุดประสงค์และมีเป้าอย่างแน่นอน"
เราเห็นพ้องกับ Dr. Denton ว่า "ข้อเท็จจริงของธรรมชาติ" ไม่ได้สนับสนุนพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการเลยแม้แต่น้อยและโลกนี้ "ปรากฎให้เห็นว่าได้มีการออกแบบ" อย่างแน่นอน แม้พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการยังยอมรับเลยว่าการมีแบบย่อมแสดงให้เห็นว่ามีผู้ออกแบบ (แม้ว่าเขาเชื่องช้าในการยอมรับ) คำถามจึงเกิดขึ้นมาว่า ใครเป็นผู้ออกแบบโลกนี้? คำตอบคงไม่ใช่มาจากบิดามารดา จากนิทานโบราณ "ที่เรียกว่าบิดาแห่งกาลเวลา" และ "มารดาแห่งธรรมชาติ" กาลเวลาและธรรมชาติไม่มีความสามารถในการ "ออกแบบ" อะไรเลย แต่เมื่อเรามองดูทุกสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราในโลก เรามองเห็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นการออกแบบอันชาญลาดนับตั้งแต่สิ่งที่ใหญ่ที่สุด คือจักรวาลจนกระทั่งสิ่งที่เล็กที่สุดคือเซลล์ที่เราถูกสร้างขึ้นมา พระเจ้าต่างหากเป็นผู้ออกแบบ ไม่ใช่เกิดเองจากการวิวัฒนาการนี่แหละเป็น ข้อเท็จจริง อันน่าประทับใจที่สุดที่เรารู้จัก
หลักฐานที่มาจากการเปรียบเทียบ - โครงสร้างที่คล้ายกัน
COMPARATIVE ARGUMENTS - THE CASE FROM HOMOLOGY
หลักฐานที่สร้างความประทับใจของทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นหลักฐานที่มาจากวิทยาศาสตร์ของการเปรียบเทียบ เปรียบเทียบทางกายวิภาคComparative anatomy เปรียบเทียบด้านสรีรศาสตร์ Comparative physiology เปรียบเทียบโครงสร้าง Comparative cytology เปรียบเทียบด้านชีวะเคมี Comparative biochemistry ฯลฯ เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ และได้เรียนรู้ที่จะเปรียบเทียบสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ กับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ อวัยวะของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกันปรากฏว่าสิ่งมีชีวิตของแต่ละพวกมีความคล้ายคลึงกันมาก นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า โครงสร้างที่มีความคล้ายคลึงกัน Homologous Structure คล้ายกันตามปรากฏเห็นภายนอกซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งมีชีวิตเรียกว่า analogous หรือที่มีฟังก์ชั่นคล้ายกันนี้ พวกเขาสรุปว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ผ่านลำดับขั้นตอนในการวิวัฒนาการที่คล้ายกันจึงมีรูปร่างลักษณะคล้าย ๆ กัน (นั่นเป็นการสรุปของพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการ)
ชาร์ลส์ ดาร์วินเองคิดว่าโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตที่คล้ายคลึงกันเป็นหลักฐานข้อพิสูจน์อันเดียวที่สำคัญในการสนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการของเขา ดาร์วินเขียนว่า "เราได้พบว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันมีชีวิตเป็นอิสระที่มีความคล้ายคลึงซึ่งกันและกันในระบบโครงสร้างทั่วไป...นี่ไม่ใช่เป็นหลักฐานชี้ให้เห็นหรือว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันเป็นมรดกที่พวกมันได้รับมาจากบรรพบุรุษเดียวกันดอกหรือ?" ถ้าเราดูแค่ผิวเผินคำอธิบายที่บอกว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีบรรพบุรุษเดียวกันดูปรากฏภายนอกว่าคำอธิบายนี้มีเหตุผลดี ตอนแรกดูเหมือนว่าความคิดนี้น่าฟังดี ท่านรู้ไหมว่านี่ก็เป็นวิธีเดียวกับที่เราใช้อธิบายพี่น้องชายหญิงที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกัน เพราะเรามาจากบรรพบุรุษเดียวกันซึ่งมีหน้าตาไม่เหมือนพวกญาติ ๆ ทำเป็นอย่างนี้ล่ะ? เพราะว่าพี่น้องมีพ่อแม่เดียวกัน พวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการจึงเก็บรวบรวมข้อมูลไว้อย่างน่าประทับใจที่สุด พวกเขารีบพูดโพล่งออกมาอย่างรวดเร็ว ปีกของค้างคาว ขาหน้าของเต่า ขาหน้าของกบ และมือของมนุษย์มีโครงสร้างที่เหมือน ๆ กัน พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการยังบอกว่าขาหน้าของสุนัข ครีบของปลาวาฬที่เหมือนมือของมนุษย์ และมือของมนุษย์ประกอบด้วยโครงสร้างของกระดูกและกล้ามเนื้อที่เหมือนกับสัตว์ต่าง ๆ ดังกล่าวด้วย
ในยุคนี้ได้มีการนำแนวความคิดเกี่ยวกับความเหมือนของสิ่งมีชีวิตดังกล่าวไปใช้กับการเปรียบเทียบโมเลกุล นักวิทยาศาสตร์ได้นำการเปรียบเทียบกลุ่มโลหิต ไซโตรโครม ซีคอมโปซิชั่น เอนไซม์ เซลล์ DNA รวมทั้งโมเลกุลของหน่วยอื่น ๆ อย่างมากมายมหาศาลได้มีการประกาศว่าDNA ของลิงชิมแพนซี และ DNA ของมนุษย์มีความคล้ายคลึงกัน 99% พวกที่เชื่อว่ามีการสร้างสนองต่อการค้นพบเหล่านี้อย่างไร? ความคล้ายคลึงเกิดขึ้นจริงไหม? และถ้าเป็นดังนั้นจริง ๆ พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการอธิบายถูกต้องตามความเป็นจริงหรือเปล่า? ประการแรก พวกที่เชื่อการสร้างไม่เห็นด้วยกับคำชี้แจงของพวกวิวัฒนาการ พวกที่เชื่อว่ามีการสร้างยอมรับว่ามีความคล้ายคลึงกันจริง พวกที่เชื่อว่ามีการสร้างไม่โง่เขลาที่จะเห็นว่าความคล้ายคลึงเกิดขึ้นจริง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงหมายความว่าเราสามารถเรียนรู้บทเรียนอันมีคุณค่าถึงความแตกต่างระหว่างผู้เชื่อว่ามีการสร้างกับผู้เชื่อวิวัฒนาการ บทเรียนก็คือ ข้อเท็จจริงที่เห็นชัดแจ้งแทบไม่มีความขัดแย้งกันเลยแม้แต่น้อย แต่ความขัดแย้งอยู่ ตรงที่การแปลข้อเท็จจริงที่พบนี่ต่างหากที่เป็นความขัดแย้งกันที่เราไม่เห็นด้วย กรณีของความคล้ายคลึงขั้นพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสรีรศาสตร์หรือในระดับของชีวะเคมีก็ตาม ไม่มีจุดประสงค์อะไรที่จะปฏิเสธว่าความคล้ายคลึงกันเกิดขึ้นจริง ทั้งพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการและผู้ที่เชื่อว่ามีการสร้างต่างก็มีข้อเท็จจริงเดียวกัน แต่พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการมองดูข้อมูลแล้วสรุปว่านั่นเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าความคล้ายคลึงแสดงว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มาจาก บรรพบุรุษเดียวกัน ส่วนพวกที่เชื่อว่ามีการสร้างพิจารณาดูข้อมูลและชี้แจงว่าความคล้ายคลึงกันเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามีการสร้างจริงแสดงให้เห็นว่าผู้สร้างได้ ออกแบบให้มีความคล้ายคลึงกัน ทั้งสองมีการแปลข้อมูลที่มีอยู่ในมือดูผิวเผินแล้วคำอธิบายของแต่ละฝ่ายน่าจะเป็นที่ยอมรับได้
อย่างไรก็ตาม ข้อโต้แย้งของพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อ ข้อมูลส่วนหนึ่งส่วนใด ที่มีความคล้ายคลึงนำมาเสนอให้เห็น ยิ่งกว่านั้นโปรดพิจารณาข้อเท็จจริงต่อไปนี้ ถ้าสิ่งมีชีวิตมี ความคล้ายคลึงกัน พิสูจน์ว่ามาจากบรรพบุรุษเดียวกัน นั่นก็หมายความว่าสิ่งมีชีวิตที่ ไม่มีความคล้ายคลึงกัน พิสูจน์ว่า ไม่ได้มาจากบรรพบุรุษเดียวกัน ต่อเมื่อเราอนุญาตให้พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการ "เลือกและเฟ้นหา" ความคล้ายคลึงที่สัมพันธ์กับทฤษฎีวิวัฒนาการให้พบ (และคัดเอาประเภทที่มีความแตกต่างกันออกไป) เช่นนี้แหละข้อโต้แย้งของความคล้ายคลึงกันจึงน่าเชื่อถือได้ เมื่อพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการเสนอข้อเท็จจริง ทั้งหมด รวมทั้งมีเอกสารยืนยันส่วนต่าง ๆ ที่ไม่มีความคล้ายคลึงกันไว้อย่างละเอียด ถ้าทำอย่างนี้หลักฐานเกี่ยวกับความคล้ายคลึงกันของพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการจะล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งซึ่งเป็นสัตว์แพทย์มีชื่อว่า R. L. Wysong ได้จัดทำรายการต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูล มีตัวอย่างดังต่อไปนี้
1. ตาของปลาหมึก หัวใจของหมู ใบหน้าของสุนัขปักกิ่ง น้ำนมลา ทั้งหมดมีความคล้ายคลึงกับโครงสร้างของมนุษย์ ถามว่าความคล้ายคลึงเหล่านี้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์กับการวิวัฒนาการหรือเปล่า? คำตอบคือ ไม่ใช่
2. ลิงแคระที่อยู่ในอเมริกาใต้มีน้ำหนักสมองมากกว่าน้ำหนักตัวของมันเอง เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนของลิงแคระชนิดนี้ มีน้ำหนักมากกว่าของมนุษย์ เนื่องจากหลักฐานตรงนี้เคยใช้เพื่อแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมกับมนุษย์ เพราะฉะนั้นเราสรุปได้ไหมว่า ลิงแคระมีการวิวัฒนาการมากกว่ามนุษย์? คำตอบคือ ไม่ได้
3. พืชชนิดหนึ่ง ที่มีรากเป็นปุ่มคล้ายถั่วลิสงชื่อ Daphnia ประกอบด้วยฮีโมโกรบิลเหมือนสารประกอบที่อยู่ในเลือดของมนุษย์แสดงว่าพืชชนิดนี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับมนุษย์อย่างนั้นหรือ? คำตอบคือ ไม่ใช่
ความแตกต่างอย่างมากมายที่พบทำให้พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการแสวงหาทางที่จะล้มเลิกข้อโต้แย้งจากชีวิตที่มีความคล้ายคลึงกัน ดังนั้นพวกเขาจึงหันไปหาหลักฐานในการศึกษาเกี่ยวกับโมเลกุลเพื่อจะหาหลักฐานสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มาจากบรรพบุรุษเดียวกัน โดยใช้หลักความคล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตามการศึกษาเกี่ยวกับโมเลกุล ในช่วงไม่กี่ปีไม่ประสบผลสำเร็จอะไร ตัวอย่างเช่น ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตได้ถูกพบว่ามีโครโมโซมที่ประกอบด้วยหน่วยถ่ายพันธุ์ซึ่งมีหน้าที่ทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ถ้ามีการวิวัฒนาการแบบค่อยเป็นค่อยไปจากสิ่งมีชีวิตที่ง่าย ๆ จนถึงวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตที่สลับซับซ้อนมากขึ้น ถ้าเช่นนั้นแนวทางของการวิวัฒนาการที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวนของโครโมโซมและคุณภาพก็จะต้องเพิ่มขึ้นตามแบบแผนของการวิวัฒนาการที่กำหนดไว้ แต่ในยุคปัจจุบันนี้ เรามีเทคโนโลยี่ที่ศึกษาเกี่ยวกับโมเลกุล การสันนิษฐานของการวิวัฒนาการตกอยู่ในสภาพที่ลำบากมาก พิจารณาผังดังต่อไปนี้ด้วยการเปรียบเทียบ จำนวนโครโมโซมที่แท้จริงของสิ่งมีชีวิต เปรียบเทียบกับการสันนิษฐานของการวิวัฒนาการจากสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำจนถึงชั้นสูง
จำนวนโครโมโซมที่นับได้ "ไม่สอดคล้อง" ตามที่พวกเชื่อการวิวัฒนาการได้สันนิษฐานไว้ เพราะการสันนิษฐานในทฤษฎีวิวัฒนาการโครโมโซมน่าจะเพิ่มจากง่ายสูงขึ้นจนสลับซับซ้อนมากขึ้น (และนั่นหมายความว่าจำนวนโครโมโซมก็ต้องเพิ่มขึ้นด้วยอย่างแน่นอน เพราะโครโมโซมทำหน้าที่ในการเป็นพาหนะทางพันธุกรรม) จะเห็นได้ว่าข้อเท็จจริงไม่สอดคล้องกับสิ่งที่สันนิษฐานเอาไว้ พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการแนะว่า เมื่อชีวิตเคลื่อนขึ้นไปตาม "ต้นไม้แห่งการวิวัฒนาการของชีวิต" สิ่งมีชีวิตจะมีการเพิ่มการแบ่งแยกความแตกต่างในทางชีวะเคมีมากขึ้นจากสิ่งมีชีวิต "ที่อยู่ลำดับต้น ๆ" กับ "สิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์" อันที่จริงการเปลี่ยนแปลงของการวิวัฒนาการ ไม่สามารถตรวจวิจัยข้อมูลทางชีวะเคมีได้และไม่มีหลักฐานที่จะยืนยันอะไรเลย ไม่มีการพัฒนาการก้าวหน้าจากสิ่งมีชีวิตจากกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นลำดับขั้นตอนการวิวัฒนาการ ไม่มีแม้แต่นิดเดียว
สรุป
ข้อเท็จจริงที่ได้นำมาเสนอในบทเรียนนี้และในบทก่อนเราสามารถนำมาพิจารณาเพิ่มได้อีกมากมาย ประเด็นสำคัญก็คือว่า พวกที่เชื่อว่ามีการสร้างมีหลักฐานข้อมูลพร้อมอย่างมากมายเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า การเชื่อว่ามีพระเจ้าผู้ทรงสร้างสอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามหลักวิทยาศาสตร์มากกว่าพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการ นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อการสร้างต้องการให้ทั้งสองฝ่ายคือพวกที่เชื่อการสร้างและพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการเสนอข้อมูลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์โดยไม่ต้องนำพระคริสตธรรมคัมภีร์และคำสอนทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อว่านักศึกษาจะได้นำข้อมูลทั้งหมด มาพิจารณาแล้วตัดสินเองว่าฝ่ายไหนถูกฝ่ายไหนผิด นักศึกษาจะชั่งดูข้อมูลทั้งสองฝ่ายในแง่ของความเป็นจริงและผลที่จะเกิดขึ้นตามมา เมื่อได้พิจารณาหลักฐานของทั้งสองฝ่ายแล้วนักศึกษาจะตัดสินเองว่าฝ่ายไหนถูกต้องและมีเหตุผลมากกว่า วิธีนี้เป็นวิธีศึกษาทีดีและเป็นวิทยาศาสตร์ที่ดีนี่เป็นเสรีภาพในการศึกษาหาความรู้อย่างแท้จริง แม้แต่ ชาร์ล ดาร์วิน เองในหนังสือของเขา "Introduction to the Origin of Species" กล่าวว่า
"ข้าพเจ้าตระหนักดีว่า เหตุผลที่ข้าพเจ้านำมาอ้างในหนังสือเล่มนี้ ค่อนข้างจะบอบบางมาก ข้อเท็จจริงที่นำมาไม่มีเหตุผลมากพอที่จะนำไปสู่ข้อสรุปและมักจะเป็นการตรงกันข้ามกับสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากจะให้เป็น ถ้าจะให้เป็นการยุติธรรมจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงให้สมดุลทั้งสองฝ่าย"
พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการพยายามที่จะปิดกั้นการท้าทายที่มาจากวงการวิทยาศาสตร์ทั้งภายนอกและภายในหรือกีดกันวงการศึกษาเพื่อปกปิดความผิดพลาดและความไม่สมประกอบของการวิวัฒนาการและจงใจที่จะคัดค้านไม่ยอมฟังเหตุผลในทางวิทยาศาสตร์ของพวกที่เชื่อว่ามีการสร้าง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? อาจจะมีคำตอบอยู่สองประการ ประการแรก อาจเป็นเพราะพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการคิดว่าคนส่วนมากโง่เขลาเบาปัญญาเกินไป หรือไม่มีการศึกษาสูงพอที่จะรับฟังทัศนะของทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสิ่งทั้งปวง ดังนั้นพวกเขาจะต้องถูก "ปกป้อง" และเสี้ยมสอนความคิดที่เขาคิดว่า "ถูกต้อง" โดยพวกเขาอุปโลกน์ตัวเองว่าเป็นผู้ที่ฉลาดล้ำเลิศซึ่งมีความจริงไว้ในกำมือ ประการที่สอง อาจจะเป็นได้ว่า เมื่อพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการได้สร้างหอคอยแห่งสมมุติฐานมากมาย ที่เปราะบางด้วยความจงใจซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของสมมุติฐานมากมาย พวกเชื่อการวิวัฒนาการคงตระหนักดีว่า ถ้าจะเปิดโอกาสให้มีการศึกษาทั้งสองฝ่ายอย่างยุติธรรมที่สุด พวกเขาเกรงว่าคนจะยอมรับฝ่ายที่เชื่อว่ามีการสร้างมากกว่า เพราะสามารถชี้แจงเหตุผลเกี่ยวกับต้นกำเนิดได้ดีกว่าพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการ จะอย่างไรก็ตามเป็นเรื่องเร่งด่วนที่หลักฐานของทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสิ่งทั้งปวงทั้งฝ่ายที่เชื่อการสร้างและการวิวัฒนาการจะต้องนำเสนอต่อสาธารณะชนให้จงได้ ให้คนตัดสินใจเลือกเอง เพื่อความคิดทั้งสองฝ่ายจะเข้าไปสู่การแข่งขันของตลาดความคิด
การวิวัฒนาการตั้งอยู่บนความคิดว่า สิ่งที่ไม่มีชีวิตวิวัฒนาการกลายเป็นสิ่งมีชีวิตโดยไม่มีสิ่งอื่นใดช่วยให้มันเกิดขึ้น ความคิดนี้แหละเป็นพื้นฐานของการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเพราะพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการเชื่อว่าตอนที่จักวาลเริ่มต้นประกอบด้วยไฮโดรเจน (บางทีอาจจะมีอะตอมของฮีเลี่ยม) ในการที่จะทำให้ชีวิตเริ่มต้น พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการถูกบีบบังคับให้ต้องสรุปว่า สารเคมีอะรูปซึ่งไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ "ด้วยเหตุอะไรก็ไม่ทราบ" กลายเป็นสิ่งที่มีชีวิต แต่คำว่า "ด้วยเหตุอะไรก็ไม่ทราบ" เป็นปัญหาน่าหนักใจมากสำหรับพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ นักวิทยาศาสตร์ใช้ความพยายามหลายร้อยปีเพื่อบันทึกเอกสารยืนยันว่าการวิวัฒนาการได้เกิดขึ้นจริง แม้กระนั้นก็ตามทุกครั้งที่พวกเขาพยายาม พวกเขาต้องประสบกับความล้มเหลวน่าผิดหวัง ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถพิสูจน์ได้ว่ สิ่งที่ไม่มีชีวิต กลายเป็น สิ่งมีชีวิตได้ เพราะฉะนั้นพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการได้แต่ "สันนิษฐาน" ว่ามันเกิดขึ้นอย่างนั้น
ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังสันนิษฐานต่อไปว่าการเกิดดังกล่าว ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น คำถามก็คือทำไมล่ะ? ชีวิตทุกชีวิตประกอบด้วยหน่วยรหัสทางพันธุกรรม (นั่นก็คือ DNA ที่เราได้กล่าวถึงในตอนต้น) เพราะว่ารหัสทางพันธุกรรมสลับซับซ้อนอย่างมหาศาลและเพราะรหัสทางพันธุกรรมอันสลับซับซ้อนนี้มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด (ยกเว้นสิ่งมีชีวิตบางชนิดเท่านั้น) พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการถูกบีบบังคับให้ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์ที่ทำให้สิ่งที่ผลิตขึ้นนั้นได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ที่จะแนะว่ามันอาจจะเกิดขึ้นมากกว่าครั้งเดียว และจะผลิตรหัสเหมือนกันทุกครั้ง เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นไปได้ แม้กระทั่งพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการก็ไม่เชื่อ
มีปัญหาใหญ่สองประการเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ปัญหาข้อแรก คือว่า อะไรก็ตามที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสันนิษฐาน ไม่เคย รับพิจารณาว่าเป็น "ข้อเท็จจริง" อย่างดีที่สุด ความคิดใด ๆ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการ สันนิษฐาน ก็จะนับว่าเป็นการสันนิษฐานอยู่ชั่วนิรันดร์จะเป็นความจริงไปไม่ได้ โดยตรรกวิทยาของเหตุผลแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างฐานความคิดบนการสันนิษฐานแล้วโมเมเอาว่านั่นเป็นข้อเท็จจริง เนื่องจากทฤษฎีการวิวัฒนาการเป็นพื้นฐานต้นแบบของการวิวัฒนาการ (ความจริงที่แน่ชัดคือว่าท่านไม่สามารถทำอะไรให้เกิดมา ถ้าท่านไม่สามารถทำให้มันมีชีวิตอยู่ตั้งแต่แรก) และเพราะเนื่องจากว่าทฤษฎีวิวัฒนาการไม่เป็นอะไรมากไปกว่าเป็นการสันนิษฐาน (เพราะว่าไม่มีเอกสารทางวิทยาศาสตร์ยืนยันหลักฐานทั้งหมด แต่หลักฐานที่มีเป็นหลักฐานที่ต่อต้านทฤษฎีวิวัฒนาการทั้งนั้น) เมื่อเป็นเช่นนั้นการวิวัฒนาการไม่สามารถถูกนับได้ว่าเป็นข้อเท็จจริง ปัญหาข้อที่สอง นักวิทยาศาสตร์ทุกคนรู้ดีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวเท่านั้น เหมือนที่เขาอ้างนั้นไม่สามารถศึกษาโดยใช้วิธีการของวิทยาศาสตร์ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? วิทยาศาสตร์ใช้วิธีองค์สัมผัสทั้งห้าในการวิจัย (สัมผัส, ดมกลิ่น, เห็น, ชิมรส, ยินได้) เป็นวิธีสากลเพื่อใช้ศึกษาสิ่งที่แน่นอนตายตัว และสิ่งที่สามารถมีผลผลิตเกิดขึ้นได้ พูดง่าย ๆ ก็คือนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิจัยที่ฮ่องกง สามารถทำการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ที่นิวยอร์คได้ ถ้าทั้งสองใช้วิธีเดียวกันทั้งสองก็จะได้ผลออกมาเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้หรือปีหน้าหรืออีกสิบปีข้างหน้าก็ตาม ผลของการวิจัยจะเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่คำบอกเล่าของพวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการบอกว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวเท่านั้น ไม่นับว่าเป็นสิ่งสากลไม่เป็นที่แน่นอนตายตัว ตามความหมายของพวกเขาไม่สามารถเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกมันเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
ผู้ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการยอมรับว่ามีหลักฐานสองอย่างจากจำนวนเจ็ดอย่าง ของหลักฐานการสันนิษฐานที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ ซึ่งการวิวัฒนาการถือเป็นศูนย์กลางพื้นฐานในการเกิดของการวิวัฒนาการที่ได้เกิดขึ้น และมันคงจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวเท่านั้นนั่นหมายความว่าทฤษฎีวิวัฒนาการไม่สามารถเป็นข้อเท็จจริงตามหลักวิทยาศาสตร์ Dr. Kerkutt ได้ยอมรับดังนี้ว่า "ความพยายามที่จะอธิบายสิ่งที่มีชีวิตตามคำอธิบายของการวิวัฒนาการจากต้นตำรับพิเศษ...ยังไม่ถึงเวลาครบกำหนด และไม่มีหลักฐานที่ได้รับการสนับสนุนอันเป็นที่พอใจในปัจจุบัน.... หลักฐานที่ต้องการนำมายืนยันยังจะต้องค้นพบต่อไป... เราสามารถเชื่อได้ ถ้าเราอยากเชื่อว่าระบบการวิวัฒนาการได้เกิดขึ้น แต่ตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าเชื่อว่าได้รับการพิสูจน์แล้วโดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น" หลังจากที่ได้อภิปรายประเด็นต่าง ๆ ของหลักฐานแต่ละอย่างทั้งเจ็ดประการ ที่เป็นหลักฐานการสันนิษฐานที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ ซึ่งทฤษฎีวิวัฒนาการตั้งอยู่บนพื้นฐานบนหลักทั้งเจ็ดนี้ท่านได้วิเคราะห์ว่า ประการแรกข้าพเจ้าต้องการชี้ให้เห็นว่าหลักเหล่านั้นเป็นการสันนิษฐานทั้งเจ็ดประการ โดยลักษณะเหล่านี้ไม่สามารถ ยืนยันโดยการทดลองได้ หลักฐานที่สนับสนุนไม่มีน้ำหนักมากเพียงพอที่จะพิจารณาว่าเป็นข้อเท็จจริง มันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเป็นสมมุติฐาน มาตรฐานที่ใช้ให้คำนิยามของคำว่าข้อเท็จจริงคือ "สิ่งที่เกิดขึ้นจริง" หรือ "บางสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว" ขบวนการใด ๆ จะถูกเรียกได้ว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นจริง" ได้ไหม ในเมื่อความรู้ที่เราต้องการอยากได้คำตอบว่าอย่างไร? เมื่อใด? ที่ไหน? อะไร? และทำไม? คำถามเหล่านี้ไม่สามารถให้ตำตอบได้ สมมุติมีคนบอกว่าตึกระฟ้า "เกิดขึ้นมาเอง" ไม่มีคนสร้าง แต่ไม่สามารถตอบคำถามได้ว่าอย่างไร? เมื่อใด? ที่ไหน? อะไร? และทำไม? คำถามที่เกี่ยวกับตึกระฟ้าเหล่านี้ ไม่มีผู้ใดตอบได้เลย อยากจะถามท่านว่านี่เรียกว่าเป็น "ข้อเท็จจริง, หรือเป็น" "การสันนิษฐานที่ไม่ได้รับการพิสูจน์" ที่จะถามก็จะต้องมีคำตอบสิ่งที่พวกเชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการสามารถให้คำตอบได้ "แค่คำอธิบายอันไม่เป็นที่พอใจเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตเป็นประการแรก อีกประการ คำตอบที่ไม่เป็นที่จุใจก็คือ กลไกของการวิวัฒนาการของชีวิตที่ "ด้วยเหตุอะไรก็ไม่ทราบ" สิ่งไม่มีชีวิตกลายเป็นสิ่งมีชีวิต
ครั้งหนึ่งเมื่อกระบวนการตามธรรมชาติได้เกิดขึ้นและบันทึกของซากสัตว์ที่กลายเป็นหิน (fossil record) เหล่านี้แสดงให้เห็นว่ามีสัตว์ต่าง ๆ ที่เป็นลูกโซ่เชื่อมต่อการวิวัฒนาการจากสัตว์ชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า "missing link" หายไปเพื่อบันทึกเป็นเอกสารประกอบการยืนยัน สิ่งที่เขาเหมาเอาว่าจะต้องเป็นไปตามนั้น โดยอาศัยกาลเวลา เราคงจะต้องกล่าวว่าสิ่งที่พวกเชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการเรียกว่า "เป็นข้อเท็จจริง" ที่จริงแล้วเป็นแต่เพียงทฤษฎี (หรือสมมุติฐาน) การที่พวกเขาบิดเบือนคำจำกัดความของคำว่า "ข้อเท็จจริง" เป็นความหมายที่แย่มากของพวกเชื่อการวิวัฒนาการที่พยายามจะสร้างความเชื่อถือทฤษฎีที่ปราศจากข้อเท็จจริงซึ่งไม่มีหลักฐานสนับสนุนเลยแม้แต่น้อยไม่ใช่เฉพาะพวกที่เชื่อว่ามีการสร้างที่หยิบประเด็นนี้ขึ้นมาพูดเท่านั้นแต่มีผู้ที่เชื่อการวิวัฒนาการชาวออสเตรเลียซึ่งเป็นนักชีวะโมเลกุลเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางชื่อ Michael Denton ได้กล่าวถึงประเด็นนี้เมื่อปี 1985 ในหนังสือของเขาชื่อ Evolution : A Theory in Crisis (การวิวัฒนาการ : ทฤษฎีที่ประสบกับวิกฤต) หลังจากที่ท่านผู้นี้ยอมรับว่า ไม่มีผู้ใดได้บันทึกเป็นเอกสารเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันสิ่งที่การวิวัฒนาการเหมาเอาว่าเป็น "สิ่งมีชีวิตที่เป็นลูกโซ่เชื่อมต่อกับชีวิตชนิดอื่น" (Chain of life) ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับสิ่งนี้เลย Dr. Denton ได้เขียนดังนี้ว่า "แนวความคิดเรื่องธรรมชาติที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเป็นแนวความคิดที่เกิดขึ้นในสมองของคน แต่ไม่เคย เป็นข้อเท็จจริงของธรรมชาติ" อีกสิบสามปีหลังจากนี้ ในหนังสือของเขาที่เขียนขึ้นเมื่อปี 1998 ชื่อ Nature's destiny Dr. Denton สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนเมื่อเขากล่าวว่า
"ไม่มีใครจะยอมรับหรือปฏิเสธสมมุติฐานของการออกแบบ.... เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะต้องสรุปว่า ดูเหมือนว่า โลกนี้ ปรากฎให้เห็นว่าได้มีการออกแบบ ตามความจริง ปรากฎ มีแบบทั่วทุกสิ่งทั้งชีวิตและมนุษย์แสดงว่าต้องมีจุดประสงค์และมีเป้าอย่างแน่นอน"
เราเห็นพ้องกับ Dr. Denton ว่า "ข้อเท็จจริงของธรรมชาติ" ไม่ได้สนับสนุนพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการเลยแม้แต่น้อยและโลกนี้ "ปรากฎให้เห็นว่าได้มีการออกแบบ" อย่างแน่นอน แม้พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการยังยอมรับเลยว่าการมีแบบย่อมแสดงให้เห็นว่ามีผู้ออกแบบ (แม้ว่าเขาเชื่องช้าในการยอมรับ) คำถามจึงเกิดขึ้นมาว่า ใครเป็นผู้ออกแบบโลกนี้? คำตอบคงไม่ใช่มาจากบิดามารดา จากนิทานโบราณ "ที่เรียกว่าบิดาแห่งกาลเวลา" และ "มารดาแห่งธรรมชาติ" กาลเวลาและธรรมชาติไม่มีความสามารถในการ "ออกแบบ" อะไรเลย แต่เมื่อเรามองดูทุกสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราในโลก เรามองเห็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นการออกแบบอันชาญลาดนับตั้งแต่สิ่งที่ใหญ่ที่สุด คือจักรวาลจนกระทั่งสิ่งที่เล็กที่สุดคือเซลล์ที่เราถูกสร้างขึ้นมา พระเจ้าต่างหากเป็นผู้ออกแบบ ไม่ใช่เกิดเองจากการวิวัฒนาการนี่แหละเป็น ข้อเท็จจริง อันน่าประทับใจที่สุดที่เรารู้จัก
หลักฐานที่มาจากการเปรียบเทียบ - โครงสร้างที่คล้ายกัน
COMPARATIVE ARGUMENTS - THE CASE FROM HOMOLOGY
หลักฐานที่สร้างความประทับใจของทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นหลักฐานที่มาจากวิทยาศาสตร์ของการเปรียบเทียบ เปรียบเทียบทางกายวิภาคComparative anatomy เปรียบเทียบด้านสรีรศาสตร์ Comparative physiology เปรียบเทียบโครงสร้าง Comparative cytology เปรียบเทียบด้านชีวะเคมี Comparative biochemistry ฯลฯ เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ และได้เรียนรู้ที่จะเปรียบเทียบสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ กับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ อวัยวะของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกันปรากฏว่าสิ่งมีชีวิตของแต่ละพวกมีความคล้ายคลึงกันมาก นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า โครงสร้างที่มีความคล้ายคลึงกัน Homologous Structure คล้ายกันตามปรากฏเห็นภายนอกซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งมีชีวิตเรียกว่า analogous หรือที่มีฟังก์ชั่นคล้ายกันนี้ พวกเขาสรุปว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ผ่านลำดับขั้นตอนในการวิวัฒนาการที่คล้ายกันจึงมีรูปร่างลักษณะคล้าย ๆ กัน (นั่นเป็นการสรุปของพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการ)
ชาร์ลส์ ดาร์วินเองคิดว่าโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตที่คล้ายคลึงกันเป็นหลักฐานข้อพิสูจน์อันเดียวที่สำคัญในการสนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการของเขา ดาร์วินเขียนว่า "เราได้พบว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันมีชีวิตเป็นอิสระที่มีความคล้ายคลึงซึ่งกันและกันในระบบโครงสร้างทั่วไป...นี่ไม่ใช่เป็นหลักฐานชี้ให้เห็นหรือว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันเป็นมรดกที่พวกมันได้รับมาจากบรรพบุรุษเดียวกันดอกหรือ?" ถ้าเราดูแค่ผิวเผินคำอธิบายที่บอกว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีบรรพบุรุษเดียวกันดูปรากฏภายนอกว่าคำอธิบายนี้มีเหตุผลดี ตอนแรกดูเหมือนว่าความคิดนี้น่าฟังดี ท่านรู้ไหมว่านี่ก็เป็นวิธีเดียวกับที่เราใช้อธิบายพี่น้องชายหญิงที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกัน เพราะเรามาจากบรรพบุรุษเดียวกันซึ่งมีหน้าตาไม่เหมือนพวกญาติ ๆ ทำเป็นอย่างนี้ล่ะ? เพราะว่าพี่น้องมีพ่อแม่เดียวกัน พวกที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการจึงเก็บรวบรวมข้อมูลไว้อย่างน่าประทับใจที่สุด พวกเขารีบพูดโพล่งออกมาอย่างรวดเร็ว ปีกของค้างคาว ขาหน้าของเต่า ขาหน้าของกบ และมือของมนุษย์มีโครงสร้างที่เหมือน ๆ กัน พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการยังบอกว่าขาหน้าของสุนัข ครีบของปลาวาฬที่เหมือนมือของมนุษย์ และมือของมนุษย์ประกอบด้วยโครงสร้างของกระดูกและกล้ามเนื้อที่เหมือนกับสัตว์ต่าง ๆ ดังกล่าวด้วย
ในยุคนี้ได้มีการนำแนวความคิดเกี่ยวกับความเหมือนของสิ่งมีชีวิตดังกล่าวไปใช้กับการเปรียบเทียบโมเลกุล นักวิทยาศาสตร์ได้นำการเปรียบเทียบกลุ่มโลหิต ไซโตรโครม ซีคอมโปซิชั่น เอนไซม์ เซลล์ DNA รวมทั้งโมเลกุลของหน่วยอื่น ๆ อย่างมากมายมหาศาลได้มีการประกาศว่าDNA ของลิงชิมแพนซี และ DNA ของมนุษย์มีความคล้ายคลึงกัน 99% พวกที่เชื่อว่ามีการสร้างสนองต่อการค้นพบเหล่านี้อย่างไร? ความคล้ายคลึงเกิดขึ้นจริงไหม? และถ้าเป็นดังนั้นจริง ๆ พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการอธิบายถูกต้องตามความเป็นจริงหรือเปล่า? ประการแรก พวกที่เชื่อการสร้างไม่เห็นด้วยกับคำชี้แจงของพวกวิวัฒนาการ พวกที่เชื่อว่ามีการสร้างยอมรับว่ามีความคล้ายคลึงกันจริง พวกที่เชื่อว่ามีการสร้างไม่โง่เขลาที่จะเห็นว่าความคล้ายคลึงเกิดขึ้นจริง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงหมายความว่าเราสามารถเรียนรู้บทเรียนอันมีคุณค่าถึงความแตกต่างระหว่างผู้เชื่อว่ามีการสร้างกับผู้เชื่อวิวัฒนาการ บทเรียนก็คือ ข้อเท็จจริงที่เห็นชัดแจ้งแทบไม่มีความขัดแย้งกันเลยแม้แต่น้อย แต่ความขัดแย้งอยู่ ตรงที่การแปลข้อเท็จจริงที่พบนี่ต่างหากที่เป็นความขัดแย้งกันที่เราไม่เห็นด้วย กรณีของความคล้ายคลึงขั้นพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสรีรศาสตร์หรือในระดับของชีวะเคมีก็ตาม ไม่มีจุดประสงค์อะไรที่จะปฏิเสธว่าความคล้ายคลึงกันเกิดขึ้นจริง ทั้งพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการและผู้ที่เชื่อว่ามีการสร้างต่างก็มีข้อเท็จจริงเดียวกัน แต่พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการมองดูข้อมูลแล้วสรุปว่านั่นเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าความคล้ายคลึงแสดงว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มาจาก บรรพบุรุษเดียวกัน ส่วนพวกที่เชื่อว่ามีการสร้างพิจารณาดูข้อมูลและชี้แจงว่าความคล้ายคลึงกันเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามีการสร้างจริงแสดงให้เห็นว่าผู้สร้างได้ ออกแบบให้มีความคล้ายคลึงกัน ทั้งสองมีการแปลข้อมูลที่มีอยู่ในมือดูผิวเผินแล้วคำอธิบายของแต่ละฝ่ายน่าจะเป็นที่ยอมรับได้
อย่างไรก็ตาม ข้อโต้แย้งของพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อ ข้อมูลส่วนหนึ่งส่วนใด ที่มีความคล้ายคลึงนำมาเสนอให้เห็น ยิ่งกว่านั้นโปรดพิจารณาข้อเท็จจริงต่อไปนี้ ถ้าสิ่งมีชีวิตมี ความคล้ายคลึงกัน พิสูจน์ว่ามาจากบรรพบุรุษเดียวกัน นั่นก็หมายความว่าสิ่งมีชีวิตที่ ไม่มีความคล้ายคลึงกัน พิสูจน์ว่า ไม่ได้มาจากบรรพบุรุษเดียวกัน ต่อเมื่อเราอนุญาตให้พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการ "เลือกและเฟ้นหา" ความคล้ายคลึงที่สัมพันธ์กับทฤษฎีวิวัฒนาการให้พบ (และคัดเอาประเภทที่มีความแตกต่างกันออกไป) เช่นนี้แหละข้อโต้แย้งของความคล้ายคลึงกันจึงน่าเชื่อถือได้ เมื่อพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการเสนอข้อเท็จจริง ทั้งหมด รวมทั้งมีเอกสารยืนยันส่วนต่าง ๆ ที่ไม่มีความคล้ายคลึงกันไว้อย่างละเอียด ถ้าทำอย่างนี้หลักฐานเกี่ยวกับความคล้ายคลึงกันของพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการจะล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งซึ่งเป็นสัตว์แพทย์มีชื่อว่า R. L. Wysong ได้จัดทำรายการต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูล มีตัวอย่างดังต่อไปนี้
1. ตาของปลาหมึก หัวใจของหมู ใบหน้าของสุนัขปักกิ่ง น้ำนมลา ทั้งหมดมีความคล้ายคลึงกับโครงสร้างของมนุษย์ ถามว่าความคล้ายคลึงเหล่านี้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์กับการวิวัฒนาการหรือเปล่า? คำตอบคือ ไม่ใช่
2. ลิงแคระที่อยู่ในอเมริกาใต้มีน้ำหนักสมองมากกว่าน้ำหนักตัวของมันเอง เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนของลิงแคระชนิดนี้ มีน้ำหนักมากกว่าของมนุษย์ เนื่องจากหลักฐานตรงนี้เคยใช้เพื่อแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมกับมนุษย์ เพราะฉะนั้นเราสรุปได้ไหมว่า ลิงแคระมีการวิวัฒนาการมากกว่ามนุษย์? คำตอบคือ ไม่ได้
3. พืชชนิดหนึ่ง ที่มีรากเป็นปุ่มคล้ายถั่วลิสงชื่อ Daphnia ประกอบด้วยฮีโมโกรบิลเหมือนสารประกอบที่อยู่ในเลือดของมนุษย์แสดงว่าพืชชนิดนี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับมนุษย์อย่างนั้นหรือ? คำตอบคือ ไม่ใช่
ความแตกต่างอย่างมากมายที่พบทำให้พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการแสวงหาทางที่จะล้มเลิกข้อโต้แย้งจากชีวิตที่มีความคล้ายคลึงกัน ดังนั้นพวกเขาจึงหันไปหาหลักฐานในการศึกษาเกี่ยวกับโมเลกุลเพื่อจะหาหลักฐานสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มาจากบรรพบุรุษเดียวกัน โดยใช้หลักความคล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตามการศึกษาเกี่ยวกับโมเลกุล ในช่วงไม่กี่ปีไม่ประสบผลสำเร็จอะไร ตัวอย่างเช่น ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตได้ถูกพบว่ามีโครโมโซมที่ประกอบด้วยหน่วยถ่ายพันธุ์ซึ่งมีหน้าที่ทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ถ้ามีการวิวัฒนาการแบบค่อยเป็นค่อยไปจากสิ่งมีชีวิตที่ง่าย ๆ จนถึงวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตที่สลับซับซ้อนมากขึ้น ถ้าเช่นนั้นแนวทางของการวิวัฒนาการที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวนของโครโมโซมและคุณภาพก็จะต้องเพิ่มขึ้นตามแบบแผนของการวิวัฒนาการที่กำหนดไว้ แต่ในยุคปัจจุบันนี้ เรามีเทคโนโลยี่ที่ศึกษาเกี่ยวกับโมเลกุล การสันนิษฐานของการวิวัฒนาการตกอยู่ในสภาพที่ลำบากมาก พิจารณาผังดังต่อไปนี้ด้วยการเปรียบเทียบ จำนวนโครโมโซมที่แท้จริงของสิ่งมีชีวิต เปรียบเทียบกับการสันนิษฐานของการวิวัฒนาการจากสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำจนถึงชั้นสูง
การคาดคะเน | ข้อเท็จจริง | ||
จากง่ายจนถึงสลับซับซ้อนมากขึ้น | จำนวนโครโมโซม ที่นับ | ||
มนุษย์ | เฟิร์น 512 | ||
สุนัข | กุ้งน้ำจืด 200 | ||
ค้างคาว | สุนัข 78 | ||
ปลาเฮอร์ริง | ปลาเฮอร์ริง 68 | ||
สัตว์เลื้อยคลาน | สัตว์เลื้อยคลาน 48 | ||
เฟิร์น | มนุษย์ 46 | ||
กุ้งน้ำจืด | ค้างคาว 32 |
จำนวนโครโมโซมที่นับได้ "ไม่สอดคล้อง" ตามที่พวกเชื่อการวิวัฒนาการได้สันนิษฐานไว้ เพราะการสันนิษฐานในทฤษฎีวิวัฒนาการโครโมโซมน่าจะเพิ่มจากง่ายสูงขึ้นจนสลับซับซ้อนมากขึ้น (และนั่นหมายความว่าจำนวนโครโมโซมก็ต้องเพิ่มขึ้นด้วยอย่างแน่นอน เพราะโครโมโซมทำหน้าที่ในการเป็นพาหนะทางพันธุกรรม) จะเห็นได้ว่าข้อเท็จจริงไม่สอดคล้องกับสิ่งที่สันนิษฐานเอาไว้ พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการแนะว่า เมื่อชีวิตเคลื่อนขึ้นไปตาม "ต้นไม้แห่งการวิวัฒนาการของชีวิต" สิ่งมีชีวิตจะมีการเพิ่มการแบ่งแยกความแตกต่างในทางชีวะเคมีมากขึ้นจากสิ่งมีชีวิต "ที่อยู่ลำดับต้น ๆ" กับ "สิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์" อันที่จริงการเปลี่ยนแปลงของการวิวัฒนาการ ไม่สามารถตรวจวิจัยข้อมูลทางชีวะเคมีได้และไม่มีหลักฐานที่จะยืนยันอะไรเลย ไม่มีการพัฒนาการก้าวหน้าจากสิ่งมีชีวิตจากกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นลำดับขั้นตอนการวิวัฒนาการ ไม่มีแม้แต่นิดเดียว
สรุป
ข้อเท็จจริงที่ได้นำมาเสนอในบทเรียนนี้และในบทก่อนเราสามารถนำมาพิจารณาเพิ่มได้อีกมากมาย ประเด็นสำคัญก็คือว่า พวกที่เชื่อว่ามีการสร้างมีหลักฐานข้อมูลพร้อมอย่างมากมายเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า การเชื่อว่ามีพระเจ้าผู้ทรงสร้างสอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามหลักวิทยาศาสตร์มากกว่าพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการ นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อการสร้างต้องการให้ทั้งสองฝ่ายคือพวกที่เชื่อการสร้างและพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการเสนอข้อมูลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์โดยไม่ต้องนำพระคริสตธรรมคัมภีร์และคำสอนทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อว่านักศึกษาจะได้นำข้อมูลทั้งหมด มาพิจารณาแล้วตัดสินเองว่าฝ่ายไหนถูกฝ่ายไหนผิด นักศึกษาจะชั่งดูข้อมูลทั้งสองฝ่ายในแง่ของความเป็นจริงและผลที่จะเกิดขึ้นตามมา เมื่อได้พิจารณาหลักฐานของทั้งสองฝ่ายแล้วนักศึกษาจะตัดสินเองว่าฝ่ายไหนถูกต้องและมีเหตุผลมากกว่า วิธีนี้เป็นวิธีศึกษาทีดีและเป็นวิทยาศาสตร์ที่ดีนี่เป็นเสรีภาพในการศึกษาหาความรู้อย่างแท้จริง แม้แต่ ชาร์ล ดาร์วิน เองในหนังสือของเขา "Introduction to the Origin of Species" กล่าวว่า
"ข้าพเจ้าตระหนักดีว่า เหตุผลที่ข้าพเจ้านำมาอ้างในหนังสือเล่มนี้ ค่อนข้างจะบอบบางมาก ข้อเท็จจริงที่นำมาไม่มีเหตุผลมากพอที่จะนำไปสู่ข้อสรุปและมักจะเป็นการตรงกันข้ามกับสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากจะให้เป็น ถ้าจะให้เป็นการยุติธรรมจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงให้สมดุลทั้งสองฝ่าย"
พวกที่เชื่อการวิวัฒนาการพยายามที่จะปิดกั้นการท้าทายที่มาจากวงการวิทยาศาสตร์ทั้งภายนอกและภายในหรือกีดกันวงการศึกษาเพื่อปกปิดความผิดพลาดและความไม่สมประกอบของการวิวัฒนาการและจงใจที่จะคัดค้านไม่ยอมฟังเหตุผลในทางวิทยาศาสตร์ของพวกที่เชื่อว่ามีการสร้าง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? อาจจะมีคำตอบอยู่สองประการ ประการแรก อาจเป็นเพราะพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการคิดว่าคนส่วนมากโง่เขลาเบาปัญญาเกินไป หรือไม่มีการศึกษาสูงพอที่จะรับฟังทัศนะของทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสิ่งทั้งปวง ดังนั้นพวกเขาจะต้องถูก "ปกป้อง" และเสี้ยมสอนความคิดที่เขาคิดว่า "ถูกต้อง" โดยพวกเขาอุปโลกน์ตัวเองว่าเป็นผู้ที่ฉลาดล้ำเลิศซึ่งมีความจริงไว้ในกำมือ ประการที่สอง อาจจะเป็นได้ว่า เมื่อพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการได้สร้างหอคอยแห่งสมมุติฐานมากมาย ที่เปราะบางด้วยความจงใจซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของสมมุติฐานมากมาย พวกเชื่อการวิวัฒนาการคงตระหนักดีว่า ถ้าจะเปิดโอกาสให้มีการศึกษาทั้งสองฝ่ายอย่างยุติธรรมที่สุด พวกเขาเกรงว่าคนจะยอมรับฝ่ายที่เชื่อว่ามีการสร้างมากกว่า เพราะสามารถชี้แจงเหตุผลเกี่ยวกับต้นกำเนิดได้ดีกว่าพวกที่เชื่อการวิวัฒนาการ จะอย่างไรก็ตามเป็นเรื่องเร่งด่วนที่หลักฐานของทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสิ่งทั้งปวงทั้งฝ่ายที่เชื่อการสร้างและการวิวัฒนาการจะต้องนำเสนอต่อสาธารณะชนให้จงได้ ให้คนตัดสินใจเลือกเอง เพื่อความคิดทั้งสองฝ่ายจะเข้าไปสู่การแข่งขันของตลาดความคิด